แสงที่ 14 รีดข้อมูล (2)
หลังจากที่ผมบอกกับเจมิสให้ไปจัดหาอุปกรณ์ เจ๊แกก็ได้ออกไปจัดการด้วยตัวเอง เธอสั่งให้ทหารไปรวบรวมสิ่งที่ผมอยากจะได้มา ก่อนที่สุดท้ายผมจะได้อุปกรณ์ตามที่ต้องการ แม้จะขาดบางชิ้นที่สำคัญไปก็เถอะ..
ซึ่งหลังจากที่ทหารนำอุปกรณ์มาแล้ว เจมิสก็ได้นำทางผมเข้าไปภายในคอกม้าขนาดใหญ่มีม้าอยู่เกือบราวๆ 70 กว่าตัว
เมื่อเดินเข้ามาจะพบเข้าทางเดินสายกลางแคบๆ ทั้งสองฝั่งข้างทางจะมีม้าที่ถูกขังอยู่ในคอกเป็นล็อกๆตลอดทางเดิน..
“ไอ้พวกสวะเอลเดีย..!!!!!”
ในขณะที่ผมกำลังเดินอยู่ จู่ๆก็มีเสียงตะโกนแหกปากโวยวายที่ดังมาจากสุดปลายของทางเดิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสียงนั้นคือของไอ้เวรตัวไหน..
ผลั๊วะๆ ๆ ๆ..!!
และทันทีที่ผมเดินมาถึง ภาพที่ปรากฏอยู่นั่นก็คือร่างของป้าคนหนึ่งอายุประมาณ 50 เห็นจะได้ เธอกำลังหวดขาซ้อมไอ้เจ้าโล้นของผมอยู่..
“ท่านร้อยเอกซิลเวีย ฉันพาเขามาแล้วค่ะ..”เจมิสที่เรียกขานชื่อของป้าตรงหน้า เมื่อป้าแกหันกลับมาเธอก็จ้องมองมาที่ผม..
“เธอคงเป็น..”
“ผมว่าที่สิบตรีสตาร์ มารายงานตัวแล้วครับ ท่านผู้บัญชาการ..”ผมที่ทำความเคารพ หืม..จะว่าไปถึงป้าซิลเวียแกจะอายุ 50 แล้ว แต่ผิวก็ยังคงดูเต้งตึงอยู่นะ ไม่บอกนี่นึกว่าอายุ 30 ต้นๆ.
“อู้ว..สาวใหญ่..~”เสียงของไอ้จ้อนที่ดังออกมา
“เรียกฉันว่าร้อยเอกก็ได้..ว่าที่สิบตรีสตาร์”ซิลเวียที่กล่าวออกมา สีหน้าของเธอดูเป็นมิตร
“ครับท่าน..!”ผมที่ตอบกลับ เมื่อซิลเวียได้ยินคำขานรับของผม เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย..
“ช่วยมองข้ามด้วยค่ะ เจ้านี่มันก็ชอบพูดอะไรแปลกๆแบบนี้..”เจมิสที่กล่าวออกมา
“อืม..ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ก็เอาเถอะ..ว่าที่สิบตรีสตาร์ เธอคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ได้จริงๆอย่างงั้นเหรอ..?”ซิลเวียที่ถามผม..
“การรีดข้อมูลจากเชลยสำหรับผมถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างถนัด..”ผมที่ตอบกลับ..
“ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ..”ซิลเวียที่กล่าวออกมา ถึงแม้เธอจะแสดงสีหน้าสงสัยว่าผมไปเคยทำตอนไหน ทั้งๆที่พึ่งจะได้เข้าออกรบเป็นครั้งแรก
“หึๆ ฮ่าๆ รีดข้อมูลอย่างงั้นเหรอ..? ฝันไปเถอะ..ถึงต่อให้ต้องตาย พวกแกก็จะไม่ได้อะไรไปจากฉันทั้งนั้น..!”ไอ้เจ้าโล้นที่ส่งเสียงหัวเราะออกมา..
“อืม..เยี่ยม มันคายข้อมูลมาแล้ว..”ผมที่กล่าวออกมา เมื่อเจมิสกับซิลเวียได้ยินก็ขมวดคิ้วด้วยความฉงน..
