Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei - ตอนที่ 5
เมื่อถูกถามอย่างกะทันหันเช่นนั้น
ยูฟีเรียหันกลับไปมองหน้าแกรนส์ แต่กลับไม่สามารถกล่าวคำใดๆออกไปได้
เธอกัดริมฝีปากแน่นขณะที่พยายามรวบรวมแรงเอ่ยคำพูดออกไปด้วยไหล่ที่สั่นไหว
ส่วนแกรนส์ก็เอาแต่จ้องมองลูกสาวของตนอย่างเงียบๆ
ผ่านช่วงไม่กี่วินาทีที่ยาวนานเป็นชั่วโมง ในที่สุดยูฟีเลียก็เปิดปากพูดออกมาขณะที่น้ำตาไหลลงอาบแก้ม
“ข้าขอโทษ…ขอโทษจริงๆค่ะ..!”
“…ทำไมเจ้าต้องขอโทษด้วย?”
“ขอโทษ…ที่ทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสีย ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อลบล้างมันเอง…แต่…ข้าไม่สามารถเป็นราชินีได้อีกแล้วค่ะ…!”
น้ำเสียงที่ทรมานและเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นไห้
ร่างกายของยูฟีเลียสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่เธอใส่ความรู้สึกทุกอย่างลงไป และพยายามเอามือเช็ดน้ำตาอย่างหมดรูป
กลับกันดวงตาของแกรนส์หรี่ลงเล็กน้อยในขณะที่ฟังคำตอบ ราวกับว่าเขาไม่พอใจในคำตอบนั้น
“ยูฟีเลีย ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ายังอยากเป็นราชินีอยู่อีกหรือไม่?”
“ข้าทำไม่ได้แล้วค่ะ…”
“ข้าไม่ได้ถามว่าทำได้หรือทำไม่ได้ ข้าถามว่าเจ้าอยากเป็นหรือไม่ต่างหาก”
“…ข้าขอโทษ ข้าเป็นไม่ได้แล้วค่ะ!!”
ยูฟีเลียเอาแต่พูดคำเดิมซ้ำๆและส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรง
ดวงตาของแกรนส์เริ่มหรี่ลงเรื่อยๆเมื่อจ้องมองท่าทีของบุตรสาว
“อ่าาา อื้ม…ลอร์ดแกรนส์ ถึงท่านจะพูดถูกก็เถอะแต่แบบนี้มัน…นี่คุณหนูยูฟีเรีย คุณหนูยังไม่ได้ตอบคำถามของลอร์ดแกรนส์เลยนะ”
“เอ๊ะ?”
อานิสเฟียร์ผู้เอามือเกาแก้มตัวเองด้วยท่าทางลำบากใจได้เข้ามาขัดทั้งสองคนเอาไว้
“ยังไม่มีใครถามว่าคุณเป็นได้ไหมเลยนะ? สิ่งที่ลอร์ดแกรนส์กำลังถามก็คืออยากเป็นไหมต่างหาก แต่คุณกลับตอบเขาราวกับว่ามีใครตัดสินใจให้คุณเป็นราชินีเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ลอร์ดแกรนส์ขอให้ตอบเขาในสิ่งที่คุณต้องการต่างหาก ใช่ไหมลอร์ดแกรนส์?”
อานิสเฟียร์หันมาถามแกรนส์
ส่วนแกรนส์ก็ทำเพียงส่งสายตาให้อานิสเฟียร์เล็กน้อย ก่อนจะกลับไปมองที่ยูฟีเรีย
“ยูฟีเรีย”
“…ค่ะ”
“จริงอยู่ที่ข้าคอยสั่งสอนเจ้าให้เติบโตมาในฐานะราชินี ดังนั้นข้าจึงอยากจะได้ยินความต้องการจริงๆของเจ้า…ถ้าหากว่าลึกๆแล้วเจ้าไม่อยากเป็นราชินีล่ะก็…”
การกระทำของแกรนส์ทำให้ยูฟีเรียได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เขาได้ยื่นมือออกไป…และวางมันลงบนหัวยูฟีเรียพร้อมกับขยับมือไปมาอย่างเกร็งๆ
“เรามาจบมันกันเถอะ การหมั่นหมายครั้งนี้น่ะ ถ้าเจ้าตัดสินใจว่าไม่ต้องการเป็นราชินีจริงๆ ข้าก็จะเคารพการตัดสินใจนั้น”
“ท่านพ่อ…?”
