The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 104 เพื่อความยุติธรรม
ณ หมู่บ้านลั่วสยา ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ชาวบ้านต่างนอนหลับกันหมดแล้ว เสียงฝีเท้าม้าไม่ได้ทำให้พวกเขาสะดุ้งตื่น
หลินมู่อวี่และจางเหว่ยมุ่งตรงไปยัง “สาขาย่อยของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิง” ที่อยู่สุดขอบตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้านลั่วสยา ถึงจะเรียกว่าสาขาย่อย แต่ดูเหมือนลานบ้านขนาดเล็กมากกว่า มีเจ้าหน้าที่สองคนดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ และศพของพ่อแม่ถั่วงอกน้อยก็ถูกเก็บไว้ที่นี่
“ใครน่ะ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเปิดประตูออกมาท่าทางสะลึมสะลือ พอเห็นหลินมู่อวี่และจางเหว่ยที่สวมชุดเกราะเครื่องแบบ อีกทั้งคอเสื้อของทั้งสองยังติดยศระดับดาวสีทองและดาวสีเงินของวิหารศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่จึงชะงักไป แล้วกล่าวด้วยความเคารพ “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าจากวิหารศักดิ์สิทธิ์นี่เอง ไม่ทราบว่า…พวกท่านมาสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงแห่งหมู่บ้านลั่วสยาดึกดื่นแบบนี้มีธุระอันใดหรือขอรับ”
หลินมู่อวี่พยักหน้า แล้วล้วงจดหมายออกมาให้เขาดู เอ่ยขึ้น “ตอนนี้ร่างพ่อแม่ของถั่วงอกน้อยอยู่ที่ไหน ให้พวกข้านำกลับไปได้หรือไม่”
“ขอรับ…”
เมื่อได้เห็นร่างไร้วิญญาณ หลินมู่อวี่และจางเหว่ยต่างรู้สึกเป็นกังวล ศีรษะที่เอียงหักลงมาของคนแก่ทั้งสอง ลำคอปรากฏรูที่น่ากลัว กระดูกและเนื้อแตกละเอียดเละเทะ ดังนั้นศีรษะของศพจึงไม่มีทางตั้งตรงและเชื่อมกับลำตัวได้เลย
“เป็นวิธีการฆ่าคนของโอวหยางชิวจริงๆ”
จางเหว่ยปิดผ้าขาวกลับไปเงียบๆ พลางพูด “โอวหยางชิวถนัดการแปรปราณยุทธ์ให้เป็นพลังสั่นสะเทือนร่างกายของศัตรูจนแหลกละเอียด นี่เหมือนกับการตายของถั่วงอกน้อยเลย”
“หลักฐานมีแล้ว แต่ยังขาดพยาน” หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ต้องหาพยานที่เห็นเหตุการณ์มายืนยันว่าโอวหยางชิวเป็นคนฆ่าผู้เฒ่าทั้งสอง มิเช่นนั้นก็ลงโทษเข้าไม่ได้ พวกเรารอพรุ่งนี้เช้าแล้วไปสอบถามพวกชาวบ้านก็แล้วกัน”
“อืม!”
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากไปสอบถามชาวบ้านตามบ้านแล้ว ในที่สุดก็เจอหญิงใบ้นางหนึ่งที่สติไม่สมประกอบ พอเห็นหลินมู่อวี่กับจางเหว่ยก็ร้องออกมาเสียงดัง ราวกับเห็นผีก็มิปาน หลินมู่อวี่รีบเดินเข้าไปหา กดไหล่ของนางไว้ที่ข้างกองฟาง แล้วพูด “แม่นาง เจ้าไม่ต้องกลัว พวกข้าไม่ใช่คนไม่ดี เจ้าไม่ต้องกลัว…”
สายตาของหญิงใบ้ผู้นั้นจ้องเขม็งไปที่ดาวสีทองที่คอเสื้อของหลินมู่อวี่ แล้วเอาแต่ส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว พลางส่งเสียงตะโกนดังไม่ได้ศัพท์
เจ้าหน้าที่จากสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น “ใต้เท้า หญิงผู้นี้ทั้งหูหนวกและเป็นใบ้ ท่านถามไปก็ไม่ได้คำตอบหรอกขอรับ”
“งั้นหรือ”
หลินมู่อวี่ยิ้มเย็นชา เขาเห็นหญิงใบ้สอดมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วล้วงเหรียญตราดาวสีทองออกมา ด้านหน้าของดาวสีทองเป็นสัญลักษณ์รูปดาบ นั่นก็คือตราสัญลักษณ์ครูฝึกระดับดาวสีทองแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์!
