The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 116 พบกับมือสังหารอีกครั้ง
เมื่อเก็บเถาวัลย์เอ็นมังกรกับหญ้าราตรีกระจ่างจนได้กองเบ้อเริ่ม หลินมู่อวี่ก็ตกอยู่ในภาวะลำบากอีกจนได้ เขาบ่นด้วยความกลัดกลุ้มว่า “เก็บสมุนไพรมาได้ครบแล้ว แต่ยังขาดนกปากเข็ม จะทำอย่างไรดี…”
“นกปากเข็ม?” ฉินอินแย้มพระโอษฐ์ “ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นนกที่ตัวเล็กมาก เจ้าต้องการนกปากเข็มไปทำอะไรหรือ”
“ผงต่อเส้นเอ็นไม่สามารถใช้น้ำผสมกับแก่นโอสถได้ ต้องใช้เลือด แล้วต้องเป็นเลือดของนกปากเข็ม” หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้น “ท่านปู่ชวีฉู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่ใดมีนกปากเข็ม”
ชวีฉู่พูดอธิบาย “นกปากเข็มจะออกหากินเฉพาะเวลากลางคืน อาหารของมันคือหิ่งห้อยที่บินอยู่บนท้องฟ้า ดังนั้นต้องเป็นสถานที่ที่มีแหล่งน้ำ ถึงจะพบนกปากเข็ม ในสุสานมังกรมีน้ำ เช่นนั้นคืนนี้พวกเราตั้งที่พักใกล้แหล่งน้ำ พวกเจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปจับนกปากเข็มให้ เจ้าต้องการกี่ตัวกัน”
หลินมู่อวี่ใช้ความคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าหากจับตาย ข้าต้องการยี่สิบตัว หากจับเป็นเพื่อเอาแต่เลือดละก็ ต้องการอย่างน้อยห้าสิบตัว ต้องลำบากท่านปู่ชวีฉู่แล้ว จับมาห้าสิบตัวก็พอขอรับ”
“อืม”
ฉินอินที่อยู่ด้านข้างแย้มพระโอษฐ์ “อาอวี่ไม่อยากให้จับตาย เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”
“ฮา ดูองค์หญิงตรัสเข้า เป็นเพราะนกปากเข็มตัวเล็กเกินไปต่างหาก ไม่เช่นนั้นจะได้รีดเลือดมันออกก่อนแล้วค่อยเอาไปย่าง…” หลินมูอ่วี่ยิ้มกว้าง “พอพูดแบบนี้ข้าก็หิวขึ้นมาเลย…”
ฉินอินขมวดพระขนง พระนาสิกเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงพระเนตรคู่งามมองเขาอย่างอวดดี เห็นทีจะต้องพิจารณาคนผู้นี้เสียใหม่แล้ว
กลางดึก พวกเขาค้างแรมกันที่ริมลำธาร ชวีฉู่จับนกปากเข็มกลับมาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ มองหลินมู่อวี่หลอมโอสถ ความเป็นจริงแล้วที่เขาช่วยเหลืออย่างมีมิตรไมตรีเช่นนี้ เหตุผลหลักก็เพื่อต้องการให้หลินมู่อวี่สอนสูตรการปรุงโอสถระดับสิบให้ หลินมู่อวี่ก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สอนให้อย่างไม่ปิดบัง อย่างไรเสีย ความสามารถในการปรุงโอสถของชวีฉู่นั้นก็แย่อยู่แล้ว คาดว่าคงจะปรุงออกมาไม่ได้
หลินมู่อวี่สกัดแก่นโอสถของเถาวัลย์เอ็นมังกรกับหญ้าราตรีกระจ่างต่อเนื่องไม่หยุดทั้งที่บาดเจ็บอยู่ ถังเสี่ยวซีกับฉินอินที่อยู่ด้านข้างก็ใช้กริชแหลมกรีดเลือดออกจากตัวนกปากเข็ม พวกนางกรีดเลือดจากนกตัวละแค่ไม่กี่หยดเท่านั้น จากนั้นก็ปล่อยมันไป พวกนางเลือกที่จะทำหน้าที่นี้เอง มิเช่นนั้นหากปล่อยให้ฉินเหลยเป็นคนทำ เขาลงมีดแค่ครั้งเดียว แม้แต่ช้างยังตายได้ นับประสาอะไรกับนกปากเข็มที่ตัวเล็กนิดเดียวพวกนี้