“ไม่ว่าใครหน้าไหนมันจะอยากดันเจ้าให้ขึ้นเป็นราชินี แต่หากเจ้าไม่ได้ต้องการ ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยทุกอย่างที่ข้ามีเอง ยูฟีเรีย ข้าอยากให้เจ้ามีความสุข ถึงแม้ข้าจะไม่เคยทำตัวให้เหมาะสมกับการเป็นพ่อคนเลยก็ตาม”
“นั่นมันไม่จริงเลย…! ข้ารู้สึกขอบคุณท่านพ่อที่เลี้ยงดูข้ามาโดยตลอด ท่านพ่ออย่าได้พูดอะไรแบบนั้นออกมาอีกเลย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง เพราข้าโง่เง่าเลยทำให้ตระกูลต้องพลอยเสื่อมเสียได้ด้วย…!”
“มันไม่ได้เป็นความผิดของเจ้าเลย แต่หากเจ้ายังไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้ล่ะก็ ข้าจะเป็นคนให้ยกโทษเจ้าเอง ตระกูลที่ข้าเป็นผู้นำไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดล่มสลายลงเพราะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของลูกสาวหรอกนะ”
“ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้นเลย…ข้าน่ะ…”
เสียงของยูฟีเรียแหบพร่าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
ตั้งแต่เด็กอนาคตของเธอได้ถูกกำหนดให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าชายมาโดยตลอด นั่นคือสิ่งที่ผลักดันให้เธอก้าวไปข้างหน้า เป็นแรงบันดาลใจให้เธอเปลี่ยนตนเองเป็นคนที่คู่ควรกับตำแหน่งนี้
เธอทำทุกอย่างๆสุดความสามารถ เมินเฉยต่อความต้องการของตนเองเพื่อที่จะไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่น
เพื่อที่จะนำพาอาณาจักรก้าวไปข้างหน้าเคียงข้างกับราชาในอนาคต เธอต้องฉลาดต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าทุกคน
ดังนั้น คำพูดของผู้เป็นบิดาจึงยังคงดังก้องติดอยู่ในหัวของเธอ
ยูฟีเรียยังคงเชื่อว่าตนไม่ควรได้รับอนุญาตให้ทำตามใจชอบ ไม่ควรทำตามความปรารถนาของตนเอง ขณะที่ความสับสนเดือดพล่านอยู่ในอก
ยูฟีเรียกอดตัวเองแน่นราวกับเพื่อไม่ให้กำแพงที่คอยปกป้องจิตใจแตกสลายไป
“ได้โปรดเถอะ บอกทีว่าข้ามันโง่เอง…ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้า เพราะข้าไม่สามารถหยุดองค์ชายอัลการ์ดได้เพราะความไร้ประโยชน์ของข้า ข้ามันอ่อนแอเกินกว่าจะแก้ต่างข้อกล่าวหา ไม่งั้นข้า..!”
“เจ้าทำตัวเหมือนเด็กน้อยเลยนะยูฟี่”
ยูฟี่…? ความทรงจำในอดีตที่เธอเคยคิดว่าลืมไปนานแล้วผุดขึ้นในใจ และเมื่อเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นรอยยิ้มขมๆของแกรนส์
“ราวกับว่าเวลาในวันนั้นได้หยุดลง เจ้าไม่ได้เติบโตขึ้นเลย ยังคงเป็นยูฟี่ตัวน้อยของข้าเสมอมา แต่กระนั้นข้ากับมองไม่เห็น ในฐานะพ่อ ข้ามันน่าสมเพช”
“ท่านพ่อ…”
“ข้าสอนเจ้าอยู่ทุกๆวันว่าต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง เพราะข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าจะต้องแบกอาณาจักรไว้บนบ่า ข้าจึงเข้มงวดกับเจ้าเพราะไม่อยากเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ต่อสิ่งที่รออยู่ในอนาคต แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ข้าทำมันก็แค่การสวมเกราะหนักๆให้กับเจ้า ไม่แม้แต่จะเคยคิดที่จะสนสิ่งที่อยู่ข้างในเลยด้วยซ้ำ ช่างเป็นพ่อที่โง่เง่าอะไรอย่างนี้…”
“ได้โปรดอย่าพูดเช่นนั้น ต่อให้ท่านเป็นคนพูดเอง ข้าก็ไม่อาจทนฟังคำใดๆที่ทำให้ท่านเสื่อมเสียได้…คุณพ่อค่ะ!”
“ถ้าเช่นนั้นช่วยบอกพ่อผู้น่าสมเพชคนนี้ พ่อผู้ไม่เคยรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานที่ลูกสาวตนเองต้องพบเจอ…ยูฟี่เจ้ายังอยากเป็นราชินีอยู่หรือเปล่า?”