“อะไรนะ..?”ไอ้โล้นที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกล่าวออกมา
“พื้นฐานของการรีดข้อมูล ถ้าเป็นเชลยที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี มันจะไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น มันจะไม่โต้ตอบกับคนที่กำลังจะรีดข้อมูลจากมันเด็ดขาด..”ผมที่กล่าวออกมา ก่อนจะหันไปบอกกับทหารที่แบกอุปกรณ์มาให้..
“วางไว้ตรงนั้นเลย..”ผมที่เดินไปหยิบเหล็กตีเบอร์มาหนึ่งอัน โชคดีที่ภายในห้องนี้มีเตาผิงอยู่ ผมจึงเดินเอาเหล็กในมือไปสุมไว้ใต้ถ่าน เพื่อทำให้มันร้อน..
“กะ..แกกำลังทำอะไร..?”ไอ้โล้นที่กล่าวออกมา สีหน้าของมันแลดูไม่สู้ดีนัก ทางด้านของเจมิสกับซิลเวียก็ได้แต่มองการกระทำของผมด้วยความสงสัย
นี่อย่าบอกนะว่าทหารโลกนี้มันไม่รู้จักวิธีการรีดเค้นเอาข้อมูล ก็อย่างว่าแหละสักจะเอาแต่สู้กัน บ่งบอกให้เห็นถึงวิทยาการทางการทหารที่โครตจะล้าหลังไม่ต่างอะไรกับโลกยุคหินที่มีเวทมนตร์..
“เอาล่ะต่อไปก็..”
ผมที่หยิบเชือกกับเก้าอี้และเดินไปวางเอาไว้ใกล้ๆไอ้เจ้าโล้น เมื่อเดินมาถึงก็ทำการถอดกางเกงของมันออกจนเปลือยเปล่า ต่อจากนั้นก็จัดการเจาะรูที่นั่งของเก้าอี้ให้เป็นรูตรงกลาง พร้อมกับอุ้มร่างของเป้าหมายขึ้นไปนั่ง..
“ไงไอ้น้อง..โชคร้ายจังนะแกที่ไปอยู่กับไอ้เจ้าหัวโล้นนั่น..”ไอ้จ้อนที่เอ่ยปากทักทายเพื่อนของมันหรือก็คือไอ้จ้อนของไอ้โล้น..
โดยที่ทางด้านของเจมิสกับซิลเวียที่ได้เห็นร่างกายอันเปลือยเปล่าของไอ้โล้นก็ดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาสักเท่าไหร่ อีกคนก็ไม่อยากให้ผู้บัญชาการมองว่าตัวเองอ่อนด้อย ส่วนอีกคนก็ไม่อยากจะเสียอีโก้ต่อหน้าลูกน้อง ต่างคนต่างสงวนท่าทีเอาไว้
ฟุบ..!
ผมที่จัดการเอาเชือกมัดร่างของไอ้โล้นติดเอาไว้กับเก้าอี้ ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะเริ่มแสดงความวิตกกังวลออกมาให้เห็น ก่อนที่ผมจะจัดการเอาผ้าผืนเล็กๆขยำเป็นก้อนยัดใส่ปากของมันเอาไว้
“พอจะมีบุหรี่สักม้วนไหมครับ..?”ผมที่หันไปถามกับเจมิสและซิลเวีย ก่อนที่ทั้งสองจะพร้อมใจกันหยิบกล่องใบเล็กๆออกมา พอเปิดฝาก็พบเข้ากับบุหรี่ นี่พวกเจ๊ดูดมันทั้งสองคนเลยเหรอ รู้ไหมว่ามันเป็นของไม่ดี..
“ขอมวนเดียวพอครับ..”ผมที่บอกกับทั้งสอง ก่อนจะหยิบบุหรี่มาหนึ่งมวน ก่อนที่เจมิสจะยื่นไฟแช็คคล้ายกับซิบโป้มาให้
“ในระหว่างที่ผมกำลังรีดข้อมูล รบกวนพวกท่านทั้งสองอย่าพึ่งเข้ามายุ่งนะครับ ไม่อย่างงั้นจะทำให้กระบวนการเสียรูปแบบ..”ผมที่บอกกับทั้งสอง ก่อนที่เจมิสกับซิลเวียจะพยักหน้า..
