The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 103 ยอมหักไม่ยอมงอ
งานเลี้ยงดำเนินมาจนถึงยามไฮ้ (ช่วงเวลาระหว่างสามทุ่มถึงห้าทุ่ม) ฉินเหลยนำองครักษ์สามสิบกว่านายคุ้มครองฉินอินและถังเสี่ยวซีกลับจวน เฟิงจี้สิงถือกระบี่และยังเมาอยู่ เขาจูงม้าศึกของตัวเอง ขึ้นม้าได้ก็หมอบอยู่บนหลังม้า แล้วหันไปมองหลินมู่อวี่ ยิ้มถาม “อาอวี่ เจ้าดื่มไปมากขนาดนั้น ยังจะขี่ม้าได้อีกหรือ”
หลินมู่อวี่จับบังเหียนแน่น หนีบหมวกไว้ที่รักแร้ ยิ้มตอบ “ได้สิ พี่เฟิงท่านห่วงตัวเองว่าจะขี่ม้ากลับไปได้หรือเปล่าเถอะ”
เฟิงจี้สิงอดหัวเราะไม่ได้ “จะเป็นอะไรไป เมืองหลันเยี่ยนก็คือบ้านของข้าเฟิงจี้สิง หลงทางในบ้านช่างปะไร ถึงข้าจะเมาหนัก พี่น้องข้าก็จะหาข้าจนเจอและแบกกลับไปเองนั่นแหละ”
ฉินเหลยสะอึกเอิ้ก ในมือยังคงถือไหสุราอยู่ พูดขึ้น “องครักษ์อวี้หลิน ขึ้นม้า!”
……
แสงโคมไฟนอกหอสดับพิรุณมืดสลัว หลินมู่อวี่มองเห็นหน้าของฉินอินและเสี่ยวซีไม่ค่อยชัด แต่ก็เห็นว่าสาวงามทั้งสองต่างขึ้นม้าแล้ว จึงเอ่ยถาม “องค์หญิง เสี่ยวซี จะให้ข้าไปส่งพวกท่านกลับจวนก่อนไหม พี่ฉินเหลยดื่มเมาไปแล้ว…”
ฉินอินยิ้มบางๆ ใต้เเสงดาวอันมืดสลัว “อาอวี่ เจ้าเองก็ดื่มไปมาก รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ วางใจเถอะ เมืองหลันเยี่ยนเป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ ด้านหลังข้ายังมีองครักษ์อวี้หลินที่พละกำลังยอดเยี่ยมอีกหลายสิบนาย ใครก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก เสี่ยวซีข้าจะคุ้มครองนางกลับไปเอง เจ้ารีบกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์เถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ระวังพวกหมาป่าในความมืดด้วย”
“อืม” หลินมู่อวี่รู้ดีว่าฉินอินหมายถึงเจิ้งฟางที่อยากจะสับตนเป็นชิ้นๆ ดังนั้นจึงใช้แส้กระตุ้นม้าแล้วยิ้มตอบไปว่า “เช่นนั้นค่อยพบกันใหม่!”
ถังเสี่ยวซีตาปรือ ยิ้มพูด “ไว้เจอกันนะมู่มู่!”
ฉินอินมองแผ่นหลังของหลินมู่อวี่ที่ห่างออกไป จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ตะโกนออกไป “อาอวี่ อย่าลืมเข้าร่วมการประลองกระบี่ล่ะ หากเจ้าสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ข้าและเสด็จพ่อจะไปร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยของเจ้า!”
ราตรีหนาวเย็น ก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินหรือไม่
องครักษ์อวี้หลินนายหนึ่งกำลังจูงบังเหียนม้าที่ฉินอินนั่ง เอ่ยขึ้น “องค์หญิง พวกเรากลับตำหนักเจ๋อเทียนเถอะพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นไปไกลแล้ว…”
นัยน์ตาสุกสกาวของฉินอินมองออกไกล นางกะพริบตาก่อนยิ้มตรัสขึ้น “อืม ไปส่งเสี่ยวซีที่จวนชีไห่ก่อน แล้วค่อยกลับตำหนักเจ๋อเทียน ออกเดินทางกันเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
……
หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนส่งฉู่เหยากลับสมาพันธ์โอสถด้วยกัน จากนั้นจึงหันม้ากลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทหารยามสองนายของวิหารศักดิ์สิทธิ์เห็นเขาสวมเครื่องแบบก็รีบทำความเคารพแบบทหารจักรวรรดิ “ใต้เท้าหลินจื้อ กลับมาแล้วหรือขอรับ!?”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าทักทาย และบังคับม้าเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์
เดินผ่านระเบียงยาว กำลังจะไปคอกม้าพอดี จู่ๆ ก็มีเงาคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหา อาศัยแสงจากคบไฟจึงมองเห็นหนวดเคราเต็มหน้าคนผู้หน้า เป็นจางเหว่ยนั่นเอง
“ท่านจางเหว่ย มีอะไรหรือ” หลินมู่อวี่ถาม
จางเหว่ยมองไปยังทหารยามสองสามนายใต้แสงไฟที่อยู่บริเวณนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลินจื้อ มีเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องบอกท่าน แต่ว่า…ที่นี่ไม่เหมาะจะพูด ท่านตามข้ามาเถอะ!”