แก่นโอสถเป็นประกายเม็ดแล้วเม็ดเล่าตกลงไปในถ้วย ผสมผสานเข้ากับเลือดนกปากเข็มแล้วเกิดปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งลอยขึ้นมา ไม่มีใครคาดคิดว่าของเหล่านี้เมื่อนำมาผสมกันแล้ว จะทำให้เกิดกลิ่นหอมประหลาดนี้ขึ้นมาได้
หลินมู่อวี่หลอมผงต่อเส้นเอ็นรวดเดียวยี่สิบกว่าขวด เขาส่งขวดยาให้ฉินเหลยขวดหนึ่ง “พี่ฉินเหลย ท่านดื่มสักขวดเถอะ”
ฉินเหลยงงงัน “เอ็นมังกรของข้ามิได้ถูกสับจนเละละเอียด จะดื่มไปทำไมกัน”
หลินมู่อวี่อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ชื่อเต็มของผงต่อเส้นเอ็นคือ ‘ผงต่อเส้นเอ็นผสานกระดูก’ มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อและกระดูก ท่านบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะกระทบไปถึงกระดูก ดื่มสักขวดกันไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่มีอาการบาดเจ็บภายในหรือความพิกลพิการเหลือไว้”
“อืม” ฉินเหลยรับมาดื่มรวดเดียวจนหมด
หลินมู่อวี่ก็ดื่มไปหนึ่งขวดเช่นกัน กระดูกซี่โครงของเขาใช้เวลาไม่นานในการเชื่อมผสานกันใหม่อีกครั้ง เดิมทีจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนกระดูกจึงจะเชื่อมผสานกันใหม่ แต่ด้วยประสิทธิภาพของผงต่อเส้นเอ็น มากสุดใช้เวลาสามถึงห้าวันก็ฟื้นคืนได้ดังเดิม
หลินมู่อวี่บรรจุผงต่อเส้นเอ็นลงขวดด้วยความระมัดระวัง ผงต่อเส้นเอ็นเหล่านี้คือโอสถที่จะช่วยชีวิตจางเหว่ย ถึงอย่างไรจางเหว่ยก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง หากไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้จริงๆ แล้วละก็ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงจะหมดสิ้นแล้ว ต้องตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน!
คืนนี้มีชวีฉู่อยู่คุ้มกัน ในที่สุดเขาก็ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มเสียที หลินมู่อวี่นอนหลับจนฟ้าสว่าง พอลืมตาขึ้นอีกทีก็เห็นแสงเรืองรองทางทิศตะวันออก พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
หลินมู่อวี่หายใจเข้าลึก สูดไอวิญญาณของปราณสีม่วงยามเช้า รู้สึกได้ว่าปราณยุทธ์ในร่างกายเต็มอิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยการพักผ่อนตลอดคืนก็ทำให้ปราณยุทธ์ของเขาฟื้นคืนกลับมาแปดส่วน เพียงแต่อาการบาดเจ็บนั้นสาหัสมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถขยับตัวมากได้ชั่วคราว มิเช่นนั้นบาดแผลจะปริแตกเอาได้ และกระดูกที่เพิ่งเชื่อมต่อกันก็จะสูญเปล่า เขาก้มมองหน้าอกตัวเอง เห็นผ้าสีขาวที่พันรอบแผลมีรอยปักรูปดอกจื่ออินสีทอง มันเป็นชายกระโปรงของฉินอินที่ฉีกออกมาเพื่อพันแผลให้กับเขา เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมของฉินอินที่เหลืออยู่บนผ้า ผู้ที่ได้รับสวัสดิการแบบนี้ในใต้หล้าเกรงว่าคงจะมีแต่เขาเพียงผู้เดียว