แกรนส์เอื้อมมือไปลูบแก้มของยูฟีเลียเพื่อปาดหยดน้ำตาออก เมื่อชักมือกลับยูฟีเรียก็รีบคว้ามือของเขาเอาไว้แน่น
มันเป็นมือที่ใหญ่ หยาบกรานแต่ก็อบอุ่น รู้สึกเหมือนกับมือของพ่อที่เธอจำได้เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
เมื่อได้กุมมือนี้อีกครั้ง มันก็ทำให้กำแพงอันแสนดื้อรั้นที่เธอสร้างไว้ปกป้องหัวใจได้พังทลายลง
“…ข้าขอโทษ ข้าไม่สามารถยืนข้างองค์ชายอัลการ์ดได้อีกแล้ว ข้าไม่อยากเป็น…ไม่อยากเป็นราชินีเลย”
“…งั้นรึ”
“…ข้าขอโทษที่ทำให้ความพยายามทั้งหมดของท่านต้องสูญเปล่า”
“ไม่หรอกยูฟี่ สิ่งเดียวที่ข้าปรารถนาคือเจ้ามีความสุขสามารถยิ้มออกมาได้จากก้นบึ้งของหัวใจ เจ้าทำดีที่สุดแล้ว ข้าสิต้องขอโทษที่ใช้เวลานานขนาดนี้กว่าจะรู้สึกตัว ยูฟี่ข้าขอโทษ”
แกรนส์ดึงตัวยูฟีเรียมาสวมกอดไว้แน่นจนใบหน้าของเธอฝั่งแน่นลงบนอก ทำให้เธอเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาก้มมองลูกสาวตนอย่างอบอุ่นและลูบหัวเธอเบาๆ
“โอ้วววว ท่านพ่อๆ! บรรยากาศแบบนี้มัน! เหมือนสร้างโลกใบน้อยๆของสองเราขึ้นมาเลยเนอะ!”
“เจ้าาาาาาาาาาาาาาา! แม้แต่ในเวลาแบบนี้ก็ยังงงงงง??!!”
“คอ! คอจะหักแล้ววววว! ข้าหายใจไม่ออก! กรรมการ! กรรมการอยู่ไหน?! ยอมแพ้ยอมแพ้แล้ว!! แค่กๆ หยุดบีบคอข้าได้แล้ว?!”
มือหนึ่งบีบคออานิสเฟียร์ ส่วนอีกมือเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
อานิสเฟียร์พยายามดิ้นหนีพร้อมกับเอามือตีแขนออลฟรานด้วยใบหน้าไร้สีเลือด
แกรนส์กับยูฟีเรียหันไปมองคู่พ่อลูกตีกันสักพัก ก่อนหันกลับมามองหน้ากันราวกับกำลังพูดว่า ‘น่ารำคาญจริงๆ’ และยิ้มให้กัน
“ฝ่าบาท ข้ารู้ว่าท่านต้องคุยกับเจ้าชายอัลการ์ดเรื่องการถอนหมั่น แต่ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ข้าขอให้ท่านยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้อย่างเป็นทางการด้วย”
“เงยหน้าขึ้นเถอะแกรนส์ เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เมื่อยูฟีเลียสงบลงแล้ว แกรนส์ก็ก้มหัวลงขอร้องออลฟราน ทำให้เขาต้องรีบเอ่ยห้ามด้วยท่าทางขมขื่น
“เรื่องอัลการ์ดให้ข้าจัดการเอง…พูดตามตรงข้าไม่รู้ว่าจะต้องขอโทษอย่างไรถึงจะสาสม แต่สิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้ในตอนนี้คือการขอโทษ ข้าขอโทษเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้จริงๆ แกรนส์ ยูฟีเลีย”
“ผ่าบาท! ท่านไม่ควรก้มให้เช่นนี้นะคะ…!”
“ใช่แล้วล่ะออลฟราน อย่าทำให้ยูฟีเรียลำบากใจสิ”
“นี่ไม่ใช่การก้มหัวในฐานะราชาแต่เป็นในฐานะพ่อคนหนึ่ง ถึงแม้บางทีการเป็นพ่อมันจะยุ่งยาก โดยเฉพาะกับลูกสาวน่ะนะ”
ออลฟรานและแกรนส์พากันหัวเราะในขณะที่อานิสเฟียร์ลูบคอด้วยความเจ็บปวด
ยูฟีเรียอดไม่ได้ที่จะจ้องมองผู้เป็นพ่อหัวเราะด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าเธอได้เห็นด้านใหม่ๆหรือด้านที่ไม่ได้เห็นมานานของเขา
“องค์หญิงอานิสเฟียร์ ข้าไม่วางใจที่จะปล่อยให้ยูฟีเรียอยู่ในการดูแลของท่าน แต่ข้าจะอนุญาตหากเธอต้องการเช่นนั้นและท่านยอมทำตามเงื่อนไขบางอย่าง”
“เย้!…เอ๊ะ? เงื่อนไข?”
