กระบี่จงมา - ตอนที่ 918.2 ในเสียงท่องตำราบนเส้นทางแห่งสันติสุข
ลู่เฉินพูดพึมพำกับตัวเอง “อีกอย่างปีนั้นเมืองเล็กเจอกับหายนะใหญ่มาเยือน ไม่ใช่ว่ามีแค่เซียนเหรินของป๋ายอวี้จิงพวกเราที่เผยหน้า อริยะของสามลัทธิหนึ่งสำนักต่างก็ปรากฏตัวกันแล้ว”
“อย่างมากสุดก็เป็นคนผู้นั้นของหอจื่อชี่พวกเราที่เจ้าอารมณ์ ชิงลงไม้ลงมือก่อนใคร แต่ผินเต้าไม่เหมือนกันนะ ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งไม่ได้ต่อสู้กับฉีจิ้งชุน แล้วก็ไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตไว้แม้แต่ครึ่งประโยค สามัคคีปรองดองกันอย่างยิ่ง”
“เฉินผิงอันอาศัยอะไรถึงไม่ไปแก้แค้นรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋น แล้วก็ไม่ไปถกเหตุผลกับลัทธิพุทธ แต่ดันคว้าจับข้าไว้ไม่ยอมปล่อย รังแกคนนิสัยดีใช่ไหม ใส่ร้ายข้าเกินไปแล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงทำท่าประหลาด เค้นรอยยิ้มที่หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้มมาให้ จากนั้นก็หุบยิ้มทันที
คล้ายกับคนที่ฟังเรื่องตลกจบ หลังจากให้การสนับสนุนแล้ว เจ้าลัทธิลู่เจ้าก็พูดเรื่องตลกของเจ้าต่อไปเถอะ
ลู่เฉินยกชายแขนเสื้อขึ้นชี้ไปที่เจ้าหมอนี่ “บัณฑิต พวกเราล้วนเป็นบัณฑิต มิน่าเล่า นับแต่เด็กมาหลินโส่วอีถึงได้ไม่สนิทกับเจ้า”
อริยะแสวงหาด้านหนึ่งเพื่อสร้างบรรทัดฐานแก่ใต้หล้า รู้ว่าคนเลื่อมใสความสูงศักดิ์ กฎหมายจึงต้องสนใจคนต่ำต้อย เพื่อถมร่องระหว่างความสูงศักดิ์และต่ำต้อยของใต้หล้าให้เสมอกัน
ชุยฉานตั้งชื่อให้ลูกชายของหลินเจิ้งเฉิงว่า ‘โส่วอี’ ถึงขั้นที่ว่ายังช่วยตั้ง ‘นาม’ ตอนที่หลินโส่วอีต้องสวมกวานไว้เรียบร้อยแล้วแต่เนิ่นๆ ด้วย
แซ่หลินชื่อโส่วอี นามว่ารื่อซิน เป็นทั้งอาทิตย์ขึ้นและวันใหม่ ทั้งเป็นการทำที่รอบคอบและระมัดระวัง
เห็นว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ยังแสร้งโง่ หลินเจิ้งเฉิงก็ยกมือขึ้น สองนิ้วทำท่าเหมือนถือหนังสือแล้วแกว่ง
ลู่เฉินถอนหายใจ
ฉลาดเกินไปก็ไม่ดีเลย ง่ายที่จะหาเรื่องคุยกันไม่ได้
ความหมายของหลินเจิ้งเฉิงก็คงจะประมาณว่า เจ้าและข้าสองคนต่างก็เป็นคนที่เปิดหนังสือของเรื่องราวต่างๆ แห่งเมืองเล็ก เบาะแส เส้นสาย การพัวพัน แนวโน้มการดำเนินไปทั้งหมดล้วนเขียนไว้บนตำราอย่างชัดเจน เจ้าและข้าต่างก็เปิดอ่านอย่างกระจ่างชัด ถ้าอย่างนั้นก็เลิกแกล้งโง่ได้แล้ว
ลู่เฉินทอดถอนใจ “หากว่าฮ่องเต้โน้มน้าวเจ้าได้ เจ้าก็โน้มน้าวเฉินผิงอันให้รับปากเป็นราชครูคนใหม่ของต้าหลีได้”
หลินเจิ้งเฉิงเงียบไม่ตอบ
การวางตัวเป็นคนและการทำเรื่องต่างๆ อันที่จริงล้วนง่ายดายอย่างมาก ก็แค่ต้องเข้าใจว่าข้าก็คือข้า
ในเมื่อข้าคือข้า ก็จำเป็นต้องทำเรื่องมากมายที่สมควรทำ และไม่ทำเรื่องมากมายที่ไม่สมควรทำ
ก็เหมือนอย่างการที่หลินโส่วอีไปที่โรงเรียนแห่งนั้นตอนยังเป็นเด็ก มีครั้งหนึ่งหลังจากเลิกเรียนกลับมาบ้าน ดวงตาของเขาแดงก่ำ คล้ายเพิ่งจะร้องไห้มา
ตอนนั้นหลินเจิ้งเฉิงเห็นเข้าพอดีจึงถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น หลินโส่วอีบอกว่ามีเพื่อนร่วมห้องโกงข้อสอบ เขาไปฟ้องครู จากนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ไยดีตนอีก
‘เจ้าคิดว่าตัวเองทำผิดหรือ?’