พอฟ้าสางพวกเขาก็ออกเดินทางทันที หลังจากออกนอกเขตสุสานมังกรแล้วพวกเขาก็เจอม้าที่ผูกไว้ หลินมู่อวี่สละม้าตัวหนึ่งให้ชวีฉู่ ส่วนถังเสี่ยวซีกับฉินอินนั่งม้าตัวเดียวกัน แล้วทั้งห้าคนก็เดินทางไปตามภูเขาที่ลดเลี้ยว
ผ่านไปสองวัน ก็เข้าสู่เขตป่าล่ามังกรของเชื้อพระวงศ์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งวันเดินทางเท่านั้น
ช่วงบ่าย เวลาให้อาหารม้า
หลินมู่อวี่ถอดชุดคลุมที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนแดงฉานออก แล้วนำไปซักในลำธาร รอยเลือดนั้นไหลไปตามกระแสน้ำ เขาขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสะอาด และใช้กิ่งไม้เสียบตากไว้กับอานม้า ถังเสี่ยวซีนึกสนุกแบมือออก ใช้ความร้อนสูงจากวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีอบเสื้อ แค่แปปเดียวเสื้อก็แห้งแล้ว เพียงแต่เสื้อเขาสะอาดเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น เสื้อสีขาวที่หลินมู่อวี่ใส่อยู่ด้านในกับเกราะของวิหารนั้นล้วนถูกเลือดย้อมจนเป็นสีแดง แต่ไม่สามารถซักได้ จึงทำได้เพียงเท่านี้ และจุดประสงค์ที่เขาซักผ้าก็เพราะใกล้จะถึงเมืองหลันเยี่ยนแล้ว ในฐานะองครักษ์ขององค์หญิง จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์น่าเกรงขามของราชวงศ์เอาไว้
ชุดคลุมขาวของชวีฉู่สะบัดพลิ้ว ชุดของเขาเหมือนเสื้อผ้าที่ฉินเหลยสวมใส่ทุกประการ พวกเขาเป็นองครักษ์อวี้หลินชุดขาว เสื้อคลุมชุดขาวชนิดนี้มีความละเอียดประณีตยิ่งกว่า แถมบนชุดยังปักดอกจื่ออินสัญลักษณ์แห่งจักรวรรดิเอาไว้ด้วย ดูแล้วช่างสง่างามน่าเกรงขาม เมื่อเทียบกันแล้ว ชุดเกราะของวิหารดูเหมือนสินค้าในเถาเป่าอย่างชัดเจน ยังดีที่หลินมู่อวี่หน้าตาดี ใส่ชุดนี้แล้วจึงดูไม่ค่อยขัดตาเท่าใดนัก
ช่วงกลางดึก พวกเขาเดินทางเข้าใกล้ลานล่าสัตว์ของราชวงศ์
ฉินเหลยถืออาวุธ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “อีกไม่นานก็น่าจะเห็นค่ายกองทหารรักษาพระองค์ของผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงแล้ว ห่างจากที่นี่ไม่น่าเกินสามสิบลี้ พวกเราเร่งเดินทางในคืนนี้เลยเถอะ”
ชวีฉู่พยักหน้า “อือ ตกลง!”
ครั้งนี้มีฉินเหลยนำหน้าคอยเปิดทาง ตามมาด้วยชวีฉู่ ฉินอินกับถังเสี่ยวซีอยู่ตรงกลาง ปิดท้ายด้วยหลินมู่อวี่ที่มีหน้าที่ระวังหลังคุ้มครองสาวงามทั้งสอง
นี่ก็เป็นอีกคืนที่มืดมิดลมแรง เมฆดำปกคลุมท้องฟ้า ภายในป่ามืดสนิท เสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าดังมาให้ได้ยินเป็นระลอก ฉินเหลยมือหนึ่งถือดาบอสนีบาต อีกมือหนึ่งถือคบเพลิง พร้อมพูดขึ้น “ระวังตัวกันด้วย ที่นี่เป็นทางเขาขรุขระ อย่าให้ม้าเดินสะดุดล่ะ”
“อือ ข้ารู้แล้ว” ฉินอินตรัส
แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงแหวกอากาศพุ่งเข้ามา!