รอยยิ้มดีใจเมื่อครู่จางหายไปเมื่อได้ยินคำว่าเงื่อนไขของแกรนส์ ทำให้อานิสเฟียร์เอียงคอด้วยความสงสัย
แกรนส์นั่งยืดตัวตรง ปรับสีหน้าให้เหมาะสมกับตำแหน่งดยุค บรรยากาศอันอบอุ่นที่เขามอบให้กับยูฟีเรียเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นหน้ากากอันเย็นชาเมื่อมองอานิสเฟียร์
“หากต้องการให้ข้าอนุญาตให้ยูฟีเรียอยู่ภายใต้การดูแลของท่านแล้วละก็ ข้าคงต้องขอให้ท่านอ้างสิทธิในการสืบทอดราชบัลลังก์เสียก่อน”
“ห๊าาาาาาาาาาา?!”
อานิสเฟียร์อ้าปากค้าง เธอมองแกรนส์ราวกับไม่เชื่อว่าคำๆนั้นจะหลุดออกจากปากเขา
ออลฟรานเลิกคิ้วขึ้นด้วยประหลาดใจ
“เจ้าคงมีแผนบางอย่างสินะ?”
“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าชายอัลการ์ดอาจไม่ได้ขึ้นครองราชย์ก็ได้”
“ทำไมอ่ะ?!”
อานิสเฟียร์ถามแทรกขึ้นแต่แกรนส์ก็เมินคำถามนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้ามีความกังขาต่อวุฒิภาวะในฐานะผู้ปกครองของเจ้าชายอัลการ์ด แต่ไม่มีความกังขาเช่นนั้นกับท่าน องค์หญิง หากได้รับการอบรมซะใหม่ ข้ามั่นใจว่าท่านต้องเหมาะสมกับตำแหน่งผู้ปกครองแน่”
“บะ บ้าน่า! ลอร์ดแกรนส์! นี่ท่านตาบอดไปแล้วเรอะ?!”
“แน่นอนว่าพฤติกรรมและกิริยาท่าทางของท่านตอนนี้ช่างห่างไกลจากคำว่าราชวงศ์ยิ่งนักองค์หญิงอานิสเฟียร์ แต่นั่นคือการมองผ่านระบบปัจจุบันของอาณาจักรต่างหาก”
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ออลฟราน เจ้าไม่คิดว่าการปล่อยให้ลูกสาวตัวปัญหาของเจ้าปกครองอาณาจักรมันน่าสนใจมั่งรึ?”
“ห๊าาาาาาาาาา?!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง อานิสเฟียร์จ้องเขม็งไปที่แกรนส์ราวกับว่าเขาเสียสติไปแล้ว แม้แต่ยูฟีเรียก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางพ่อของเธอเมื่อได้ยินข้อเสนอที่ไม่น่าจะออกจากปากคนอย่างเขาได้เลย
“นี่ท่านเอาจริงเหรอ? ไม่ได้เสียสติไปแล้วสินะ? ทำไมอ่ะ? เพราะอะไรกันลอร์ดแกรนส์? ข้าเคยไปทำอะไรให้ท่านเรอะ? ทำไมท่านถึงพยายามลงโทษข้าด้วยสิ่งที่โหดร้ายป่าเถื่อนแบบนี้ด้วย?!”
“ข้าก็แค่ทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของอาณาจักรเท่านั้นเอง”
“ถ้าให้ข้ารับผิดชอบอาณาจักรได้ล่มสลายแน่ๆท่านรู้ใช่ไหม?! ไม่ๆๆ ยังไงข้าก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด!”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าจะให้ยูฟีเรียอยู่ข้างกายท่านไง เมื่ออยู่ข้างท่าน ยูฟีเรียก็จะได้เรียนรู้ศาสตร์เวทในขณะเดียวกันก็สามารถบริหารอาณาจักรโดยใช้ความรู้ที่ฝึกฝนมาเพื่อเป็นราชินีได้อย่างเต็มที่ด้วย”
“นี่ท่านพูดบ้าอะไรออกมาเนี่ย?!”
แม้แต่อานิสเฟียร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเพี้ยนมากกว่าใครๆ ยังอดรู้สึกว่าสิ่งที่แกรนส์พูดออกมานั้นโคตรไร้สาระ
แต่แกรนส์กลับไม่มีความลังเลใดๆ
“ข้าแค่พูดถึงทางเลือกที่สามารถเป็นไปได้เท่านั้น”
“…งี้นี่เอง ท่านต้องการให้ข้าเป็นตัวกระตุ้นอัลคุงสินะ?”
แกรนส์พยักหน้าตอบเบาๆ
“ในฐานะลูกชายคนโตสถานะของเจ้าชายอัลการ์ดยังมั่นคงอยู่ ถึงแม้ว่าท่านจะอ้างสิทธิในการสืบทอดราชบัลลังก์แต่ท่านก็เป็นแค่ผู้มีสิทธิสืบทอดลำดับสองเท่านั้น”
“ตามกฎก็คงเป็นแบบนั้นล่ะนะ”
“ถึงองค์หญิงอานิสเฟียร์จะไม่เคยทำตามกฎเลยก็เถอะ”
“ไม่ๆๆ อย่าพูดเหมือนตกลงกันเรียบร้อยแล้วสิ! ยังไงข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ!”