แช็ค..
“โชคดีจริงๆที่ฉันควักตาแกออกมาแค่ข้างเดียว เอาล่ะ..คำถามแรกก่อนเลย บอกชื่อและยศของแกมา..”ผมที่จุดบุหรี่ พร้อมทั้งถามกับไอ้เจ้าโล้น
“อื้อ..!!”ไอ้โล้นที่พยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมก็ไม่เข้าใจหรอก เพราะด้วยการที่มันถูกผ้าอุดปาก จึงไม่สามารถพูดออกมาเป็นภาษาได้..
“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าแกจะต้องไม่บอก..”ผมที่พูดออกมา ก่อนจะเอาบุหรี่จี้เข้าไปที่หน้าของไอ้โล้น..
“อื้อ..!!”ไอ้โล้นที่ร่างกระตุก แต่ก็ดูเหมือนว่าแค่นี้จะไม่ได้ทำให้มันเจ็บอะไรมาก..
ฟุบ.!
ผมที่ใช้นิ้วถากเบ้าตาที่กลวงโบ๋ของมัน ก่อนจะใช้เป็นที่ขี่บุหรี่ แน่นอนว่ามันคงแสบไม่น้อย
“เอาล่ะ..ตอบคำถามมา..”
“อื้อ ๆ ๆ ๆ..”
“งั้นเหรอๆ ยังปากแข็งอยู่สินะ..”ผมที่ใช้นิ้วถากตาของไอ้โล้น ก่อนจะเอาบุหรี่จี้เข้าไปข้างในเพื่อดับ..
“อื้อ..!!!!!!”ไอ้โล้นที่ร่างกระตุก มันดิ้นไปมาอย่างแรงแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้..
“ในระหว่างรอของใหญ่ เรามาเล่นกันหน่อยดีกว่า..”ผมที่กระตุกรอยยิ้มสุดเหี้ยม เมื่อไอ้โล้นได้ยินก็เบิกถล่นดวงตาอีกกว้าง สีหน้าของมันเริ่มที่จะแสดงความกลัวมากยิ่งขึ้น
“เดี๋ยวสิ..แกเอาผ้าปิดปากมัน แล้วมันจ..ะ..”เจมิสที่กำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับต้องถูกซิลเวียที่ยกแขนขึ้นมาสกัดเอาไว้
โดยที่ซิลเวียในตอนนี้กำลังจดจ่อกับการกระทำของผมด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความสนอกสนใจ
ฟุบ..!
ผมที่เดินไปหยิบเชือกมาหนึ่งเส้น ก้อนจะใช้มันผูกติดกับก้อนหินขนาดเท่ากำปั้น จนกลายเป็นลูกตุ้ม.
ฟุบ.. ๆ ๆ ๆ
ผมที่เหวี่ยงเชือกในมือหมุนก้อนหินเป็นลูกตุ้ม พร้อมกับเดินลอบเข้าไปข้างหลังของไอ้โล้น เมื่อได้จังหวะ ผมก็ได้การเหวี่ยงงัดเสยเข้าไปใต้เก้าอี้อย่างเต็มแรง ไม่ต้องบอกนะว่ามันฟาดกระทบเข้ากับอะไร..
“สตาร์ อย่านะโว้ย..!”
ผลั๊ก..!!!!!!
“อุ๊ก อื้อออออออ..!!!!”ไอ้โล้นที่ตาถล่นหน้าเขียวด้วยความจุกเสียด มันจุกจนแทบจะสิ้นสติ..
“เชี้ยเอ้ย..จุกแทนเลย ฮึก..ตูอยากจะร้องไห้..”ไอ้จ้อนที่สบถออกมา..
“จะตอบคำถามได้แล้วหรือยัง..?”ผมที่ถามกับไอ้โล้น ซึ่งมันก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองผมด้วยดวงตาที่แดงก่ำ..