‘ไม่!’
‘ทำเรื่องที่ถูกต้องก็ต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีเสมอหรือ?’
‘แล้วไม่ใช่หรือ? ไหนพูดกันว่าคนทำดีย่อมได้ดีตอบแทนอย่างไรล่ะ’
‘ไม่แน่เสมอไปหรอก’
‘หา?’
‘ไม่อย่างนั้นจะต้องให้พวกเจ้าเล่าเรียนไปทำไม’
‘ท่านพ่อ อาจารย์ฉีคุยกับข้าแล้ว เขาก็พูดทำนองนี้เหมือนกัน แต่ข้ารู้สึกว่าอาจารย์ฉีพูดได้ดีกว่าหน่อย บอกว่าให้ข้าเชื่อว่าคนดีต้องได้ดีตอบแทน นี่ไม่ค่อยเหมือนกับที่ท่านพูดสักเท่าไร ท่านพ่อ ตอนที่ท่านเรียนหนังสือก็เคยถูกคนมาดักรอซ้อมท่านในตรอกเหมือนที่ข้าโดนเหมือนกันหรือ?’
‘ไสหัวไปอ่านหนังสือซะ’
‘อ้อ’
‘ใช่แล้ว ใครเป็นคนตีเจ้า?’
‘เจ้าอ้วนหม่าของตรอกเอ้อหลาง’
‘เขาคนเดียวหรือ?’
‘อืม’
‘ไสหัวไป!’
จะโทษที่ลูกกลัวพ่อไม่ได้จริงๆ พ่อลูกสองคนไม่เคยสนิทสนมกัน ขอแค่หลินเจิ้งเฉิงเห็นหลินโส่วอีเกเรตอนเด็กสักเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นทำการบ้านไม่เสร็จก็กล้าไปเล่นสนุก หลินเจิ้งเฉิงที่กลับจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผามาถึงที่บ้าน แล้วเจอเข้าพอดี ก็จะใช้เข็มขัดปรนนิบัติบรรพบุรุษน้อยท่านนี้ ตีจนหลินโส่วอีวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน มักจะไปหลบอยู่ใต้เตียงไม่ยอมออกมา
การที่หลินเจิ้งเฉิงไม่สนใจโรงเรียนที่สุกลเฉินลำธารหลงเหว่ยสร้างขึ้นในภายหลังก็เพราะรู้สึกว่าพวกอาจารย์เกรงใจพวกเด็กๆ มากเกินไป อธิบายหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์บนตำรามากเกินไป ตีเด็กน้อยเกินไป ไม้บรรทัดและไม้ขนไก่พวกนั้นมีไว้เป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ผู้เฒ่าที่อายุมากหลายคนที่คงเป็นเพราะสำรวมในสถานะผู้รอบรู้ด้านการประพันธ์ บรมครูด้านวรรณคดีของตัวเอง จึงพิถีพิถันในข้อที่ว่าวิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ ภายหลังหลินเจิ้งเฉิงทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงเขียนฎีกาลับฉบับหนึ่งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพียงไม่นานก็โยกย้ายเอาตัวอาจารย์อายุน้อยกลุ่มหนึ่งมาที่โรงเรียนได้ เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยจ้างมาแล้ว ความรู้ของฝ่ายหลังต่ำกว่าเล็กน้อย น้ำหมึกน้อยกว่าเล็กน้อย แต่เป็นผู้สอบเคอจวี่ของต้าหลีที่มีหวังจะมีรายชื่อติดกระดานทองคำ ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเด็กนักเรียนประถมที่สวมกางเกงเปิดก้นกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่ามากพอเหลือแหล่ อีกทั้งยังกระตือรือร้นในด้านการสอนมากยิ่งกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้สกุลเฉินหลงเหว่ยก็ผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน เพราะถึงอย่างไรผู้เฒ่าพวกนั้น ใครบ้างที่ไม่ยินดีจะกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลาย มีความสุขอยู่กับลูกหลาน หรือไม่ก็เป็นผู้ดูแลสำนักศึกษาในท้องถิ่นสักแห่ง เพื่อที่จะได้ช่วยอบรมปลูกฝังคนของบ้านเกิดให้กลายเป็นจิ้นซื่อรุ่นใหม่ของต้าหลี?