“อย่างไรก็ตามหากเจ้าชายอัลการ์ดหมดสิทธิสืบทอดก็จำเป็นต้องมีใครสักคนสำรองไว้ หากวันใดเขาไม่คู่ควร บัลลังก์ก็จะตกเป็นของท่าน องค์หญิง”
“นี่ท่านต้องการเขี่ยอัลคุงทิ้งงั้นเหรอ?! ไม่ใช่ว่าท่านอยู่ฝ่ายอัลคุงเหรอ?! ไม่สิหรือว่าจริงๆแล้วท่านต้องการให้ข้าเป็นหุ่นเชิดของฝ่ายท่านแทน?! นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงของท่านสินะ!”
ทั้งหมดที่อานิสเฟียร์ต้องการคือศึกษาศาสตร์เวทและเพลิดเพลินไปกับผลงานวิจัยของตัวเอง
และเหตุผลหลักที่เธอยังเป็นเจ้าหญิงต่อไปก็เพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้ผลการวิจัยถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ไม่งั้นป่านนี้เธอคงหนีออกจากไปตั้งรกรากอยู่แถวๆย้านนอกแล้ว
แต่ถึงจะคิดแบบนั้นเอาจริงๆคงเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าทำงั้นจริงพ่อแม่ของเธอต้องโกรธจัดแน่
ดังนั้นเพื่อปกป้องสถานะของอัลการ์ด อานิสเฟียร์จึงมักจะทำตัวบ้าบอๆเพื่อแสดงออกว่าตนไม่สนใจบัลลังก์
แต่กระนั้นความสำเร็จของเธอในสายตาอัลการ์ดมันคืออุปสรรคลูกใหญ่
“…อื้มมม หากนั่นคือเป้าหมายของเจ้า ข้าว่ามันก็ไม่เลวเลยนะอานิส”
“ห๊ะ? แม้แต่ท่านพ่อก็แก่จนเลอะเลือนไปแล้วเหรอ? อย่าพูดอะไรที่มันน่าสิ้นหวังแบบนั้นสิ! ท่านคือเสาหลักของอาณาจักรนะ! หากทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นประชาชนจะมองท่านยังไง?!!”
“อ้ากก นี่เจ้าเกิดมาเพื่อยั่วโมโหกำปั้นข้าสินะ?! หัดคิดทบทวนตัวเองซะมั้งเซ่?!”
ความตื่นตระหนกของอานิสเฟียร์รุนแรงขึ้นเมื่อออลฟรานยกมือขึ้นขู่ แม้ว่าการทุบหัวเธอตอนนี้คงจะไม่ช่วยอะไรแล้วก็ตาม เขาจึงพยายามสงบสติอารมณ์ลงก่อนจะเอื้อมมือไปสั่นกระดิ่งเล็กๆบนโต๊ะเพื่อเรียกสาวใช้มาเสิร์ฟชาถ้วยใหม่ หลังจากสาวใช้ออกจากห้องออลฟรานจึงหันไปคุยกับอานิสเฟียร์อีกครั้ง
“นี่อานิสเจ้าเป็นเด็กเจ้าปัญหาที่สุดในอาณาจักรนี้ เป็นหัวหน้าหน่วยบ่อนทำลายกระเพาะของราชา”
“เดี๋ยวสิชื่อแบบนั้นมันโหดร้ายไปไหมอ่ะ?”
“ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้ดีว่าลึกๆแล้วเจ้ามีจิตใจที่งดงามและมีไหวพริบในการแก้ปัญหาต่างๆ…ว่ากันตามตรงในหมู่พวกผู้ติดตามทั้งหลาย พวกเขาชอบเจ้ามากกว่าอัลการ์ดซะอีกนะอานิส”
“ไหงเป็นงั้นอ่ะ?”
อานิสเฟียร์เบิกตากว้างราวกับกระต่ายที่ถูกล่า
ออลฟรานมองลูกสาวที่ตกใจพลางนวดขมับไปด้วยแล้วพูดต่อ
“ถึงเจ้าจะเป็นเช่นนั้น…แต่ข้าเชื่อว่าเจ้ามีความเด็ดขาด มีจิตใจอันแข็งแกร่ง หากเกิดวิกฤตขึ้นข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องจัดการกับมันได้อย่างเหมาะสมแน่นอน นอกจากนั้นคือเจ้าไม่เคยคิดร้ายกับคนอื่นและเป้าหมายในการวิจัยศาสตร์ก็เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน ตอนนี้เจ้าอาจจะเป็นแค่เด็กเจ้าปัญหาแต่ในอนาคตนั่นไม่ใช่”
“ไม่ๆ ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าอยากทำเท่านั้นเอง…ไม่ใช่ว่าทำเพื่อคนอื่นซะหน่อย อื้มๆ ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนเลยสักนิด”
ดวงตาของออลฟรานแข็งกร้าวขึ้น อานิสเฟียร์พยายามอ่านอารมณ์ของเขาและขยับถอยหลังไปเล็กน้อย ทันใดนั้นออลฟรานก็พูดต่อ
“ถ้าเจ้าต้องการลงศึกชิงบัลลังก์จริง เจ้าก็ต้องมีคนหนุนหลัง”
“อะ…เอ๊?! นี่ท่านจะให้ข้าลงไปชิงบัลลังก์กับอัลคุงจริงเหรอ นี่ท่านพ่อ?!”