“อื้อ..~”
“แกนี่มันปากแข็งจริงๆ แต่ก็เอาเถอะ..ฉันยังมีเวลาว่างที่จะเล่นกับแกอีกทั้งวัน และฉันจะขอบอกเอาไว้ก่อนเลย แกไม่มีวันที่จะได้ตายอย่างสบาย ไม่สิ..ชั่วชีวิตต่อจากนี้แกจะต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานนี้ในทุกๆวัน จนกว่าที่แกจะยอมคายข้อมูลที่ฉันอยากจะรู้ออกมา
ซึ่งถ้าเกิดแกยอมที่จะบอกข้อมูลสำคัญกับฉันดีๆ ฉันรับปากว่าจะให้ทางเลือกแก โดยทางเลือกที่ว่ามันมีอยู่ด้วยกันสองทางเลือก ทางเลือกแรกคือได้ตายอย่างสบาย ส่วนทางเลือกที่สองคือใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคอกม้าแห่งนี้..”ผมที่บอกข้อเสนอกับไอ้โล้น..
“อื้อ ๆ ๆ ..!!!”ไอ้โล้นที่ตอบกลับ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันพูดอะไร..
“งั้นเองสินะ..ในเมื่อแกไม่ยอมก็จงลิ้มรสชาติของลูกตุ้มมรณะนี้ซะ..! ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าแกจะทนได้สักกี่น้ำ..”ผมที่กล่าวออกมา
ก่อนที่หลังจากนั้นผมจะทำการหวดลูกตุ้มเข้าสู่ไข่ของไอ้โล้นจนมันจุกจนหน้าเขียวคล้ำ ในระหว่างนั้นผมก็พยายามถามมันอยู่ตลอด จนช่วงเวลาผ่านเลยไปประมาณกว่าสิบนาที..
ตุบ..!!!!!
“อื้อออออออ..”
ในช่วงจังหวะสุดท้ายของลูกตุ้มที่หวดเข้าสู่ลูกอัณฑะของเป้าหมาย เก้าอี้ที่มันนั่งอยู่ก็เอนตัวล้มลงไปในทันที พร้อมกับร่างของไอ้โล้นที่แบกรับความจุกไม่ไหวจนหมดสติไป..
ฟุบ..!
ซ่า..!!!
ผมที่เดินไปหยิบถังน้ำมาสาดใส่ร่างของไอ้โล้น ส่งผลทำให้มันฟื้นกลับขึ้นมา ดวงตาเพียงข้างเดียวของมันในตอนนี้กำลังดูปรือๆ
“ดูเหมือนว่าจะได้เวลาแล้วสินะ..เอาล่ะ ได้เวลาเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการทรมาน แต่อย่าคิดว่ามันจะจบลงง่ายๆ เชียวล่ะ..”ผมที่บอกกับไอ้โล้น ก่อนจะจ้องลงไปยังใบหน้าของมัน..
ฟุบ..!
ผมที่เดินไปหยิบเหล็กตีเบอร์ที่สุมไฟเอาไว้ในตอนแรกออกมา โดยที่บริเวณสัญลักษณะตรงปลายเหล็กในตอนนี้กำลังแดงแจ๋จากความร้อนกว่าหลายร้อยองศา..
“เอาล่ะมาเริ่มกันเลยดีกว่า..”ผมที่เดินกลับไปหาไอ้โล้น ก่อนจะเอาเหล็กตีเบอร์แนบลงไปบนแก้มของมัน..
ฟุบ..!
ฉ่า..!!!!!
“อื้อออออออออ..!!!”ไอ้โล้นที่ชักกระตุกด้วยความเจ็บปวดได้ส่งเสียงร้องออกมา มันในตอนนี้เจ็บจนแทบคลั่ง จากเหล็กตีเบอร์ที่กำลังแนบอยู่บนแก้มของมัน
ซึ่งด้วยความร้อนของเหล็กที่ถูกสุมไฟเอาไว้จนแดง จึงทำให้แก้มของไอ้โล้นไหม้จนกลิ่นเนื้อลอยโชยออกมา
“อืม..ต่อไปฉันจะทำให้แกได้พบกับประสบการณ์ที่สุดแสนจะวิเศษ ฉันเชื่อได้เลยว่าแกจะต้องชอบมันแน่ๆ ลองคิดภาพดูสิ..จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันเอาเหล็กนี่ยัดเข้าไปในรูก้นของแก อู้ว..มันคงจะฟินน่าดูเลย..”ผมที่กล่าวออกมา พร้อมกับเอาเหล็กไปแสดงให้ไอ้โล้นได้เห็น ถึงกับทำให้ดวงตาที่กำลังปรือกลับมาเบิกกว้างขึ้น ผสานกับเสียงโหยหวนที่ดังออกมา..
