กระบี่จงมา - ตอนที่ 919.1 ไยจึงมีเพียงผู้ฝึกกระบี่
อารามเสวียนตูใหญ่ ท่ามกลางป่าท้อมีลำธาร ลำธารใสน้ำตื้น ใสจนมองเห็นถึงก้นบึ้ง
นักพรตผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งกับคนหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่ง ต่างคนต่างนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ม้วนขากางเกงขึ้น เปลือยเท้าจุ่มน้ำในลำธาร คนหนึ่งดื่มเหล้า คนหนึ่งกอดฝักเมล็ดบัวหอบใหญ่ที่เพิ่งเด็ดมาไว้ในอ้อมอก
เจ้าอ้วนเยี่ยนถาม “เหล่าซุน ตอนนั้นทำไมถึงให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่ล่ะ? อาเหลียงก็บอกแล้วว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างพวกเราทะยานลมเดินทางไกลหมื่นลี้จำเป็นต้องใช้กระบี่ มีใครเขาเป็นแบบท่านบ้าง กลับกลายเป็นว่าเอากระบี่เซียนให้คนอื่นยืมเช่นนี้ ตอนนี้กลับดีนัก ข้าได้ยินมาว่าที่ป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นมีเซียนจวินไม่น้อยที่ไม่ค่อยเคารพนับถือท่านเหล่าซุนสักเท่าไรเลย บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับอารามเสวียนตูเหมือนไม้เหี่ยวที่ยันอยู่กับไม้แก่ ฟังดูสิ น่าโมโหเพียงใด ตอนนั้นต่งฮว่าฝูคุยกับข้าเรื่องนี้ ข้าก็โมโหจนควันพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ด เกือบจะบุกไปที่ป๋ายอวี้จิงพร้อมกับเขา คิดว่าจะทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาให้ท่านเหล่าซุนอย่างไรดี แต่ช่วยไม่ได้ ทุกวันนี้ขอบเขตของข้าต่ำเกินไป กลัวก็แต่ว่าถามกระบี่ไม่สำเร็จ ยังกลับกลายจะทำให้อารามเสวียนตูต้องขายหน้าด้วย”
ในฐานะผู้นำของสายเซียนกระบี่แห่งลัทธิเต๋าในใต้หล้า เวทกระบี่และมรรคกถาของเจ้าอารามผู้เฒ่าล้วนสูงพอๆ กัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางนั่งเก้าอี้ ‘อันดับที่ห้าของใต้หล้า’ ใต้ก้นตัวนั้นได้อย่างมั่นคง
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด “มีอะไรก็พูดมาตามตรง ชีวิตนี้ผินเต้าไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมมากที่สุดแล้ว”
เยี่ยนจั๋วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ แล้วนะ? บอกไว้ก่อนนะว่าเหล่าซุนท่านห้ามอาฆาตแค้นน่ะ”
นักพรตซุนหัวเราะร่า “ต้องการให้ผินเต้าสาบานแรงๆ ก่อนด้วยหรือไม่?”
นักพรตของอารามเสวียนตูอายุตั้งแต่แก่จนเด็ก ลำดับอาวุโส ขอบเขตนับตั้งแต่สูงถึงต่ำ ไม่เคยกลัวว่าจะไปมีเรื่องกับใครก็ตามในใต้หล้ามืดสลัว มีเพียงกลัวว่าจะถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้คิดถึง
เห็นว่าเจ้าอ้วนน้อยยังคงไม่ค่อยกล้าพูด นักพรตผู้เฒ่าก็ยิ้มถามว่า “ผายลมที่อั้นไว้อ้อมไปอ้อมมาจะหอมกว่าเดิมหรือ?”