“การมีคู่แข่งคงกระตุ้นให้อัลการ์ดฝึกฝนพัฒนาตนเองมากขึ้น ถ้าเป็นงั้นก็ดีไป แต่ถ้าไม่…ข้าก็จะเอาเชือกผูกคอเจ้าแล้วลากลงไปชิงบัลลังก์เอง ข้าจะไม่ยอมให้อัลการ์ดกลายเป็นกษัตริย์ที่ไร้ความสามารถหรืออาณาจักรไร้ผู้สืบทอดเด็ดขาด”
“เอาเชือกผูกคอข้า ฟังดูเหมือนจะฆ่าทิ้งเลยไม่ใช่เหรอ?! อ่า…เดี๋ยวนะนั่นมันสัตว์เลี้ยงนิ! เหมือนพวกปศุสัตว์ที่รอวันโดนเชือดสินะ!”
ออลฟรานจ้องมองลูกสาวของตนอย่างจริงจัง ในขณะที่อานิสเฟียร์แสดงท่าทีหวาดกลัวสุดขีด
“ไม่อ่ะ ไม่มีทาง ยังไงก็ไม่เอ๊าาาาา! ข้าเนี่ยนะ?! เป็นราชินี?! จริงจังไหมเนี่ย?! ข้าขอโทษด้วยแต่ข้าไม่สนใจสิ่งที่ท่านเสนอ ดังนั้นขอให้เป็นวันที่ดีนะ ข้าไปล่ะ”
“เรายังคุยกันไม่จบ”
“เง๊ะ! งั้นตราบใดที่คุณหนูยูฟีเรียปฏิเสธ เรื่องนี้ก็ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นใช่ไหม?!”
“โฮ่? ท่านเคยพูดว่าต้องการทำเพื่อลูกสาวข้าแค่ไหน แต่พอเอาเข้าจริงท่านก็จะทิ้งยูฟีเรียไปง่ายๆอย่างนี้เลยน่ะรึ…?”
“เพราะลอร์ดแกรนส์นั่นแหละ…?!”
ดวงตาของแกรนส์ฉายแววจริงจัง อานิสเฟียร์ซึ่งเคยเผชิญหน้ากับจิตสังหารของมอนเตอร์มาหลายครั้งถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นภาพแห่งความตายในดวงตาของเขา
“แน่นอนว่าข้าปรารถนาให้ยูฟีเรียมีความสุข แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังคงเป็นดยุคของอาณาจักรนี้ หากเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเจ้าชายอัลการ์ดไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นกษัตริย์ ข้าก็ไม่ลังเลที่จะทำสิ่งที่จำเป็น”
“งั้นแค่ให้ท่านพ่อมีลูกอีกสักคนก็พอแล้วนี่…!”
“เจ้าจะให้แม่เจ้าคลอดลูกตอนอายุเท่านี้น่ะเหรอ?”
“ฮึ้ย ไม่ใช่แบบนั้น ข้าหมายถึง…ข้าไม่อยากเป็น ไม่ว่ายังข้าก็ขอปฏิเสธ ข้าไม่มีทางเหมาะกับตำแหน่งราชินีหรอก!”
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอยู่ฟีเรียถึงอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ไม่มีปัญหา”
“อ้ากกกกกก! นี่คือความรู้สึกของอิเรียตอนที่ข้าขุดคูน้ำรอบปราสาทสินะ! เกลียดเรื่องแบบนี้ที่สุดดดด!!”
อานิสเฟียร์ได้แต่ก้มหน้ากรีดร้อง สิทธิในการสืบทอดบัลลังก์ที่เคยคิดว่าโยนทิ้งเข้าป่าไปนานแล้วจู่ๆก็กลับมาเคาะประตูบ้านพร้อมกับแบกภาระมาเต็มกระเป๋า อ่าาา ทำไมมันเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?! พระเจ้าน่ะรีบๆตายไปได้แล้ว! อานิสเฟียร์บ่นพึมพำกับตัวเองทั้งที่คิดเช่นนั้น
ยูฟีเรียที่ปรับตัวตามอารมณ์ของอานิสเฟียร์ไม่ทันจึงได้แต่เฝ้ามองอยู่เงียบๆ
อานิสเฟียร์บ่นคร่ำครวญกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็เลิกก้มหน้าแล้วนั่งตัวตรง บรรยากาศแตกต่างจากเดิมราวกับเป็นคนละคนกัน
ยูฟีเรียตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอานิสเฟียร์
“แล้วให้เวลานานแค่ไหน?”