“อืม”
หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า เดินคู่กับจางเหว่ยไปถึงโถงทดสอบจึงถามขึ้น “ตอนนี้คงพูดได้แล้ว ตกลงมีเรื่องอะไรหรือ”
จางเหว่ยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบ “สหาย เจ้ายังจำถั่วงอกน้อยได้ไหม”
“อืม จำได้แน่นอน ถั่วงอกน้อยตายอย่างอนาถด้วยดาบของโอวหยางชิว ข้าจำได้จนวันตาย!”
“การตายของถั่วงอกน้อยแลกเงินได้แค่ห้าร้อยเหรียญทอง เเต่เงินห้าร้อยเหรียญทองนั้นยังไม่ถึงมือพ่อแม่ของเขา”
“อะไรนะ” หลินมู่อวี่ตัวสั่น ถลึงตามองไปที่จางเหว่ย “มันเกิดอะไรขึ้น”
จางเหว่ยสูดหายใจ หน้าตาเดือดดาล ตอบ “บ้านเกิดของถั่วงอกน้อยอยู่ที่ ‘หมู่บ้านลั่วสยา’ นอกเมืองหลันเยี่ยน พ่อแม่ของเขายังมีชีวิตและแข็งแรงดี ทว่า…เมื่อเช้านี้ข้าได้รับคำสั่งให้นำทหารม้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์ออกไปซื้อเสื้อผ้าฝ้ายสำหรับหน้าหนาว จึงได้ผ่านหมู่บ้านลั่วสยา และพบว่าพ่อแม่ของถั่วงอกน้อยถูกสังหารตายอย่างอนาถ อีกทั้งเงินห้าร้อยเหรียญทองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย”
“บ้าเอ๊ย!”
หลินมู่อวี่เดือดขึ้นมาทันที ฤทธิ์สุรายังไม่ทันสร่าง หน้าเขาแดงก่ำ “เป็นฝีมือเจิ้งฟางกับโอวหยางชิวใช่ไหม”
จางเหว่ยถอนหายใจ “น่าจะใช่…พวกเราสองคนล่วงเกินจวนเสินโหว เจิ้งฟางบันดาลโทสะจึงสังหารพ่อแม่ของถั่วงอกน้อยเพื่อระบายความแค้นก็เป็นเรื่องที่ควรจะเดาได้ ต้องโทษความประมาทของข้า มิเช่นนั้นผู้เฒ่าทั้งสองคงอาจจะไม่ต้องโชคร้ายเช่นนี้”
“ไม่ เป็นข้าที่ประมาทถึงจะถูก” หลินมู่อวี่รู้สึกทรมานจนกำหมัดแน่น
จางเหว่ยมองหลินมู่อวี่ด้วยสายตาลุ่มลึก เอ่ยว่า “ใต้เท้าหลินจื้อ พ่อแม่ของถั่วงอกน้อยไม่ควรถูกสังหารอย่างอยุติธรรมเช่นนี้ ใช่ไหมท่าน ถึงแม้พวกเราจะแก้แค้นให้ถั่วงอกน้อยไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรจะแก้แค้นให้พ่อแม่ของเขา”
หลินมู่อวี่พยักหน้าเบาๆ “ผู้ที่สืบสวนคดีนี้เป็นใคร”
“สมาพันธ์นกกระจอกเพลิง”
จางเหว่ยเอ่ยเสียงเรียบ “สมาพันธ์นกกระจอกเพลิงดูแลทุกคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในเขตเมืองหลวงหลันเยี่ยนโดยเฉพาะ แต่สมาพันธ์นกกระจอกเพลิงอยู่ภายใต้กรมอาญา และเจ้ากรมอาญาก็เป็นเเขกประจำของจวนเสินโหว ดังนั้นหากจวนเสินโหวกดดัน สมาพันธ์นกกระจอกเพลิงคงจะสอบสวนไม่ได้อะไร ข้ายังได้ข่าวมาอีกว่า คนของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงได้ยืนยันเบื้องต้นแล้วว่าบิดามารดาของถั่วงอกน้อยถูกโจรภูเขาฆ่าตาย เงินห้าร้อยเหรียญทองทำให้พวกเขาต้องตาย”
พูดไป จางเหว่ยก็ชกใส่กำแพง แล้วพูดขึ้น “พวกเขาตายเพราะถูกกระบี่แทงทะลุหลอดลม หลอดลมถูกปราณกระบี่ทำลายจนแหลก ผู้ที่ทำแบบนี้ได้ทั้งเมืองหลันเยี่ยนมีน้อยนับนิ้วได้ ไม่ใช่โอวหยางชิวแล้วจะเป็นใคร!”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเราไปพบผู้ดูแลอาวุโสเหลยหงด้วยกันเถอะ!”