อันที่จริงเยี่ยนจั๋วเริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่คุยเรื่องนี้กับเจ้าอารามผู้เฒ่า เพียงแต่ว่าลูกธนูพาดสายแล้วจำต้องปล่อยออกไป จึงทุบไหที่แตกให้แหลกเสียเลย บอกเรื่องที่ตัวเองคุยกับต่งฮว่าฝูเป็นการส่วนตัวให้เจ้าอารามผู้เฒ่าฟังเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “เทพเซียนน้อยใหญ่ที่ป๋ายอวี้จิงต่างก็พูดกันว่าปีนั้นหากท่านไม่ให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่ ท่านก็สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้จริงๆ แต่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว หากยังคิดจะต่อสู้กับเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงก็ต้องยังสู้ไม่ได้แน่นอน”
“ดังนั้นท่านจึงจงใจมอบกระบี่เซียน ‘ไท่ป๋าย’ ให้ป๋ายเหย่ยืม ทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะได้แสดงมาดแห่งผู้อาวุโสได้อย่างเต็มที่ ได้รับชื่อเสียงที่ดีงาม ทั้งยังทำให้ป๋ายเหย่ติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง ช่วยให้ใต้หล้าไพศาลมีผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์เพิ่มมาอีกคน และทางฝั่งศาลบุ๋นก็ต้องเห็นแก่น้ำใจควันธูปส่วนนี้ และในเมื่อท่านหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตบินทะยานก็ย่อมไม่ต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเต๋าเหล่าเอ้อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยนิสัยของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงผู้นั้นแล้ว ขอแค่ท่านเป็นขอบเขตบินทะยานอยู่ตลอด เขาก็ไม่สะดวกจะรังแกคน จึงได้แต่ไม่ถือสาอะไรท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกสามถึงสี่ตัวแล้ว”
นักพรตผู้เฒ่าฟัง ‘เรื่องเล่าลือภายนอก’ พวกนี้แล้วก็ลูบหนวดหัวเราะร่า ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนจากอับอายพานมาเป็นความโกรธ
เจ้าอ้วนเยี่ยนถาม “เหล่าซุน ท่านแสร้งทำเป็นวางมาดสง่างามเพื่อนำมาใช้ปิดบังไฟโทสะที่ระอุอยู่เต็มอกของตัวเองหรือ? อย่าเลย พวกเราสองคนคือใครกับใคร ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ลำดับอาวุโสสามารถวางไว้ตรงนั้นไม่ต้องไปสนใจ หากว่าโมโหจริงๆ ก็อย่าปิดบังอำพรางอีกเลย อย่าว่าแต่ท่านเลย ข้าได้ยินแล้วไฟโทสะยังลุกท่วมสามจั้ง นี่ก็ไม่ใช่ว่าตกลงกับต่งฮว่าฝูเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ จะจดบันทึกรายชื่อของพวกเทพเซียนผู้เฒ่าที่พูดจาไร้มารยาทพวกนั้นเอาไว้ วันหน้ารอให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานเมื่อไหร่ก็จะไปไล่ถามกระบี่กับพวกเขาที่ป๋ายอวี้จิงทีละคน เหล่าซุนหากว่าท่านไม่เชื่อ ข้าสามารถให้คำสาบานแรงๆ ได้!”
นักพรตผู้เฒ่าแกว่งกาเหล้า “ฝันไปเถอะ เจ้าอ้วนเยี่ยนอย่างเจ้าน่ะหรือ ความกล้าน้อยนิดแค่นั้นล้วนไปอยู่บนหัวการค้ากับเนื้ออ้วนๆ บนร่างหมดแล้ว ทุกวันนี้ยังมีสถานะทำเนียบของอารามเสวียนตู คาดว่าคงไม่กล้าขยับเข้าใกล้ป๋ายอวี้จิงด้วยซ้ำ คำพูดทำนองนี้มีเพียงนักพรตน้อยเฉินที่เป็นคนพูดเท่านั้น ข้าถึงจะยอมเชื่อ”
เยี่ยนจั๋วถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ากลัวจะแพ้ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นจริงๆ สินะ?”
นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้า “ไม่ได้กลัวแพ้ แต่กลัวตาย”
หากเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วต้องถามกระบี่กับอวี๋โต้ว แน่นอนว่าไม่มีทางแค่แบ่งแพ้ชนะเท่านั้น จะต้องตัดสินเป็นตายกันแน่
เยี่ยนจั๋วมีสีหน้าตกตะลึง
นักพรตผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ความกลัวนี้ไม่ใช่ความกลัวแบบทั่วไป ไม่ได้กลัวว่ากายดับมรรคาสลายถึงได้ตัดใจตายไม่ลง แต่เป็นเพราะกลัวว่าน้ำหนักในการตายจะมีไม่มากพอ กังวลว่าจะตายอย่างไม่คุ้มค่า ความอัดอั้นที่สะสมในใจมานานเป็นพันปีนั้น ต่อให้ตายไปก็ยังระบายออกมาไม่ได้ หากว่าได้แค่ระบายออกมาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ก็คงเหมือนผีที่ผูกคอตาย ร่างแกว่งไปแกว่งมา หัวไม่ถึงฟ้า เท้าเหยียบไม่ถึงพื้น ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายที่ค้ำฟ้ายันดินได้แม้แต่น้อย ผินเต้าย่อมตายตาไม่หลับ แต่แรกเริ่ม อันที่จริงผินเต้าไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนี้ ปีนั้นเท้าข้างหนึ่งได้เหยียบลงบนธรณีประตูแล้ว ในขณะที่กำลังจะยกเท้าอีกข้างหนึ่งกลับมีคนมาเป็นแขกที่อารามเสวียนตูโดยที่ไม่มาเร็วกว่านั้นไม่มาช้ากว่านั้น มาพูดคุยกับผินเต้า หลังจากนั้นมาผินเต้าถึงได้ไปผ่อนคลายอารมณ์ที่ใต้หล้าไพศาล ตามข้อตกลง หากว่าตอนไปพกกระบี่ไปด้วย แล้วตอนกลับก็ยังพกกระบี่อยู่ ก็ต้องตรงไปที่ป๋ายอวี้จิง เขาจะไม่มีทางขัดขวางข้าที่จะไปถามกระบี่กับอวี๋โต้วแน่นอน”
เยี่ยนจั๋วถาม “เจ้าลัทธิลู่หรือ?”