“เจ้าคงหมายถึงอัลการ์ดสินะ?”
“ใช่ ท่านพ่อ ลอร์ดแกรนส์ ท่านจะให้เวลาอัลการ์ดในการพิสูจน์ตนเองนานแค่ไหน?”
“…สองปี ถ้าหากก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกก็ปีหน้าข้าจะปลดเขาออกจากตำแหน่งรัชทายาท”
“หรือก็คือต้องรอไปอีกหนึ่งปีถึงจะได้ข้อสรุปสินะ? ดูจากการยืดระยะเวลาแล้ว ท่านคงไม่อยากถูกร้องเรียนเพราะฝ่าฝืนประเพณีโบราณสินะ?”
“อื้ม จนกว่าเราจะแน่ใจว่าอัลการ์ดเหมาะสมหรือไม่ ข้าอยากให้เจ้าคอยอยู่เงียบๆเอาไว้”
“เข้าใจแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากให้อาณาจักรเต็มไปด้วยความขัดแย้ง หากจำเป็นข้าจะเป็นคนขับไล่อัลการ์ดออกไปด้วยตัวของข้าเอง ท่านคงไม่ว่าอะไรสินะท่านพ่อ? ข้าจะเป็นทรราชไม่งั้นคงไม่มีขุนนางคนไหนยอมให้ประเพณีโบราณของราชวงศ์ถูกทำลายแน่ และข้าก็ไม่ได้ใจบุญพอจะปล่อยคนที่ขวางทางมีชีวิตรอดด้วย ถึงแม้จะต้องนั่งบนบัลลังก์เหนือกองซากศพข้าก็จะทำ”
ยูฟีเรียตัวสั่นเมื่อจ้องมองไปยังดวงตาอันไร้อารมณ์ที่ราวกับหลุมอันดำมืดของอานิสเฟียร์
แกรนส์ที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นานแล้วที่ข้าไม่ได้ใบหน้าเช่นนั่นของท่าน”
“ลอร์ดแกรนส์คิดจะล้อเล่นกับข้างั้นเหรอ?”
“เจ้ามักจะเป็นแบบนี้เสมอตอนที่เลือดขึ้นหน้า ทำไมถึงชอบสับสวิตช์ในสถานการณ์แบบนี้ตลอดเลยฮ๊ะ?!”
“ห๊าาาาาาาา?! ข้าถึงได้บอกไงว่าไม่อยากเป็นๆ สุดท้ายก็มาอีหรอบนี้จนได้! และท่านยังจะจับข้าเอาไว้ในกรงเหมือนนกตลอดทั้งปีอีก?! เอางั้นก็ ข้าจะทนกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้แล้วหลังจากนั้นท่านต้องจัดงบประมาณให้ข้า!”
อานิสเฟียร์หันกลับตะโกนใส่ออลฟราน ท่าทางอันเงียบขรึมเมื่อครู่พังถลายลงกลายเป็นการงอแง่เหมือนเด็กๆ
“ถ้าเจ้าทำได้ตามที่ขอข้าจะให้รางวัลเจ้าก็ได้”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอกยูฟี่ ปกติองค์หญิงอานิสเฟียร์มักไม่ได้แสดงท่าทางอย่างนั้นหรอกนะ แต่ตอนเลือดขึ้นหน้าก็จะเป็นแบบที่เจ้าเห็นนั่นแหละ”
“อ่า…ค่ะ แล้วงบประมาณนี่คือ?”
“องค์หญิงอานิสเฟียร์ไม่เคยร้องขอเสื้อผ้า เครื่องประดับหรืออะไรทำนองนั้นเหมือนกับเจ้าหญิงองค์อื่นๆ ไม่คิดว่าแบบนั้นก็ถูกมากแล้วรึออลฟราน?”
“นางจะเป็นเจ้าหญิงที่ราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์อาณาจักรเมื่อแลกเปลี่ยนกับความเครียดของคนเป็นพ่อน่ะนะ อ่า ถึงข้าจะชมว่านางมีจิตใจดีงาม… แต่จะดีกว่านี้หากสนใจกระเพาะที่น่าสงสารของข้าสักเล็กน้อย อู๊ยยยยย?!”
“พ่อที่ฉีกกระซากความฝันและความหวังของลูกสาวเป็นชิ้นๆอย่างท่านพูดได้เรอะ?!”
“แล้วทีเจ้าละเจ้าลูกงี่เง่า!”