“อู้ว..~ เข้าไปทีนี่บอกลาโลกได้เลย..”ไอ้จ้อนที่ร้องออกมา..
“อื้อ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ..!”ไอ้โล้นที่พยายามส่งเสียงร้องออกมา ใบหน้าของมันซีดขาว นัยตาฉายแววให้เห็นถึงความหวาดกลัว..
ซึ่งเมื่อผมเห็นดังนั้นก็กระตุกรอยยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินลอบเข้าไปนั่งยองๆอยู่ที่ข้างหลังของมัน..
“เอาล่ะนะ..หลังจากที่ยัดเข้าไปเสร็จ ถ้าคราวหน้าฉันเจอไอ้พวกสวะเมลันเทียอีก ฉันจะป้าวประกาศให้พวกมันได้รู้ว่าแกถูกไอ้เหล็กนี่อัดตูด..ฮ่าๆ ๆ..”ผมที่ส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะเคลื่อนเหล็กเข้าไปใกล้ แต่ทว่า..
“อื้อออออ อื้อ..! อื้อ..!”
“เห๋..อะไรนะ..? แกจะยอมบอกแล้วเหรอ..?”ผมที่เอ่ยถามไอ้โล้น ซึ่งมันก็พยักหน้าขึ้นลงรัวๆ..
“โถ่..ถ้าแกยอมบอกตั้งแต่ทีแรก ฉันก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาขนาดนี้ แต่จะว่าไปไม่ลองสักทีเหรอ..?”ผมที่ถามกับไอ้โล้น โดยที่มันก็ส่ายหน้าไปมายิกๆ..
“เฮ้อ..เสียดายจั..ง หะ..หืม..”ผมที่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับหันไปมองยังเจมิสกับซิลเวีย..
โดยที่ปฏิกิริยาของคนทั้งสองในตอนนี้กำลังยืนเบิกดวงตากว้างขึ้น สีหน้าของพวกเธออึ้งจนไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พอผมเห็นแล้วก็อดที่จะขำในใจไม่ได้..
ฟุบ..!
“บอกแล้ว ได้โปรด..ฉันจะบอกทุกอย่าง..”
ทันทีที่ผมดึงผ้าออกจากปากของไอ้โล้น มันก็รีบพูดออกมาราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูด..
“เยี่ยมเลย..เอาล่ะคำถามแรก แกชื่ออะไร แล้วมียศอะไร..?”
“ฉันชื่อซาเมล ยศแพลทินัมหนึ่งดาว สังกัดอยู่ภายใต้กองกำลังดาเอล..”
“ดีมากซาเมล คำถามต่อไป..แกได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาทำอะไร ขอแบบละเอียด โดยที่ฉันไม่ต้องถามอะไรเพิ่ม ฉันให้โอกาสแกแค่สามครั้ง ถ้าคำอธิบายของแกยังทำให้ฉันเกิดข้อสงสัยในประเด็นที่เรากำลังคุยกันอยู่จนต้องถามออกไป ฉันจะเอาเหล็กนี่ยัดตูดแกและให้แกกลายเป็นเมียของม้าในคอกนี้..”ผมที่กล่าวข่มขู่ เมื่อเจมิสกับซิลเวียได้ยินก็อ้าปากค้าง ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม สงสารน้องม้าเขานะครับที่มีแต่ตัวผู้..
“ฉันได้รับมอบหมายหน้าที่จากนายทหารยศแพลทินัมสามดาวให้นำกองกำลังทหารหนึ่งร้อยนายเข้ามาประชิดชายแดน ภารกิจในครั้งนี้จุดมุ่งหมายคือยึดป้อมปราการที่สองของเอลเดีย เพื่อที่จะเคลื่อนกองกำลังอีกหนึ่งกองร้อยเข้ามาสร้างฐานที่มั่นชั่วคราว.