จางเหว่ยแย่งตรานั่นมา แล้วเอ่ยถาม “แม่นาง ฆาตกรทิ้งไว้ใช่หรือไม่”
แม่นางน้อยพยักหน้า หวาดกลัวจนไม่กล้าแหงนมองหลินมู่อวี่และจางเหว่ย
“เป็นโอวหยางชิวจริงๆ ด้วย!”
จางเหว่ยพลิกเหรียญตราแล้วพูด “หลินจื้อเจ้าดูสิ ด้านหลังสลักชื่อโอวหยางชิวไว้ นี่เป็นหลักฐานชี้ตัวผู้ทำผิดที่โอวหยางชิวเผลอทำหล่นไว้ ไอ้คนชั่ว เป็นมันจริงๆ ที่ลงมือฆ่าพ่อแม่ของถั่วงอกน้อย!”
หลินมู่อวี่กัดฟันกรอด “ส่งร่างพ่อแม่ของถั่วงอกน้อยกลับไปที่เมืองหลันเยี่ยน พาแม่นางคนนี้ไปด้วย ครั้งนี้โอวหยางชิวไม่รอดแน่นอน!”
“อืม!”
……
เวลาเที่ยงตรง พวกเขาก็กลับมาถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ และส่งมอบหลักฐานทั้งหมดให้ผู้ดูแลเกอหยาง
การฝึกภาคเช้าที่โถงฝึกซ้อมเพิ่งจะสิ้นสุดลง ขณะที่กลุ่มครูฝึกและผู้ช่วยฝึกกำลังจะแยกย้ายกันไป กลับถูกเรียกรวมตัวอีกครั้ง ซึ่งในนั้นก็มีเจิ้งฟางและโอวหยางชิวอยู่ด้วย
เหลยหงมองคนเหล่านั้นด้วยแววตาเคร่งขรึม แล่วเอ่ยขึ้น “ครูฝึกที่พลั้งมือฆ่าผู้ช่วยฝึก ไม่จำเป็นต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่ว่า…หากครูฝึกมีเจตนาเข่นฆ่าผู้คน ก็ควรจะดำเนินการตามกฎหมายใช่หรือไม่”
“ท่านผู้ดูแล หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ” เจิ้งฟางเอ่ยถาม
เหลยหงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “โอหยางชิว จงคุกเข่าลง!”
โอวหยางชิวตะลึง คุกเข่าลงกับพื้นทันที พูดขึ้น “ท่านผู้ดูแลอาวุโส ไม่ทราบว่าข้าน้อยกระทำความผิดอันใดขอรับ”
หลินมู่อวี่ล้วงเหรียญตราระดับดาวสีทองออกมาจากอกเสื้อให้โอวหยางชิวดู ก่อนพูดขึ้น “ตอนที่เจ้าฆ่าพ่อแม่ของถั่วงอกน้อย เจ้าทำสิ่งนี้หล่นไว้ในพุ่มไม้น่ะสิ”
“อะไรกัน”
โอวหยางชิวหน้าซีดเผือดทันที “หลินจื้อ เจ้าอย่าได้กล่าวหาข้ามั่วๆ เชียวนะ!”
เหลยหงเอ่ยเสียงเรียบ “คนของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงใกล้จะมาถึงแล้ว เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรอีกเดี๋ยวก็จะรู้เอง โอวหยางชิวเจ้าไม่ต้องกังวล หากเจ้าเจตนาฆ่าคนจริงละก็ ข้าจะต้องกำจัดเจ้าอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่ได้ฆ่าคน ข้าก็จะไม่ปรักปรำเจ้าเช่นกัน!”