มุมปากยูฟีเรียกระตุกไปมาเมื่อเห็นภาพองค์หญิงกับราชาตีกันบนโซฟา
“องค์หญิงอานิสเฟียร์ ถ้าจะขอรางวัลทั้งทีไม่คิดว่าแค่งบประมาณมันน้อยไปงั้นรึครับ?”
แกรนส์ที่เฝ้ามองอยู่เงียบๆถามขึ้นขณะที่คู่พ่อลูกกำลังดึงแก้มกันไปมา ทำให้อานิสเฟียร์ต้องหยุดตีกับออลฟรานแล้วหันไปตอบแกรนส์
“ลอร์ดแกรนส์ งบประมาณของราชวงศ์คือเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตาของประชาชน คือปุ๋ยที่คอยหล่อเลี้ยงอาณาจักร ไม่ใช่อะไรที่สามารถเอามาใช้ทิ้งขว้างได้”
“ถ้างั้นทำไมท่านไม่ขออย่างอื่นนอกจากงบประมาณล่ะครับ?”
“อย่างอื่นนอกจากงบประมาณ? หมายถึงวัตถุดิบน่ะเหรอ? แต่ของแบบนั้นข้าไปล่ามาเองก็ได้นี่…”
อานิสเฟียร์คิดถึงสิ่งของอย่างอื่นที่อยากได้แทนงบประมาณ แต่เพราะเธอเป็นคนประเภทที่ชอบสะสมของต่างๆที่อยากได้ด้วยตัวเอง ที่อยากได้จริงๆก็คงเป็นการสละสิทธิสืบทอดบัลลังก์ แต่พูดไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“ถ้างั้นแล้วข่าวลือนั่นละครับ?”
“ข่าวลือ?”
“ที่ว่าท่านชอบผู้หญิงน่ะครับ”
“อ่า อื้มมม…จะว่ายังไงดี? ถ้าพูดถึงในแง่ของมิตรภาพและการรักใครสักคนข้าก็อยากให้คนๆนั้นเป็นผู้หญิงมากกว่า ส่วนผู้ชายเหรอ? สำหรับข้าแล้วคงดีกว่าถ้าเป็นแค่เพื่อนอ่ะนะ อาจจะอธิบายยากไปหน่อยแต่แค่คิดว่าได้คู่ชีวิตเป็นผู้ชายขนข้าก็ลุกไปหมดแล้ว เพราะงั้นเรื่องความรักนี่คงไม่ไหว ข้าเลยพยายามหลีกเลี่ยงพวกเขาตอนที่พูดอะไรแปลกๆหรือพยายามแตะต้องตัวข้าน่ะ ท่านคงพอเข้าใจนะ…?”
“แค่ได้ยินก็ปวดหัวแล้ว…”
ขณะที่อานิสเฟียร์กำลังอธิบายความชอบของตัวเองอย่างช้าๆ ออลฟรานก็เอามือกุมขมับด้วยความขุนเคือง
ส่วนแกรนส์เอามือแตะคางแล้วหลับตาครุ่นคิดบางอย่าง
“นั่นมันค่อนข้าง….ไม่สิข้าเข้าใจแล้ว…ถ้างั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยตัดสินใจเรื่องนี้เมื่อท่านต้องการก็ได้”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ได้สินะท่านพ่อ?”
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้าอานิส…ข้าขอโทษที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเจ้าไม่ชอบก็ตาม”
“คนที่ข้าโกรธจริงๆคืออัลคุงต่างหากล่ะ! อ๊ากกกก ได้โปรดอย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกเลยเถอะ!!”
อีกด้านของราชวงศ์ที่เห็นวันนี้ทำให้ยูฟีเรียสับสน ราวกับคำว่าราชวงศ์ในอุดมคติของเธอได้พังลงต่อหน้าต่อตา
“แล้วเจ้าละยูฟี่ อยากเรียนศาสตร์เวทกับองค์หญิงหรือไม่?”
“เอ๊ะ? ค่ะ ข้าสนใจงานวิจัยขององค์หญิงตั้งแต่ตอนที่เห็นผลงานบางอันเมื่อวานแล้วค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นตราบใดที่ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น องค์หญิงอานิสเฟียร์ก็จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนตลอดทั้งปี ถือเป็นโอกาสให้เจ้าได้พักผ่อนเช่นกันนะยูฟี่”
“ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ”
แม้จะใช้ภาษาที่ดูเป็นทางการ แต่ยูฟีเรียก็ยิ้มอย่างมีความสุขให้กับเขา ส่วนแกรนส์เองเมื่อมองดูรอยยิ้มนั่นหน้ากากอันเย็นชาของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย
สิ่งที่ต้องการ = ฉากหวานๆ อุปกรณ์เท่ๆ
สิ่งที่ได้ = การเมือง ปัญหาครอบครัว…. ฉากห้องนอนในมังงะอยู่ตรงไหนนนนนน