ซึ่งหลังจากที่ยึดป้อมปราการที่สองได้แล้ว ฉันก็ได้รับมอบหมายจากทหารยศแพลทินัมสามดาวหรือผู้บังคับบัญชาของฉันให้ไล่ล่าสังหารกองกำลังทหารของเอลเดียที่ประจำการอยู่ตรงป้อมปราการ เพื่อไม่ให้ทหารที่หนีรอดนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อศูนย์บัญชาการ แต่ในระหว่างการไล่ล่าพวกเราก็ดันพบเจอเข้ากับกองกำลังสนับสนุนของแก..”ซาเกลที่อธิบายออกมา..
“แล้วพวกแกมีจุดประสงค์อะไ..ร..?”
“เข้าใจแล้ว..แต่แกพลาดไปว่ะ แกไม่ได้อธิบายให้ฉันฟังว่าภารกิจยึดป้องปราการมีจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่ เพราะเท่าที่ฟังดูแล้ว อาณาจักรของแกส่งแค่กองกำลังเล็กๆบุกรุกเข้ามาเท่านั้น ยังไงตอนนี้ก็คงไม่ได้คิดที่จะเปิดศึกสงครามอย่างเต็มรูปแบบ จะบอกว่าแค่อยากจะขยายอาณาเขตเข้ามามันก็คงจะไม่ใช่ ไม่เอาน่าซาเมล แกอยากเป็นเมียม้าหรือยังไงกัน โอกาสแกเหลืออีกแค่สองครั้งแล้วนะ..”
ซิลเวียที่กำลังจะเข้ามาถาม เพราะเจอข้อสงสัย แต่ทว่าผมก็จัดการถามให้ก่อน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกทึ่งในความสามารถของผมอยู่ไม่น้อย..
“อึก..จุดมุ่งประสงค์ที่แท้จริงของการบุกยึดป้อมปราการในครั้งนี้มีอยู่ด้วยกันสองอย่าง อย่างแรกก็เพื่อต้องการที่จะส่งทหารจากเมลันเทียเข้ามาแฝงตัวเป็นทหารอยู่ภายในจักรวรรดิเอลเดีย ส่วนจุดประสงค์ที่สอง..ทางกองทัพของอาณาจักรฉันต้องการที่จะเข้าจู่โจม เริ่มจากการยึดป้อมปราการที่อยู่ติดกับเขตชายแดน ก่อนจะเข้ายึดศูนย์บัญชาการทางทิศใต้ทั้งสามแห่งของพวกแก
ซึ่งถ้าเกิดทำได้สำเร็จ ทางตอนใต้ของเอลเดียก็จะต้องตกกลายเป็นของเรา และเมื่อถึงตอนนั้นการจะกระจายกำลังกันเข้าโจมตีป้อมปราการและศูนย์บัญชาการทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกก็จะไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป ภารกิจในครั้งนี้สาเหตุที่ทางเบื้องบนของเมลันเทียส่งทหารมาเพียงแค่ระดับกองร้อยก็เพราะต้องการจะทำให้พวกแกตายใจ
ทางเบื้องบนมั่นใจในฝีมือของเหล่าทหารจากเมลันเทียเป็นอย่างมาก พวกนั้นคิดว่าถ้าส่งกองกำลังทหารมาน้อย ยังไงทางเบื้องบนของพวกแกก็คงจะประมาทมองว่ามันเป็นเพียงแค่การรุกรานระดับเล็กๆ และส่งกองกำลังมาโต้ตอบในจำนวนที่เท่าๆกัน
นอกเหนือจากนี้ถ้าเกิดว่าพวกเราทำพลาด การสูญเสียที่จะได้รับมันก็จะน้อยกว่าการรุกรานแบบปกติ การตายของทหารเพียงแค่ไม่กี่หนึ่งกองร้อยแลกกับความสำเร็จของภารกิจที่อาจจะมีความเป็นไปได้ มันก็ทำให้เบื้องบนตัดสินใจที่จะส่งพวกเรามาโดยไม่ลังเล..
อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมาในช่วงที่เมลันเทียกับเอลเดีย ต่างฝ่ายต่างกำลังเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อป้องกันการรุกรานจากประเทศใกล้เคียง ทางอาณาจักรของฉันก็ได้แอบส่งทหารบางส่วนเข้าไปในเขตชายแดนของประเทศต่างๆ เพื่อตรวจสอบภูมิศาสตร์ และจุดยุทธศาสตร์ในการรบ
ก่อนที่พวกเราจะวางแผนการและเริ่มภารกิจนี้ขึ้นมา ซึ่งถ้าภารกิจนี้สำเร็จ กองกำลังเล็กๆของพวกเราก็จะค่อยๆขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ และเมื่อยึดครองป้อมปราการรวมไปถึงศูนย์บัญชาการทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกได้เมื่อไหร่ เมื่อถึงตอนนั้นสงครามแบบเต็มรูปแบบก็จะมาเยือน กองพล (ทหาร 1 หมื่นนาย) ก็จะเคลื่อนทัพเข้ามาบุกรุก..”สิ้นคำอธิบายของซาเมลที่คายออกมาจนหมดเปลือก ทางด้านของเจมิสกับซิลเวียก็ถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่..
“สงครามเล็กๆระยะยาวสินะ ถ้าฉันจะต้องให้คะแนนแผนการนี้ เต็มสิบฉันให้แค่หนึ่งคะแนน เพราะถ้าเกิดถูกศัตรูจับได้ ก็จะต้องมานอนคายข้อมูลแบบนี้ยังไงล่ะ รวมไปถึงเรื่องส่งคนให้แฝงตัวเข้ามาด้วย โอกาสที่จะถูกจับได้ก็ค่อนข้างสูง แต่ก็เอาเถอะ..สำหรับโลกนี้แล้วมันก็คงจะเป็นแผนการที่ดีล่ะมั้ง..”ผมที่กล่าวออกมา..
“อะ..อึก..”ซาเมลที่ได้แต่สะกดความรู้สึกเอาไว้ แม้จะรู้สึกคับแค้นใจมากแค่ไหนก็ตาม..
“แต่จะว่าไปแล้ว..กองร้อยที่จะถูกส่งมายังฐานที่มั่นตรงป้อมปราการ แกว่าตอนนี้พวกมันจะมาถึงแล้วหรือยัง แล้วในช่วงที่แกตามล่าทหารของเอลเดียจนมาเจอกับพวกฉัน ในระหว่างนั้นมีทหารของพวกแกเฝ้าอยู่ที่ป้อมปราการบ้างหรือเปล่า..?”ผมที่ยิ้มตาหยี๋เอ่ยถามต่อซาเมล เมื่อมันได้ยินในคำถามก็ถึงกับหน้าถอดสี..
“แน่นอนว่าโอกาสแกเหลือแค่ครั้งสุดท้ายแล้วซาเมล จริงๆฉันก็ไม่ใช่พวกขี้สงสัยหรอกนะ หึๆ..”ผมที่ส่งเสียงหัวเราะอยู่ภายในลำคอ ทางด้านของเจมิสกับซิลเวียที่ยืนอยู่ในตอนนี้ก็ยังคงยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออก..
“อึก..ตอนนั้นฉันได้สั่งให้ทหารยี่สิบนายประจำการอยู่ที่ป้อมปราการ เพื่อรอรับทหารยศแพลทินัมหนึ่งดาวที่กำลังเคลื่อนพลข้ามผ่านชายแดนมา โดยที่การมาของมันได้มีผู้บัญชาการของฉันที่ร่วมขบวนตามมาด้วย คาดว่าในช่วงบ่ายของวันนี้กองกำลังก็น่าจะเดินทางมาถึงยังป้อมปราการแล้ว
ในแผนการที่วางเอาไว้ ทันทีที่ผู้บัญชาการของฉัน และกองร้อยสนับสนุนมาถึงยังฐานที่มั่นหรือป้อมปราการ อีกสองวันต่อจากนั้นพวกเราจะบุกยึดศูนย์บัญชาการทางทิศใต้ของพวกแก ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดนั่นก็คือที่นี่ และในระหว่างที่บุกยึด พวกเราก็จะส่งคนให้เข้าไปสอดแนมยังหัวเมืองต่างๆ..