“ฟิ้ว!”
นั่นคือเสียงลอบยิงธนู หลินมู่อวี่มีประสาทสัมผัสที่ไวมากกับสิ่งนี้ เนื่องจากเสียงนี้เคยทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจนเกือบถึงแก่ชีวิต มันจึงเป็นเสียงที่เขาจะจดจำไปตลอดกาล
“ระวัง!”
ในขณะที่เขาร้องตะโกนออกมานั้น ชวีฉู่ก็ได้กระโดดลงมาจากหลังม้าแล้ว เขาแบมือออกคว้าลูกธนูในความมืดเอาไว้ได้ สายตาของเขาเย็บเยียบ “เจ้าคนชั้นต่ำจากที่ใด จงออกมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงที่ตอบกลับมาคือลูกธนูที่กระหน่ำยิงมามากกว่าเดิม!
“คุ้มกันองค์หญิง!” ฉินเหลยตะโกนเสียงดัง
หลินมู่อวี่ควบม้ามาอยู่หน้าถังเสี่ยวซีกับฉินอิน เขายกมือขึ้นแล้วเปล่งเสียงออกมา กำแพงน้ำเต้าก็ปล่อยแสงสีคราม กระดองเต่าทมิฬก็ค่อยๆ เคลื่อนที่รอบกำแพงน้ำเต้า คอยสกัดลูกธนูให้กระเด็นออกไป ส่วนด้านฉินเหลยนั้นถือดาบเข้าไปในป่า เขาคำรามออกมา แล้วแสงอสนีสีม่วงก็ส่องสว่างขึ้นโดยรอบ สังหารกลุ่มคนที่ลอบยิงธนูทิ้ง
“จับตัวฉินอินได้ มีรางวัลหนึ่งล้านเหรียญทอง!” ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมา จากนั้นคนถือกระบี่จำนวนไม่น้อยกรูกันออกมาจากป่า ที่หน้าอกของทุกคนมีตราสัญลักษณ์สีเงินเป็นรูปกระบี่
“คนของโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์?” ชวีฉู่พึมพำออกมา
ด้านถังเสี่ยวซีกัดฟันกรอด พูดด้วยความโมโห “ผู้อาวุโสชวี ครั้งก่อนคนของโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์เกือบยิงข้าจนตาย คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้พวกมันจะกล้ามาจัดการฉินอินอีก ชั่วช้ายิ่งนัก พวกโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์!”
ชวีฉู่ยิ้มน้อยๆ “องค์หญิงซีกับองค์หญิงอินโปรดวางพระทัย ข้าอยู่ที่นี่ วันนี้ใครก็มิอาจทำร้ายทั้งสองพระองค์ได้”
ขณะที่พูด ชวีฉู่ก็พลันกางแขนออก เขาระเบิดเสียงออกมาแล้วปล่อยฝ่ามือออกไป วิญญาณยุทธ์ติ่งอัคคีปรากฏขึ้น นึกไม่ถึงว่าฝ่ามือนี้จะเปลี่ยนเป็นฝ่ามืออัคคีขนาดใหญ่พุ่งโจมตีเข้าไปในป่า!
“เปรี้ยง!”
นักฆ่านับสิบคนของโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ถูกฆ่าตายไปทีละคน ด้านหลินมู่อวี่ก็มองดูด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าผู้คนจึงร่ำลือกันว่า เพลงหมัดของชวีฉู่เป็นหนึ่งในใต้หล้า ดูท่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ!