ลู่เฉินเหลือบมองหลินเจิ้งเฉิง ไม่รบกวนการรำลึกความหลังของบิดาเมตตาบุตรกตัญญูที่หาได้ยากของฮุนเจ่อรุ่นสุดท้ายท่านนี้ เงียบงันไปครู่หนึ่ง รอให้หลินเจิ้งเฉิงเก็บความรู้สึกทั้งหมดกลับมาได้แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุยว่า “เกาเซวียนคือฮ่องเต้ที่ดี ราชสำนักต้าหลีของพวกเจ้าควรจะระวังไว้สักหน่อย หากว่าซิ่วหู่ยังอยู่ หรือไม่ก็เปลี่ยนซ่งจี๋ซินที่ได้เป็นฮ่องเต้ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เกาเซวียนได้เป็นฮ่องเต้ของต้าสุยต่อไปเป็นแน่”
โชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดห้าอย่างซึ่งเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนของถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น เกาเซวียนองค์ชายแห่งต้าสุยได้หนึ่งในนั้นไปครอง ภายหลังเพื่อให้เป็นราคาที่สกุลเกาต้าสุยต้องจ่ายให้กับการเป็นพันธมิตรกับสกุลซ่งต้าหลี เกาเซวียนเคยต้องรับตำแหน่งตัวประกัน มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นอยู่นานหลายปี รอกระทั่งเกาเซวียนหวนกลับมายังต้าสุย เมื่อหลายปีก่อนก็ได้สืบทอดบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ อันที่จริงก็แค่ว่ารับช่วงต่อเอาแผงลอยเละเทะที่จิตใจคนแตกฉานซ่านเซ็นมาจัดการเท่านั้น
ปีนั้นต้าสุยเท่ากับว่ายอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้รบ เป็นฝ่ายยกแคว้นใต้อาณัติหลายแห่งซึ่งมีแคว้นหวงถิงเป็นหนึ่งในนั้นให้กับสกุลซ่งต้าหลี สำหรับศาลบุ๋นบู๊ของต้าสุยที่เดิมทีจิตใจหยิ่งทระนงแล้ว นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง
รอกระทั่งสกุลซ่งต้าหลีสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีปได้สำเร็จ สำหรับราชสำนักต้าสุยแล้วกลับเป็นบาดแผลสาหัสที่ยากเกินกว่าจะประมาณการณ์ได้อีกอย่างหนึ่ง ความฮึกเหิมเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่ล้วนถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกดทับจนพังทลายลงไปแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ องค์ชายเกาเซวียนเป็นฝ่ายสละปลาหลีสีทองตัวนั้น ไม่เพียงแต่ละทิ้งเส้นทางการพิสูจน์ตนเป็นอมตะเส้นนี้ไป ระดับขั้นร่วงลงจากขอบเขตโอสถทองมาเป็นห้าขอบเขตล่าง อายุขัยถูกลดทอนไปเยอะมาก เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีอายุยืนอยู่ได้ไม่ยืนยาวอย่างแท้จริง นี่ถึงได้ไม่ผิดต่อกฎของศาลบุ๋น จึงสามารถสืบทอดตำแหน่งใหญ่ ครองราชย์เป็นจักรพรรดิได้
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ฮ่องเต้สามสิบปี สามสิบปี สามารถทำเรื่องราวต่างๆ ได้มากมายแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องของชะตาชีวิตคนถูกลิขิตมาแล้ว แต่กลับไม่ได้ตายตัวเสมอไป นับแต่โบราณมาก็ไม่มีคำว่าตายตัว เพราะนี่เดิมทีก็เป็นชะตาฟ้าลิขิต ถึงอย่างไรผินเต้าก็เห็นดีในตัวของฮ่องเต้ต้าสุยพระองค์นี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นผู้ที่กอบกู้ความรุ่งโรจน์ซึ่งทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์คนหนึ่งก็เป็นได้”