ซึ่งถ้าเกิดแกสงสัยว่าทำไมผู้บัญชาการของฉันถึงตัดสินใจมายังป้อมปราการด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะว่าเขาคือหนึ่งในคนที่วางแผนการในครั้งนี้ ทันทีที่ฉันสามารถเอาชนะกองกำลังตรงเขตชายแดนของเอลเดีย จนสามารถนำทหารเข้ามาบุกยึดป้อมปราการได้
ผู้บัญชาการของฉันก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าแผนการต่อจากนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน โดยทุกสิ่งทุกอย่างก็เดินไปตามแผนที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกองร้อยสนับสนุนของพวกแกที่ถูกส่งมา รวมไปถึงกลยุทธ์บนเนินที่ราบสูง แผนการทุกอย่างมันลงตัวไปหมด จนกระทั่งแกโผล่ออกมาสังหารทหารทั้งกองร้อยของฉัน แกคือสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนนั้น..”
“ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทหารยศแพลทินัมหนึ่งดาว..? คืออะไรวะ..”ผมที่สบถออกมา..
“ทหารยศแพลทินัมหนึ่งดาวเทียบเท่าได้กับยศร้อยตรีของจักรวรรดิเรา ถ้าเป็นสองดาวก็จะเป็นร้อยโท สามดาวก็จะเป็นร้อยเอก..”ซิลเวียที่อธิบายให้ผมได้เข้าใจ
“ไม่ได้การแล้ว จะต้องรีบแจ้งเรื่องนี้ไปยังศูนย์บัญชาการหลักเพื่อขอกองกำลังสนับสนุน..”เจมิสที่กล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อรู้ว่าอีกสองวันศูนย์บัญชาการแห่งนี้จะถูกข้าศึกบุกเข้าโจมตี..
“ใจเย็นๆก่อน ท่านร้อยตรี..”ผมที่บอกกับเจมิส เมื่อเธอได้ยินก็สงบลง จนซิลเวียที่เห็นต้องรู้สึกประหลาดใจ..
“นี่..ซาเมล ฉัน..”
“อึก..ได้โปรด ฉัน..ฉัน..”
“ไม่..ฉันจะบอกว่าแกเป็นผู้ให้ข้อมูลที่ดีมาก แต่ฉันก็..”
“ขอร้องล่ะ..!! ฮือ..!”ซาเมลที่ร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นว่าผมทำท่าเหมือนจะกำลังถาม..
“เฮ้อ..เอาเถอะ เอาไว้ถ้ามีข้อสงสัยอะไรจะมาหาใหม่นะ..”
“ดะ..เดี๋ยวสิ ละ..แล้วที่รับปากเอาไว้ล่ะ ช่วยฆ่าฉันทีเถอะ..!”ซาเมลที่กล่าวออกมา..
“ได้สิ..แต่หลังจากที่ฉันรีดข้อมูลของแกจนหมดหัวล่ะนะ ตอนนี้ฉันจะเก็บแกเอาไว้ก่อน..”ผมที่บอกกับซาเมล ซึ่งมันก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
ก่อนที่หลังจากนั้นผมจะชันตัวลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งหันไปหาเจมิสกับซิลเวีย..
“ทั้งหมดก็ตามที่เจ้านี่มันบอกแหละครับ..~”ผมที่กระตุกรอยยิ้มกล่าวออกมา แต่ทางด้านของทั้งสองกลับพากันกลืนน้ำลายเสียงดังอึก สิ่งที่เกิดขึ้นในคอกม้าแห่งนี้ มันได้เปิดโลกกระทัดที่พวกเธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
จนทำให้แววตาของพวกเธอที่กำลังมองมาทางผม ค่อยๆที่จะแปรเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ดวงตาที่กำลังมองมนุษย์ด้วยกันเองอย่างแน่นอน..
ไรท์:คอมเม้น..!
MANGA DISCUSSION