“หลินจื้อ ไอ้คนชั่วช้า เจ้าคิดจะฆ่าข้าใช่หรือไม่!” แววตาของโอวหยางชิวเต็มไปด้วยโทสะ
หลินมู่อวี่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
แต่เจิ้งฟางกลับจ้องหลินมู่อวี่และจางเหว่ยด้วยสายตาเย็นชา อดที่จะยิ้มเยาะไม่ได้ “หลินจื้อกับใต้เท้าจางเหว่ยน่าเกรงขามจังเสียเหลือเกิน แม้แต่งานของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงก็ยังแย่งไปทำ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของเราสร้างผู้มากความสามารถจริงๆ เพื่อที่จะทำร้ายคนกันเองแล้ว ถึงกับไม่เลือกวิธี โอวหยางชิวเป็นคนของจวนเสินโหว ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงจะทำอะไรเขาได้!”
เหลยหงเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านอ๋องน้อย จะทำอะไรต้องเหลือทางถอยไว้บ้าง อย่าปิดทางจนหมด!”
เจิ้งฟางเลิกคิ้ว “เหลยหง อย่าคิดว่าท่านเป็นองครักษ์อวี้หลินชุดขาวแล้วข้าจะกลัว ถ้าพวกท่านกล้าลงมือกับโอวหยางชิว ก็ลองดูได้เลย พวกท่านรับผิดชอบไม่ไหวแน่!”
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็จะคอยดูแล้วกัน” เหลยหงเผยรอยยิ้มบางๆ
……
ผ่านไปไม่นาน ทางสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงส่งคนสิบคน เจิ้งกู้เองก็มาด้วย เวลาสั้นๆ เพียงสิบนาทีก็ยืนยันหลักฐานและพยานเรียบร้อย เจิ้งกู้กล่าวเสียงเรียบ “ตามกฎหมายแล้ว โอวหยางชิวต้องรับโทษประหารชีวิตทันที”
โอวหยางชิวตัวสั่น รีบหันไปทางเจิ้งฟาง “ท่านอ๋องน้อยช่วยข้าด้วย…”
เจิ้งฟางเดินขึ้นไปด้านหน้า แล้วล้วงป้ายทองอาญาสิทธิ์ออกมา พูดขึ้น “ช้าก่อน โอวหยางชิวเป็นคนของจวนเสินโหว มีสถานะเป็นชนชั้นสูง ข้าขอใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ของจวนเสินโหวแลกกับชีวิตของเขา ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะฆ่าโอวหยางชิว!”
เจิ้งกู้ตะลึง แล้วมองไปทางเหลยหงอย่างลำบากใจ
เหลยหงกลับลูบเครา แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “ป้ายทองอาญาสิทธิ์จวนเสินโหวแลกกับชีวิตเขา แน่นอนว่าไม่เป็นปัญหา แต่วิหารศักดิ์สิทธิ์ก็มีกฎของวิหารศักดิ์สิทธิ์ โอวหยางชิวฆ่าคน ก็ควรจะพิพากษาด้วยการท้าประลอง ท่านอ๋องน้อยว่าอย่างไร ข้าจะรับหน้าที่เป็นพยานเอง”
“พิพากษา…” เจิ้งฟางตะลึง
การพิพากษาด้วยการท้าประลองก็คือการประลองแบบหนึ่ง เป็นการประลองที่ตัดสินด้วยความเป็นความตาย หากพวกชนชั้นสูงฆ่าคนตาย ญาติหรือสหายของผู้ตายสามารถท้าประลองกับผู้ที่ลงมือฆ่าได้หนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นหรือตายไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ นี่คือกฎที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในจักรวรรดิต้าฉินที่ชื่นชอบการฝึกยุทธ์
โอวหยางชิวเหมือนมองเห็นความหวัง จึงยิ้มหยัน “ถั่วงอกน้อยก็ตายไปแล้ว ใครจะท้าประลองแทนเขางั้นรึ”
ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ ทักษะดาบของโอวหยางชิวแทบไม่มีใครสู้ได้ ผู้ที่สามารถประลองกับเขาแล้วชนะแทบไม่มี ส่วนถั่วงอกน้อยก็เป็นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองแดง สหายของเขาก็มีอยู่แค่นั้น และดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของโอวหยางชิวได้เลย
ในตอนนี้เอง หลินมู่อวี่ค่อยๆ ก้าวออกมา แล้วเอ่ย “หากต้องพิพากษาด้วยการท้าประลองจริงๆ ข้าก็ขอท้าประลองกับใต้เท้าโอวหยางชิวเองขอรับ ถั่วงอกน้อยเป็นสหายของข้า การต่อสู้ในวันนี้ ข้าจะกอบกู้ความภาคภูมิของเหล่าผู้ช่วยฝึกแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ขอรับ!”