ปรบมือลุกขึ้นยืน ลู่เฉินเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ บนโต๊ะวางตาชั่งไว้อันหนึ่ง เป็นของเก่าแล้ว น่าจะเป็นของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งที่หยางเหล่าโถวมอบให้ตอนที่หลินเจิ้งเฉิงเพิ่งมารับตำแหน่งฮุนเจ่อใหม่ๆ
ตาชั่งอันหนึ่ง สิบหกตำลึงก็คือหนึ่งชั่ง
แน่นอนว่ามีความรู้ยิ่งใหญ่และมีข้อพิถีพิถันอย่างมาก เนื่องจากลูกตุ้มสิบหกลูกมีความหมายถึงดาวเป่ยโต้วเจ็ดดวง ดาวหนันโต้วหกดวง บวกกับดาวฝูลู่โส่ว (ฮกลกซิ่ว) อีกสามดวง
คนรุ่นก่อนกำชับคนรุ่นหลัง ไม่รังแกฟ้าไม่ปิดบังดิน ไม่อย่างนั้นสั้นหนึ่งตำลึงไร้วาสนา น้อยสองตำลึงเงินเดือนน้อย ขาดสามตำลึงอายุสั้น ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนที่ทำการค้ากริ่งเกรงเรื่องการชั่งขาดจินขาดตำลึงที่สุด นี่เรียกว่าคนกระทำฟ้ามองดู
ลู่เฉินยกตาชั่งอันนั้นขึ้นมา ใช้สองนิ้วคีบแล้วหมุนเบาๆ ถอนหายใจเสียงแผ่ว “ทั้งๆ ที่กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่น่าเสียดายที่ไร้เสียง”
วางตาชั่งลง ลู่เฉินหมุนตัวเอนหลังพิงชั้นวางหนังสือ สองมือถูหน้าโต๊ะที่ทำมาจากไม้ใหญ่ของเขตอวี้จาง เป่าลมลงไปเบาๆ ลูกแสงที่ลอยอยู่เหนือกระถางไฟจึงสลายตัวออก ประหนึ่งแสงหิ่งห้อยที่ลอยกระจาย ลู่เฉินมองภาพนี้แล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มหาสมุทรคือโลกของมังกร ท้องฟ้าคือบ้านเกิดของนกกระเรียน ปลาตัวใหญ่มองลอดตาข่ายพุ่งออกมา!”
หลินเจิ้งเฉิงหัวเราะหยัน “เป็นอาจารย์ฉีที่ทำเรื่องนี้สำเร็จ ไม่เกี่ยวกะผายลมอะไรกับเจ้าลู่เฉินเลย”
การที่ไม่ได้มีจุดจบเป็นปลาตายตาข่ายขาด ก็เพียงแค่เพราะมีคนกระชากตาข่ายใหญ่ ยอมเอามันมาพันร่างตัวเองอย่างไม่เสียดาย เรือนกายประหนึ่งเครื่องกระเบื้องที่แตกสลาย ปล่อยให้ปลาน้อยใหญ่พากันหนีเอาชีวิตรอดได้
ลู่เฉินหัวเราะดังลั่น “ยังดีที่ไม่ได้บอกว่าผินเต้าคือไม้กวนอาจม นี่ถือว่าพี่หลินไว้ไมตรีแล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงแค่นเสียงเย็นชา “นั่นเป็นเพราะว่าพูดถึงอาจารย์ฉี”
ลู่เฉินไม่เห็นเป็นสำคัญ พี่หลินของพวกเรามีนิสัยเป็นอย่างนี้ แค่ชินก็ดีไปเอง ไม่ประจบเบื้องบนไม่รังแกเบื้องล่าง วางตัวเป็นคน ลงมือทำเรื่องต่างๆ หรือการเป็นขุนนาง ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน
“จ้าวเหยาเลื่อมใสซ่งจี๋ซินเป็นที่สุด รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นการวางหมากหรือเรื่องการขอศึกษาวิชาความรู้ ตัวเองล้วนสู้สหายร่วมชั้นเรียนไม่ได้ แต่ซ่งจี๋ซินกลับดูแคลนจ้าวเหยาจากใจจริง มหามรรคาของทั้งสองฝ่ายมิอาจสอดคล้องกันได้อย่างแท้จริง เป็นเหตุให้จ้าวเหยามิอาจ ‘แต้มนัยน์ตา’ ให้อีกฝ่ายได้ สุดท้ายซ่งมู่จึงได้แต่กลายเป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี หาใช่จักรพรรดิไม่”