“ตกลง!”
……
ทั้งสองคนจูงม้าตรงไปยังที่พักของเหลยหง หลังจากเคาะประตูอยู่หลายที เหลยหงก็ลอยออก มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ “อาอวี่ จางเหว่ย พวกเจ้าสองคน… เฮ้อ…เรื่องที่ไม่ควรเกี่ยวข้องก็ไม่ควรจะไปยุ่ง บนโลกนี้มีความอยุติธรรมมากมาย พวกเจ้าจัดการได้ทั้งหมดหรือ”
ชัดเจนว่า เหลยหงเข้าใจเรื่องของถั่วงอกน้อยอย่างแจ่มแจ้ง เขาเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร
หลินมู่อวี่ประสานหมัดคารวะ “ท่านปู่เหลยหง วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นวิหารของผู้ฝึกยุทธ์แห่งจักรวรรดิ หากแม้แต่วิหารศักดิ์สิทธิ์ยังให้อภัยคนคลุ้มคลั่งสังหารผู้บริสุทธิ์แบบนั้นได้ วิหารศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นสถานที่อะไร ยังเป็นจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์แห่งจักรวรรดิหรือไม่ พวกเราฝึกยุทธ์ ไม่ใช่เพื่อต่อสู้ปกป้องจักรวรรดิและคนอ่อนแอเหล่านั้นหรือ”
เหลยหงตะลึง และเอ่ยขึ้น “อาอวี่ คำพูดพวกนี้…ไม่มีใครกล้าพูดกับข้ามาก่อน”
ดวงตาของหลินมู่อวี่ไม่ยอมแพ้ “ท่านปู่เหลยหง ท่านเป็นผู้ดูแลอาวุโสของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ภาระนี้ อย่างไรเสียท่านก็ต้องแบกรับไว้ ไม่อยากแบกก็ต้องแบกขอรับ มิเช่นนั้นท่านก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ดูแลอาวุโส!”
“เจ้า…”
เหลยหงถลึงตา ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าเด็กโง่คนนี้ ข้าไม่รู้จะจัดการกับเจ้ายังไง ทำไมเจ้าชวีฉู่ถึงได้รับลูกศิษย์ที่ดื้อรั้นแบบเจ้ามาได้ ช่างเถอะๆ ข้ายังต้องไว้หน้าเจ้าชวีฉู่อยู่บ้าง พวกเจ้าไปนำม้ามาเถอะ ตามข้าไปสมาพันธ์นกกระจอกเพลิง!”
“ขอบพระคุณท่านปู่เหลยหง!”
จางเหว่ยก็ดีใจเช่นกัน ประสานมือคำนับ “ขอบคุณท่านผู้ดูแล!”
……
สมาพันธ์นกกระจอกเพลิงแห่งจักรวรรดิ ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของกรมอาญา กลุ่มอาคารทุกหลังเชื่อมต่อกันเป็นผืนเดียวกัน และอาคารของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงดูราวกับนกกระจอกเพลิงที่กำลังจะโบยบินขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน เชิดหน้าท่าทางทระนงองอาจ ดูเหมือนจริงมาก ด้านนอกอาคาร ทหารยามแปดนายยืนถือดาบเฝ้าอยู่ คบเพลิงด้านข้างโบกสะบัด แสงไฟวูบไหว
เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามา เหลยหง หลินมู่อวี่และจางเหว่ยหยุดม้าตรงหน้าห้องโถงใหญ่ของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิง
“ผู้ใดกัน” ทหารยามตะโกนเสียงดัง
เหลยหงค่อยๆ ปลดผ้าคลุม เผยให้เห็นใบหน้าชรา
“ที่แท้ก็เป็นผู้ดูแลอาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์!” กลุ่มทหารยามต่างคุกเข่าลง สถานะแตกต่างกันชัดเจน เหลยหงไม่เพียงแต่เป็นผู้ดูแลอาวุโส แต่ยังเป็นหนึ่งในหกองครักษ์อวี้หลินชุดขาวแห่งจักรวรรดิ มีสิทธิ์เข้าเฝ้าฝ่าบาทได้โดยตรง บุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เหล่าทหารยามมิอาจล่วงเกินได้
“ไม่ทราบว่าผู้ดูแลอาวุโสมาเยือนสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงกลางดึกมีธุระอันใดหรือขอรับ”
“ข้าต้องการพบหัวหน้าสมาพันธ์นกกระจอกเพลิง ใต้เท้าเจิ้งกู้!”