นักพรตผู้เฒ่าส่ายหน้า “คือศิษย์พี่ของเฉินเสี่ยวซานกับเต๋าเหล่าเอ้อ เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่มากคุณธรรมและบารมีท่านนั้น”
เยี่ยนจั๋วยกนิ้วโป้ง “ยังคงเป็นเหล่าซุนที่มีหน้ามีตา”
นักพรตผู้เฒ่าหัวเราะ “นี่จะนับเป็นอะไรได้ ปีนั้นตอนที่ข้าสร้างอารามเสวียนตู ในบรรดาแขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีก็มีมรรคาจารย์เต๋า เพียงแต่ว่ามรรคาจารย์เต๋าท่านไม่ยินดีจะเป็นแขกที่แย่งบทบาทเจ้าภาพ บดบังความมีหน้ามีตาของข้า ก็เลยปกปิดสถานะ แต่ก็อยู่จนกระทั่งงานพิธีสิ้นสุดลง มรรคาจารย์เต๋าดื่มเหล้าหนึ่งจอกถึงได้จากไป”
เยี่ยนจั๋วถามอย่างกังขา “เรื่องแบบนี้ทำไมไม่เห็นมีบันทึกไว้บนทำเนียบประจำปีของอารามเต๋าพวกเราเลยเล่า?”
นักพรตซุนย้อนถาม “มรรคาจารย์เต๋าเข้าร่วมงานพิธี อารามเสวียนตูของพวกเราก็ต้องบันทึกไว้เป็นพิเศษด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นจะยังมีอารามเสวียนตูอย่างในทุกวันนี้อีกไหม? ตอนนั้นมรรคาจารย์เต๋าจะต้องมาเข้าร่วมงานพิธีทำไม?”
เยี่ยนจั๋วได้ยินคำพูดวกวนของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องกลอกตามองบน
นักพรตผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “เจ้าลัทธิใหญ่มาเป็นแขกที่อารามเสวียนตู ไม่ได้เสนอข้อตกลงนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เขาโน้มน้าวผินเต้าว่าอย่าได้ถือสาศิษย์น้องรองของเขาเลย หากต้องตีกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่บุญคุณความแค้นส่วนตัวอะไรแล้ว นี่เป็นความจริง ควันธูปของอารามเสวียนตูต้องไม่เหลืออีกแน่นอน เพียงแต่ว่าห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงก็ต้องพื้นที่หดหายไปหลายแห่ง และหากป๋ายอวี้จิงถูกผินเต้าทำลายชายขอบไปสักมุมสองมุม มหามรรคาก็จะไม่ครบสมบูรณ์ ก็เหมือนอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้าที่ขาดออกเป็นสองท่อน หากคิดจะกำราบผู้ฝึกตนทั่วไปย่อมไม่ยาก แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนจำนวนน้อยกลุ่มนั้น อันที่จริงก็เท่ากับว่าป๋ายอวี้จิงไม่ดำรงอยู่แล้ว และตัวของป๋ายอวี้จิงเอง ความหมายของการดำรงอยู่เกือบครึ่งหนึ่งก็คือรอคอยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อที่จะได้จัดการกับผู้ฝึกตน ‘จำนวนน้อย’ ที่ไม่ยอมแพ้กลุ่มนี้ได้พอดี แต่ละคนอดทนกันมาพันปีหลายพันปี หากไม่มีพันธนาการจากสวรรค์ คิดจะทำอะไร แค่นึกก็พอจะรู้ได้ หลีกเลี่ยงให้วันใดที่มรรคาจารย์เต๋าไม่อยู่แล้วก็จะได้ไร้ขื่อไร้แป เดินกร่างไร้ความกริ่งเกรง”
เยี่ยนจั๋วถาม “หากว่าปีนั้นท่านไม่ได้มอบกระบี่เซียนให้ป๋ายเหย่ยืม กลับมาถึงใต้หล้ามืดสลัวก็ลงมือต่อสู้กับเต๋าเหล่าเอ้ออย่างเอาเป็นเอาตาย มรรคาจารย์เต๋าจะไม่ขัดขวางหรือ? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เจ้าลัทธิใหญ่ที่เป็นลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า ก็สามารถปกป้องป๋ายอวี้จิงได้เหมือนกันกระมัง?”
นักพรตซุนหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “มรรคาจารย์เต๋ากินอิ่มว่างงานหรือไรถึงจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยพวกนี้?”
“ส่วนเจ้าลัทธิใหญ่ที่เมื่อสามพันปีก่อนคุณความชอบและบารมีก็เปี่ยมล้นสมบูรณ์แล้วท่านนั้น ความสูงของมรรคกถาเป็นรองแค่มรรคาจารย์เต๋าเท่านั้น ไม่มีน้ำผสมเลยแม้แต่น้อย มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะแตกต่างจากเต๋าเหล่าเอ้อที่แต่งตั้งตัวเองว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าลัทธิใหญ่กับใต้หล้ามืดสลัวก็คล้ายกับๆ หลี่เซิ่งกับใต้หล้าไพศาล ง่ายที่จะชักนำให้เกิดเรื่องราวมากมาย กลับกลายเป็นว่าไม่สะดวกจะลงมือ สมควรอยู่นิ่งไม่ควรเคลื่อนไหว หากขยับทั้งใต้หล้าก็ขยับตามไปด้วย”
เยี่ยนจั๋วฟังอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ดีมาก อารามเสวียนตูมีเหล่าซุนอยู่ พวกเราก็จะได้ฝึกตนอย่างสงบได้แล้ว ข้าไม่อยากจะย้ายบ้านไปเรื่อยๆ หรอกนะ”
เมื่อขบคิดความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ออก เยี่ยนจั๋วก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าลัทธิอวี๋แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
นักพรตผู้เฒ่าหัวเราะร่า “เดามั่วๆ ก็ผิดกฎหมายด้วยหรือ หากว่าเต๋าเหล่าเอ้อใจแคบ ไม่พอใจ ก็สามารถส่งจดหมายมาที่อารามของพวกเราได้ ผินเต้าจะเขียนจดหมายตอบกลับด้วยตัวเองหนึ่งฉบับ แล้วใช้รายงานขุนเขาสายน้ำของฝ่ายต่างๆ ป่าวประกาศให้รู้กันไปทั่วใต้หล้า บอกว่าฉายา ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ นี้ ไม่มีทางเป็นเจ้าลัทธิอวี๋ที่แต่งตั้งขึ้นมาเองเด็ดขาด ใครกล้าไม่เชื่อ พร่ำพูดไม่ยอมหยุด ก็อย่าโทษหากผินเต้าจะไปเล่นงานถึงบ้านด้วยตัวเอง”
เยี่ยนจั๋วยิ้มกล่าว “จากนั้นก็กอดคอพูดคุยแย้มยิ้ม เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องหรือ?”
นักพรตผู้เฒ่ายกน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีเขียวมรกตลูกนั้นขึ้น จิบเหล้าดอกท้อที่อารามหมักเองหนึ่งอึก แกว่งกาเหล้า ไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้ว จึงโยนกาเหล้าว่างเปล่าทิ้งไปในลำธาร ปล่อยให้มันล่องไปตามสายน้ำ “หลายปีมานี้ฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตูนับว่าไม่เสียเปล่าจริงๆ”
อยู่ดีๆ นักพรตผู้เฒ่าก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจขึ้นมาว่า “นังหนูน้อยของพวกเราคนนั้นคู่ควรกับป๋ายเหย่ เหมาะสมกันมากจริงๆ”
ในอดีตตัวสำรองรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้าที่ถูกประเมินออกมา คนหนึ่งในนั้นก็คือนักพรตหญิงคนหนึ่งของอารามเสวียนตู เพียงแต่ว่านางไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ทุกวันนี้เป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว
เยี่ยนจั๋วเอ่ยอย่างเสียใจว่า “ข้าหมดหวังแล้วหรือ?”