“ฝีมือเล่นหมากล้อมของจ้าวเหยาเองก็ด้อยกว่าระดับหนึ่งจริงๆ หลังจากนั่งโดยสารรถเทียมวัวออกไปจากบ้านเกิดก็เจอซิ่วหู่ไปขวางทาง เด็กหนุ่มมอบตราประทับชิ้นที่อาจารย์ของตัวเองมอบให้ออกไป ผิดนั้นไม่ผิด เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เหยาที่เดิมทีคือ ‘เหยา’ ที่แปลว่าห่างไกล แปลว่า ‘เทศะ’ กลับกลายมาเป็นเหยาที่แปลว่า ‘ส่ายไหว’ แปลว่า ‘ภาระหนักหน่วง’”
“บนหัวกำแพงของตรอกหนีผิง เฉินผิงอันทำตัวเป็นคนดีเกินเหตุ ส่งเสียงช่วยคน แน่นอนว่ามาจากความหวังดี รักษาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยางที่ร่อแร่ใกล้ตายเต็มทีจากใต้ฝ่าเท้าของเจ้าเด็กตระกูลหลูเอาไว้ได้”
“ทว่านั่นกลับเป็นการชักนำไฟมาสู่ตัว ชะตาของทั้งสองไม่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ถึงขั้นขัดแย้งกันเองด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีอุปสรรคนานัปการของทั้งสองเกิดขึ้นในภายหลัง ยกตัวอย่างเช่นหลิวเสี้ยนหยางเกือบจะต้องตายด้วยน้ำมือของพญาวานรย้ายภูเขาที่ดูแคลนใต้หล้าของภูเขาตะวันเที่ยงตนนั้น หลิวเสี้ยนหยาง ภูเขาตะวันเที่ยง เฉินผิงอันที่เกิดวันที่ห้าเดือนห้า รอแค่สามฝ่ายที่แยกย้ายกันไป มีเพียงภูเขาตะวันเที่ยงที่ยังอยู่ที่เดิม สหายอีกสองคนต่างก็ต้องซัดเซพเนจร พลัดพรากจากบ้านเกิด ถึงได้มีการจับมือกันไปถามกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงของสองฝ่ายในภายหลัง เพียงแต่ว่าผลได้ผลเสียมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ก็เท่ากับว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตูมีเพียงคนที่ไปเรียกหามันมาแล้ว”
“หากไม่เป็นเพราะช่างเตาเผาชายใจหญิงผู้นั้นมีคุณธรรมน้ำใจ คืนนั้นอยู่ในตรอกผิงที่ตั้งบ้านบรรพบุรุษได้รับการอวยพรใจจึงพลันเปิดกว้าง สุดท้ายก็แค่เอากล่องผงเครื่องประทินโฉมชิ้นนั้นฝังไว้ในตรอกเล็กนอกประตู ไม่ได้วางไว้ในตำแหน่งที่เฉินผิงอันสามารถมองเห็นได้ในทันที ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ซ่อนไว้ใต้ดินในลานบ้าน ไม่อย่างนั้นหากมองในระยะยาวก็ไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณอะไรแล้ว แต่เป็นการหวังดีที่ทำร้ายผู้อื่นแทน”
“เหล่าไฉที่เปิดร้านขายของงานมงคล ตอนมีชีวิตอยู่เคยกำชับหูเฟิงผู้เป็นหลานชายครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าเข้าใกล้เฉินผิงอัน คือการเลือกที่ฉลาดอย่างยิ่ง”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “หลวนและเฟิ่งสลับตำแหน่ง ดอกจือหลันขวางทาง วัชพืชในผืนนา”
หลวนเฟิ่งที่ออกจากตำแหน่งไปโดยพลการ ดอกจือหลันที่ขึ้นผิดที่ อีกทั้งเนื่องจากง่ายที่จะหล่อเลี้ยงปราณขุ่นมัว จึงจำต้องถูกกำจัด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัชพืชที่ไม่สะดุดตา แต่เดิมทีก็ทำให้คนรังเกียจพวกนั้น