เพียงแค่ชวีฉู่ลงมือ กลุ่มของโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ก็เกิดความหวาดหวั่นกันไปหมด ทันใดนั้นก็มีคนสบถขึ้นมา “บัดซบ ไอ้สารเลวตัวไหนปล่อยข่าวมั่ว! นี่มันไม่ได้มีแค่ฉินอินกับถังเสี่ยวซี คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ชวีฉู่ก็อยู่ด้วย รีบถอยก่อน ยกเลิกภารกิจ มิเช่นนั้นพวกเราทั้งหมดได้ตายอยู่ที่นี่กันพอดี!”
แต่ฉินเหลยนั้นได้ถืออาวุธเข้าไปในกลุ่มคนแล้วเริ่มสังหารคนพวกนั้น คนพวกนี้หนีรอดไปได้ไม่เท่าไร
“จับเป็นมาหนึ่งคน!” ฉินอินตรัสเบาๆ
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” ฉินเหลยหัวเราะลั่น
ในตอนนี้เอง นักฆ่าพร้อมกระบี่สามคนได้อ้อมไปทางชวีฉู่ กะจะตรงเข้าไปจับฉินอิน ทุกคนล้วนอำพรางใบหน้า คำรามเสียงต่ำ “จับฉินอินไม่ได้ ก็ฆ่านางซะ บุกพร้อมกันเลย!”
ฉินอินเม้มพระโอษฐ์ “ไอ้พวกชั่วไม่กลัวตาย…”
“อย่า องค์หญิงไม่ต้องทรงลงมือเองหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
หลินมู่อวี่ยิ้มน้อยๆ แล้วพลันแบบมือขวาออก แสงอัสนีสว่างวาบ กระบี่ยาวพุ่งออกจากฝักทันที แสงอสนีล้อมรอบตัวกระบี่ แหวกอากาศออกไปเสียงดัง!
“ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ…”
กระบี่เสียบทะลุร่างของมือสังหารสามคนติดต่อกัน ราวกับเสียบผลไม้เคลือบน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น อัสนีคลื่นคลั่งช่างรวดเร็วยิ่งนัก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำล้วนหมดหนทางที่จะหลบหนีไปได้
หลินมู่อวี่กระดิกนิ้ว กระบี่ยาวก็กลับคืนสู่ฝัก ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “ทักษะควบคุมกระบี่นี้…สุดยอดไปเลย…”
ฉินอินพยักพระพักตร์ แย้มพระสรวลเห็นด้วย
จากนั้นไม่นาน ชวีฉู่กับฉินเหลยก็กลับมา ฉินเหลยฆ่าพวกนั้นไปได้หลายสิบคน จึงมีอาการหอบเหนื่อยอยู่บ้าง เขาจับมือสังหารไว้หนึ่งคน และซัดจนมันหมดสติไปแล้ว เขาจับตัวมือสังหารขึ้นพาดบนหลังม้า “กลับถึงเมืองหลันเยี่ยนค่อยสอบสวน ข้าอยากจะรู้นักพวกโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์มันกินอะไรเข้าไป ถึงได้บังอาจจะจับตัวองค์หญิงอินกับองค์หญิงซี”
ฉินอินพยักพระพักตร์ “อือ จะชักช้าไม่ได้แล้ว พวกเรารีบเดินทางไปสมทบกับผู้บัญชาการเฟิงเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อฟ้าใกล้สว่าง ก็เห็นเงาของธงจักรวรรดิที่อยู่ไกลออกไป ในที่สุดก็มาถึงค่ายกองทหารรักษาพระองค์
ม้าตัวหนึ่งวิ่งตะบึงเข้ามา เป็นเฟิงจี้สิง เขาถือดาบแล้วพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างงามสง่า ประสานมือคารวะ “องค์หญิงอิน องค์หญิงซี ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาเสียที กระหม่อมกังวลใจแทบตาย!”
ขณะที่พูด เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “ใต้เท้าชวีฉู่ ท่านก็กลับมาด้วยหรือ”
“อืม ผู้บัญชาการเฟิง ลำบากท่านแล้ว”