“หลินจื้อ?!”
โอวหยางชิวอดยิ้มเยาะไม่ได้ “เจ้าเป็นแค่ผู้ช่วยฝึกขอบเขตปฐพีชั้นสาม มีความสามารถโดดเด่นอยู่ในวิหารเพียงไม่นาน เจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้งั้นรึ”
หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างเยือกเย็น “คงต้องประลองเสร็จก่อนถึงจะรู้”
“เหอะ!”
แววตาของโอวหยางชิวเผยความเย็นยะเยือก “หากเจ้าแพ้ ข้าจะฉีกหัวใจเจ้าโดยไม่ลังเล แล้วควักออกมาให้สุนัขกิน ข้าโอวหยางชิวพูดคำไหนคำนั้น”
หลินมู่อวี่ยิ้มเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าก็จะฆ่าเจ้าเช่นกัน เพื่อไปเซ่นวิญญาณถั่วงอกน้อยและพ่อแม่ของเขาที่อยู่บนสวรรค์ มิเช่นนั้นข้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นสหายของเขา!”
เหลยหงยิ้มเล็กน้อย “หลังจากนี้สิบนาที จะประลองที่โถงใหญ่ ข้าและใต้เท้าเจิ้งกู้แห่งสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงจะรับหน้าที่เป็นพยาน!”
เจิ้งกู้พยักหน้าอย่างยินดี “น้อมรับคำสั่ง!”
……
“หลินจื้อ เจ้านี่บ้าซะจริง!”
ฉินจื่อหลิงขบกรามแน่นแล้วพูด “ทักษะควบคุมดาบของโอวหยางชิวบรรลุถึงขั้นสูงสุดมานานแล้ว แม้ว่าพลังการป้องกันของเจ้าจะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งคราวนี้โอวหยางชิวจะฆ่าเจ้าจริงๆ แน่ หากเจ้าแพ้ขึ้นมา เขาจะต้องฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน แล้วกฎของการพิพากษาก็คือห้ามคนนอกเข้าไปแทรกแซง ถึงแม้ผู้ดูแลอาวุโสคิดจะช่วยเจ้าก็ทำไม่ได้”
“วางใจเถอะจื่อหลิง”
หลินมู่อวี่ตบบ่าเขา แล้วยิ้มพูด “หากไม่มีความมั่นใจพอ ข้าไม่ท้าประลองหรอกน่า”
“อื้ม หวังว่าเจ้าจะแก้แค้นให้ถั่วงอกน้อยได้นะ!”
บริเวณโดยรอบ หลังจากที่พวกผู้ช่วยฝึกทราบความจริงแล้วต่างก็รู้สึกแค้นเคืองและไม่เป็นธรรม สถานการณ์ของถั่วงอกน้อยเหมือนกับของพวกเขาทุกอย่าง สภาพที่ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ ต่างพากันตะโกนให้กำลังใจหลินมู่อวี่
“หลินจื้อ โค่นมันให้ได้! ฆ่าไอ้คนชั่วโอวหยางชิวซะ!”
“หลินจื้อ สู้เพื่อศักดิ์ศรีผู้ช่วยฝึกของพวกเรา!”
“อย่าได้แพ้เชียวนะ หลินจื้อ!”
