กระบี่จงมา - ตอนที่ 916.4 บนคันนา
ขอบเขตหยกดิบคนแรก ขอบเขตเซียนเหรินคนแรก ขอบเขตบินทะยานคนแรกของใต้หล้าห้าสี
รวมไปถึงบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าที่ได้รับการยอมรับจากมหามรรคา
ล้วนเป็นหนิงเหยาที่การฝ่าทะลุขอบเขตราบรื่นราวผ่าลำไม้ไผ่
นอกจากนี้หนิงเหยายังเป็นผู้ฝึกกระบี่ จึงยังได้รับการประทานพรเพิ่มเติมมาอีกส่วนหนึ่ง
บวกกับที่นางสังหารผู้ฝึกตน ‘ประหลาด’ คนแรกได้สำเร็จ
ใครเล่าจะกล้ามาประชันกับนาง?
ดังนั้นต่อให้มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่จากใต้หล้าแห่งอื่นกล้าบุกเข้ามาในใต้หล้าห้าสีโดยพลการ ขอแค่ถูกหนิงเหยาถามกระบี่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้แต่มาไม่ได้กลับไป
ชุยตงซานถาม “เรื่องเก็บรวบรวมเหรียญทองแดงแก่นทอง อาจารย์พอจะมีวิธีแล้วหรือ? มีความคืบหน้าบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “กำลังกลุ้มอยู่เลยนะ”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ หากคิดอยากจะเลื่อนระดับขั้นก็มีทางแค่สองเส้นให้เดินเท่านั้น หนึ่งคือหล่อหลอมกระบี่บิน ยกตัวอย่างเช่นอาศัยแท่นสังหารมังกรมาลับคมกระบี่ ซึ่งก็คือทางลัดเส้นหนึ่ง หรืออีกประเภทหนึ่งที่ยากยิ่งกว่า นั่นคือตามหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่มากกว่าเดิม นกในกรงและ ‘จันทร์ใต้บ่อ’ แรกเริ่มสุดของเฉินผิงอันอาศัยศึกกับเซียนเหรินหันอวี้ซู่แห่งสำนักว่านเหยา อีกทั้งภายหลังยังมีศึกที่ภูเขาทัวเยว่ จึงสามารถยกระดับขั้นบันไดของฝ่ายหลังขึ้นมาได้ ถึงได้มี ‘จันทร์กลางบ่อ’ อย่างในทุกวันนี้ อีกทั้งอาศัยมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ที่ยืมมาจากลู่เฉิน ตอนนั้นก็เคยจำแลงกระบี่บินหนึ่งเล่มให้กลายมาหลายแสนเล่มได้สำเร็จ เฉินผิงอันเคยทำการอนุมานคร่าวๆ มาก่อนว่าในอนาคตหากหลอม ‘จันทร์ปากบ่อ’ ให้ได้ถึงขีดสุด จากนั้นอาศัยขอบเขตวิถีกระบี่ที่สูงมากพอของตัวเฉินผิงอันเองก็น่าจะสามารถประคับประคองกระบี่บินได้รวดเดียวถึงหนึ่งล้านเล่ม
นอกจากนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในลานประกอบพิธีกรรมของถ้ำสวรรค์บนภูเขาเซียนตูก็พยายามที่จะอาศัยกระบี่บินมากมายในจันทร์กลางบ่อ จำแลงจิตธรรมบนมหามรรคาออกมาเป็น ‘ความจริง’ อยู่ตลอด
นี่หมายความว่าการหลอมจันทร์กลางบ่อไม่เพียงแต่มีทิศทางสุดท้าย หนึ่งคือการเพิ่มจำนวนกระบี่บิน นอกจากนี้ก็คือหาวิชาอภินิหารอย่างที่สองของจันทร์กลางบ่อ ดังนั้นใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันในเวลานี้จึงเท่ากับว่ามีเส้นทางที่จากไม่มีกลายมาเป็นมีเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้ว
มีเพียงนกในกรงเท่านั้นที่หยุดชะงักไม่เดินหน้า
แต่ระหว่างที่เฉินผิงอันปิดด่านก็ได้มีการตั้งสมมติฐานอย่างหนึ่ง แต่ยังไม่อาจทดลองอย่างจริงจังได้ เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ขาดเงิน
ไม่ได้ขาดเงินเทพเซียนสามชนิด แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง หรือไม่หากสืบย้อนไปถึงต้นกำเนิดก็คือเศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ หรือไม่ก็ร่างทองแก้วใสของผู้ฝึกตนใหญ่ที่ร่างแหลกสลายตายไปจากโลกใบนี้
อย่างหลังนั้นได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ตอนนั้นตู้เม่า ‘บินทะยาน’ ล้มเหลว เพื่อช่วงชิงเศษชิ้นส่วนแก้วใสชิ้นหนึ่งในนั้น ทางฝั่งของแจกันสมบัติทวีป แม้แต่ฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพก็ยังลงมือด้วยตัวเองแล้ว
อย่างแรกถือว่าง่ายกว่ามาก แต่ก็แค่เพราะสองอย่างนี้ ‘เปรียบเทียบกัน’ เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ เศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากฝ่ายต่างๆ มีราชวงศ์ใดบ้างที่ไม่ต้องการ? มีสำนักใหญ่แห่งใดบ้างที่ไม่อยากซื้อ? ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป ใครเล่าจะสามารถหาซื้อมาได้อย่างแท้จริง?