จ้าวเหยาที่ทุกวันนี้รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมอาญาของต้าหลี อักษรคำว่า ‘เหยา’ ในสมัยโบราณเหมือนกับคำว่า ‘เหยา’ ของคำว่าภาระหนัก เหมือนคำว่า ‘เหยา’ ของคำว่าเพลงพื้นบ้าน ‘เหยา’ ที่แปลว่าห่างไกล และยังมีคำว่า ‘เทศะ’ รวมไปถึงยังหมายถึงพืชหญ้าที่เติบโตเขียวชอุ่ม
ซ่งจี๋ซินที่รวบรวมปราณมังกรเอาไว้ จ้าวเหยาที่รับหน้าที่ ‘แต้มนัยน์ตามังกร’ เฉินผิงอันที่เกิดวันที่ห้าเดือนห้า บวกกับหลิวเสี้ยนหยางที่มีชาติกำเนิดจากสายคนเลี้ยงมังกรยุคบรรพกาล บวกกับหูเฟิงจากร้านขายของงานมงคล
ภูเขาเขียวสายน้ำใส พืชพรรณเจริญงอกงาม ตัดต้นไม้รวบรวมฟืนมาก่อไฟ ใช้พิธีการขั้นสูงสุดของยุคบรรพกาลมาบวงสรวงทวยเทพ วันที่ปราณหยางโชติช่วงที่สุดในโลกมนุษย์ นึ่งแผ่นดินกลั่นแม่น้ำหลอมกระจก เพื่อบอกกล่าวแก่ทวยเทพบนสวรรค์ โดยมีเทพแห่งดวงอาทิตย์เป็นหลัก เทพแห่งดวงจันทร์เป็นผู้ร่วมเสริม เอาไฟจากฟ้า ใช้ไฟเผานภากาศ กลุ่มควันประดุจมังกรบินทะยาน แสงไฟพุ่งตรงไปนอกฟ้า กลายเป็นแม่น้ำแห่งกาลเวลา นี่ก็คือเส้นทางการเดินขึ้นฟ้าใหม่เอี่ยมที่ไม่จำเป็นต้องใช้หอบินทะยาน
นี่ก็คือชะตาชีวิต
แทบจะเป็นชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดมาแล้ว
ลู่เฉินกล่าว “ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนผู้นั้นที่พูดโน้มน้าวบิดาของเฉินผิงอันได้ ต้องไม่ใช่แค่เปิดเผยเรื่องเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตเท่านั้น แต่ต้องคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง”
“ทุบเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตให้แหลกสลายก็เท่ากับว่าแยกทางสายเก่าออกไป ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลีกเลี่ยงได้จริง แต่จะดีจะชั่วก็มีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง พวกเราลองย้อนกลับมามอง เรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเช่นนี้จริง”
“หวังดีทำให้เสียเรื่อง หวังร้ายแต่กลับทำเรื่องดีๆ ได้สำเร็จ วิถีทางโลกใบนี้ คนประหลาดมีมากมาย เรื่องประหลาดก็มีมากปานกัน”
หลินเจิ้งเฉิงพูดด้วยสีหน้ามืดทะมึน “เป็นเจ้า?!”
ระหว่างทางที่หลินเจิ้งเฉิงออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมุ่งหน้าไปรับตำแหน่งที่กรมกลาโหมของเมืองหลวง ราชครูชุยฉานเคยไปรอเขาอยู่ที่จุดพักม้าแห่งหนึ่ง
การทบทวนกระดานครั้งนั้น ชุยฉานเคยวิจารณ์เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มาก่อน
ต่อให้มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวาง ต่อให้ถูกมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลสยบกำราบเอาไว้ แต่ก็มิอาจสกัดขวางไม่ให้ลู่เฉินฟื้นคืนสู่ตบะขอบเขตสิบสี่ขั้นสูงสุดได้
ยิ่งมิอาจขัดขวางป๋ายอวี้จิงทั้งแห่งที่ข้ามผ่านใต้หล้าลงมาจากฟ้า หล่นลงมาเหนือถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป
——