……
โดยที่ไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว ดูเหมือนหลินมู่อวี่จะกลายเป็นความหวังและจิตวิญญาณของบรรดาผู้ช่วยฝึกไปเสียแล้ว ส่วนเหลยหงที่อยู่ด้านข้างก็แอบปลื้มใจอยู่เงียบๆ วิหารศักดิ์สิทธิ์ต้องการความหวังเช่นนี้ หากศักยภาพของครูฝึกและผู้ช่วยฝึกเอนเอียงไปข้างเดียว เช่นนั้นวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะไม่รุ่งเรืองไปตลอดกาล
โอวหยางชิวกำลังเตรียมตัว เขาใช้หินลับมีดสีชาดลับดาบให้คมจนเกิดเสียงขึ้น หินลับมีดสีชาดเป็นหินแข็งชนิดหนึ่ง และเป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ ยามที่เสียงลับมีดของเขาดังขึ้น ดูเหมือนว่าเสียงนี้จะใช้เป็นการดูถูกและท้าทายศัตรูอย่างหนึ่ง โชคดีที่หลินมู่อวี่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง จึงไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
“การพิพากษา เตรียมพร้อม เริ่มได้!” ผู้ดูแลเกอหยางตะโกนเสียงดังลั่น
โอวหยางชิวพุ่งตัวออกไปยืนกลางโถงใหญ่ เท้าเหยียบอยู่บนพื้นหิน ปราณยุทธ์หลายสายปรากฏขึ้นมาทันที วิญญาณยุทธ์พันอยู่บนไหล่ มุมปากมีรอยยิ้มเหยียดหยาม “หลินจื้อ เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”
หลินมู่อวี่เดินเข้าไปกลางโถงใหญ่ โดยยืนห่างจากโอวหยางชิวประมาณสิบเมตร แล้วเปล่งเสียงเบาๆ คลื่นอากาศปรากฏขึ้นรอบตัว แถมครั้งนี้เขาไม่ทีท่าว่าจะเรียกกระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรขึ้นมาเลยด้วย
“หลินจื้อสละการป้องกัน เขาเสียสติไปแล้วงั้นหรือ” ผู้ช่วยฝึกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง
จางเหว่ยขมวดคิ้วแน่น
……
“ตายซะ!”
โอวหยางชิวตะโกนลั่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณยุทธ์ เขากางมือออก แล้วใช้ปราณควบคุมกระบี่ให้พุ่งใส่หลินมู่อวี่ ยังไม่ทันได้เข้าใกล้หลินมู่อวี่ โอวหยางชิวก็รวบรวมพลังงานสร้างดาบจากปราณยุทธ์ถึงสิบสายขึ้นรอบกาย เสียงบุกโจมตีดังกัมปนาทขึ้น!
หลินมู่อวี่เล็งหาจังหวะ ยกมือซ้ายขึ้นอย่างฉับพลัน ธาตุวายุที่สะสมมานานก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา นี่ก็คือทลายวายุที่ใช้ลมควบคุมกระบี่นั่นเอง แม้ว่าพลังนี้จะไม่สามารถซัดการโจมตีของโอวหยางชิวให้พินาศไปได้ก็ตาม แต่ก็ช่วยถ่วงการโจมตีของอีกฝ่ายที่จะพุ่งเข้ามาได้มากทีเดียว
หลินมู่อวี่กางมือขวาออก แสงอัสนีสีม่วงอันเป็นประกายปรากฏขึ้น กระบี่เหลียวหยวนหลุดออกจากฝัก ด้วยการชักนำของแสงอัสนีกระบี่พุ่งเข้าใส่โอวหยางชิวอย่างเร็วปานสายฟ้าแลบ ความเร็วนี้ทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ต่างตกตะลึงตาค้าง ไม่มีใครเคยเห็นการโจมตีที่รวดเร็วและทรงพลังเช่นนี้มาก่อน!
“อัสนีคลื่นคลั่ง!”
แสงอัสนีที่ไหลอยู่รอบกระบี่เหลียวหยวนนั้น มีพลังจู่โจมที่ไม่อาจต้านทานได้ การโจมตีครั้งนี้หลินมู่อวี่ปลดการป้องกันออก แล้วใช้พลังทั้งหมดแปรให้เป็นพลังในการโจมตีครั้งนี้! กระบี่เหลียวหยวนพุ่งทะลวงใส่เกราะปราณที่ปกป้องร่างกายของโอวหยางชิว วินาทีถัดมา สายฟ้าก็ฟาดเข้าใส่อย่างรุนแรง!
“ตู้ม!”
โอวหยางชิวยกกระบี่ขึ้นขวางหวังจะตั้งรับ ทว่ากระบี่ของเขาถูกคมกระบี่เหลียวหยวนแทงกระจุยในชั่วพริบตา ตามมาด้วยกระบี่เหลียวหยวนเสียบทะลุหัวใจ ปักเข้ากับเสาที่อยู่ด้านหลังอย่างรุนแรง
……
โอวหยางชิวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาก้มหน้าลงดู เสื้อเกราะตรงหน้าอกถูกแทงทะลุ หัวใจถูกเผาจนแทบจะกลายเป็นเถ้าถ่าน พริบตาเดียวสมองของเขาก็ขาวโพลน