นักพรตเฒ่าเอ่ยสัพยอก “เจ้าก็ยังมีพี่หญิงชุนฮุยไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยนจั๋วโบกมือ “คำพูดทำนองนี้อย่าได้พูดเหลวไหล พี่หญิงชุนฮุยได้ยินเข้าอาจไม่กล้าพูดอะไรกับท่านเหล่าซุน วันหน้ามีแต่จะเกลียดขี้หน้าข้า แล้วก็ไม่ยินดีทำการค้ากับข้าอีก”
“ยังจำตอนเข้าฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ได้หรือไม่ มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งร่วมโต๊ะกับข้าและป๋ายเหย่ กินอาหารเจที่ขึ้นชื่อของอารามพวกเราไปหนึ่งมื้อ?”
“จำได้ ทำไมจะจำไม่ได้เล่า ตัวสูงมากเลยนะ หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ ข้ายังนึกว่าเขาจะเป็นคนในยุทธภพ ใครหรือ? หรือว่าเป็นเหยาชิงหัวหน้าสภาขุนนางของราชวงศ์ชิงเสิน?”
“เหยาชิง สี่ไม่เหมือน (เปรียบเปรยว่าไม่เข้าท่า ไม่เป็นรูปเป็นร่าง หัวมังกุท้ายมังกร) อย่างเขาน่ะหรือ? มาอารามเสวียนตู ไหนเลยจะมีคุณสมบัติมานั่งร่วมกับข้าและป๋ายเหย่ กินอาหารเจร่วมกันได้ ผินเต้าให้เหยาชิงไปห้องครัวทำอาหารเจมาให้กินยังจะเป็นไปได้มากกว่า”
เยี่ยนจั๋วมีสีหน้ากังขา คำพูดประโยคนี้ค่อนข้างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าคุยโวไม่ต้องร่างคำพูดแล้ว เหยาชิงเป็นถึงหนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวเชียวนะ แม้จะบอกว่าลำดับรายชื่อไม่สูงเท่าเหล่าซุน แต่ติดกระดานรายชื่อได้ มีใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลผู้สูงส่งดั่งผืนฟ้า
แล้วนับประสาอะไรที่ทุกวันนี้ข้างนอกเล่าลือกันอย่างดุเดือด ต่างก็พูดกันว่าเหยาชิงจะต้องได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ตามหลังอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูไปติดๆ
เป็นเหตุให้เซียนสละศพทั้งสามที่หายนะใหญ่มาเยือนพากันหลบลี้หนีเอาชีวิตรอด คนหนึ่งในนั้น ว่ากันว่าได้ไปขอความคุ้มครองจากเจ้าลัทธิอวี๋แห่งป๋ายอวี้จิงแล้ว
“ตอนที่เจ้าเด็กเหยาชิงนั่นยังเป็นหนุ่มก็คืออันธพาลน้อยที่ชอบเที่ยวเล่นเสเพล ทั้งยังชอบเล่นพนัน! หากไม่เป็นเพราะปีนั้นผินเต้าเดินทางผ่านอู่หลิง ให้ความช่วยเหลือเขาอย่างใจป้ำ บวกกับให้คำชี้แนะเขาไปรอบหนึ่ง ถึงได้มีโชควาสนาอย่างในวันนี้ ไม่อย่างนั้นเวลานี้คงกลับไปเกิดใหม่ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
“สรุปแล้วอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นคือใคร?”
“พูดกับเจ้านี่ช่างเหนื่อยจริงๆ สถานะของเขาเชิญเจ้าเดาได้เต็มที่เลย”
เยี่ยนจั๋วพลันสะดุ้งโหยง ตีอกชกตัว “เหล่าซุนทำไมท่านไม่บอกให้เร็วกว่านี้?! ไม่อย่างนั้นตอนนั้นข้าจะต้องโขกหัวให้อาจารย์ผู้เฒ่าแน่ ต่อให้ต้องคารวะสามกราบต่ออาจารย์ผู้เฒ่าเพื่อแค่สัมผัสโชคชะตาบุ๋นก็ยังดี วันหน้าเวลาที่ต้องทดสอบทำเนียบผายลมสุนัขแต่ละด่านของสายใต้หล้ามืดสลัวของท่านจะไม่ง่ายเพียงยกมือก็คว้ามาครอง ไม่ต้องเปลืองแรงสักกะผีกหรอกหรือ?! ใช่แล้ว โต๊ะกับเก้าอี้ตัวที่อาจารย์ผู้เฒ่าเคยนั่ง ข้าจะต้องยกกลับไปไว้ในห้องตัวเอง บูชาให้ดีๆ หรือจะให้ข้าจ่ายเงินซื้อก็ได้ เหล่าซุนท่านเปิดราคามาเลย…”
แต่จู่ๆ เยี่ยนจั๋วก็พลันเอ่ยว่า “หลอกกันกระมัง?”
——