“ใต้เท้าเจิ้งกู้เข้านอนแล้วขอรับ”
“ช่วยไปรายงานที”
“ขอรับ!”
ไม่นานนัก ทหารยามก็กลับมา “เชิญท่านผู้ดูแลอาวุโส!”
“ขอบใจมาก!”
คณะของหลินมู่อวี่เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงภายใต้การนำของทหารยาม คนรับใช้จุดโคมไฟ ทำให้ห้องประชุมใหญ่สว่างขึ้นทันที ผู้ที่สวมชุดข้าราชการฝ่ายบุ๋นรีบออกมาต้อนรับ คุกเข่าคารวะ พูดว่า “ข้าน้อยเจิ้งกู้ คารวะผู้ดูแลอาวุโสเหลยหง!”
เหลยหงประคองเขาขึ้นมา ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าเจิ้งกู้ ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”
“ผู้ดูแลอาวุโสมาเยือนครั้งนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือ”
“อาอวี่ เจ้าพูดเถอะ”
“ขอรับ!” หลินมู่อวี่ประสานมือคารวะ และเล่าเรื่องคดีฆาตกรรมบิดามารดาของถั่วงอกน้อยให้เจิ้งกู้ฟัง
เจิ้งกู้ฟังจบสีหน้าไม่สู้ดี เอ่ยว่า “คดีนี้ตัดสินไปแล้ว ตอนนี้หากต้องการสอบสวนใหม่ เกรงว่าจะดูเป็นการไม่เหมาะ ผู้ดูแลอาวุโส ข้า…”
เหลยหงเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าเจิ้งกู้ สมาพันธ์นกกระจอกเพลิงดูแลกฏหมายของจักรวรรดิ เจ้าผู้เป็นหัวหน้าสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงคงไม่ถึงกับไม่สะทกสะท้านทั้งที่รู้แก่ใจว่ามีคนตายอย่างอยุติธรรมกระมัง”
เจิ้งกู้สูดลมหายใจลึก “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่…เกรงว่าข้าน้อย…”
เหลยหงโบกมือ “ไม่ต้องพูดให้มากความ ตอนนี้เจ้าจงร่างหนังสือขึ้นมาหนึ่งฉบับ มอบอำนาจการสืบสวนทั้งหมดให้หลินจื้อและจางเหว่ย คดีนี้พัวพันกับคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องสะสางให้เรียบร้อย ข้าไม่ยุ่งไม่ได้”
เจิ้งกู้กัดฟัน และพยักหน้า “ขอรับ แต่…ถ้าจวนเสินโหวเอาเรื่องขึ้นมา…”
เหลยหงยิ้ม พลางตบบ่าเจิ้งกู้ “เจ้าวางใจเถอะ หากจวนเสินโหวเอาเรื่อง ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
“ขอบคุณท่าน ข้าน้อยจะร่างหนังสือเดี๋ยวนี้!”
……
กลางดึก หลินมู่อวี่และจางเหว่ยสวมชุดเครื่องแบบของวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นม้าศึกแล้วพุ่งออกไปบนถนนทงเทียน พวกเขาขี่ม้าออกไปนอกเมือง ทั้งสองคนไม่พูดไม่จา เรื่องเดียวที่พวกเขาต้องการทำก็คือกำจัดคนชั่วกวาดล้างคนเลว ไม่ให้เจิ้งฟางอาศัยอำนาจทำความชั่วในวิหารศักดิ์สิทธิ์และเมืองหลันเยี่ยน
เหลยหงมองตามสองคนนั้นอยู่ไกลๆ ครั้งนี้เพื่อที่จะสนับสนุนพวกเขา เหลยหงเทหมดหน้าตัก ในฐานะผู้ดูแลอาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซ่อนเร้นความสามารถ และอยู่อย่างปลอดภัยมาหลายปีขนาดนี้ ไม่นึกว่าตอนนี้จะทำเรื่องนอกกรอบเช่นนี้ได้ แม้แต่ตัวเหลยหงเองยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีอยู่ เขามองเห็นความทระนงและไม่ยอมงอในสมัยก่อนของตัวเองบนตัวหลินมู่อวี่ เพียงแต่ใต้กาลเวลาที่ผันผ่าน คมดาบของตนถูกลมพัดจนไร้คมเเล้ว ตอนนี้พอมองหลินมู่อวี่ จึงอดคิดถึงตัวเองในสมัยก่อนไม่ได้
“อาอวี่ เจ้า…”
เขาถอนหายใจเบาๆ แต่จู่ๆ ในใจกลับรู้สึกโล่งสบายขึ้นมา รู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เหมือนแสงอรุโณทัยที่ส่องท้องฟ้ามืดมิดที่ปกคลุมจักรวรรดิมานานนับพันปีให้สว่างขึ้น