เพราะว่าเฉินผิงอันอยากจะทำให้นกในกรงที่สามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นได้ด้วยตัวเองเลื่อนระดับขั้นไปได้ถึงขอบเขตที่ว่า ‘มหามรรคาโคจรได้อย่างไร้ช่องโหว่’
นี่จึงจำเป็นให้เฉินผิงอันต้องสร้างแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาที่สมบูรณ์แบบเส้นหนึ่งขึ้นมาในนกในกรง!
อยู่ในดินแดนนี้ ใครบ้างที่จะไม่ใช่นกในกรง?
ส่วนหลิวไฉที่จนถึงทุกวันนี้ยังหลบๆ ซ่อนๆ คนผู้นี้ได้ครอบครองกระบี่บินสองเล่มที่สยบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นเจ้าหลิวไฉก็ลองดูอีกครั้งสิ?
เจ้าไม่มาหาข้า ข้านี่แหละที่จะไปหาเจ้าเอง
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ผู้คุมกฎฉางมิ่งไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่เกรงใจฉางมิ่งหรอก”
ชุยตงซานกลั้นขำ “กลัวก็แต่ว่าสหายฉางมิ่งให้ทีจะให้ทั้งหมด อาจารย์ก็ต้องกลุ้มอีก”
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “กลุ้มเรื่องแบบนี้ หากว่าแพร่ออกไป คงถูกคนดักตีหัวเลยกระมัง”
ชุยตงซานถาม “ทางฝั่งของสกุลซ่งต้าหลีล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “แน่นอนว่าต้องเปิดปากถาม แต่ก็ต้องหาโอกาสที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกอีกฝ่ายนั่งลงต่อรองราคา เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พี่เกาจวนเฉวียนฝู่ของพวกเราที่ชอบเป็นฝ่ายไปหาคนเขาถึงบ้านแล้วถูกเชือดเหมือนหมู”
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “ยังมีอาจารย์แม่อีกนะ?”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเป็นทบทวี ไม่ได้เอ่ยอะไร
ตัว ‘ประหลาด’ ของใต้หล้าแห่งนี้ไม่ได้ถูกหนิงเหยาฆ่าไปแค่ตัวเดียว นอกจากหนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูงยุคบรรพกาลแล้ว อันที่จริงก็ยังมีอีก
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไร้เหตุผล ก็แค่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขามักจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไร
แน่นอนว่ายังมีธวัลทวีป หลิวเสียทวีป สองทวีปใหญ่ที่ไม่ถูกไฟสงครามลามมาโดนแม้แต่น้อยนี้ ขุนเขาสายน้ำมั่นคง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ของสองทวีปต่างก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ นี่หมายความว่าเศษชิ้นส่วนร่างทองทั้งหมดที่อยู่บนมือของผู้ฝึกตนใหญ่หรือไม่ก็สำนักใหญ่ล้วนสามารถซื้อขายกันได้ แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือราคาต้องเหมาะสม ต้องสูงมากพอ นอกจากนี้อย่างสกุลหลิวธวัลทวีป และยังมีร้านผ้าห่อบุญที่เคยพูดคุยกันครั้งหนึ่งบนเกาะยวนยาง รวมไปถึงถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ที่สู่จ้งสู่อยู่ สำนักที่เซียนเหรินชงเชี่ยนอยู่ และตัวของเซียนเหรินหญิงท่านนี้ก็เป็นเจ้าของพื้นที่มงคลซงอ่ายด้วย บวกกับพื้นที่มงคลร้อยบุปผา รวมไปถึงผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานบางคนที่เป็นสหายต่างวัยของเซียนจวินหลงหรานแห่งต้าหลงชิว…ในมือคนหรือไม่ก็บนภูเขาเหล่านี้ เล่าลือกันว่ามีกำลังทรัพย์จำนวนที่ไม่เท่ากัน ประเด็นสำคัญก็คือเงินเหรียญทองแดงแก่นทองและเศษชิ้นส่วนร่างทองบนมือของพวกเขา ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นของที่จำเป็นต้องมีมิอาจขาด อย่างมากสุดก็แค่รอให้ราคาสูงก่อนแล้วค่อยขาย หรือไม่ก็หาคนซื้อที่ต้องดูว่าถูกชะตากันหรือไม่
ชุยตงซานถอนหายใจ “หากไม่เป็นเพราะเรื่องของการซ่อมแซมขุนเขาแม่น้ำ ใบถงทวีปที่สำนักเบื้องล่างของพวกเราตั้งอยู่ก็คือต้นกำเนิดของเศษชิ้นส่วนร่างทองที่ดีที่สุด แล้วยังสามารถหั่นราคาได้ตามใจชอบด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้อย่าไปคิดเลยดีกว่า”
ชุยตงซานถาม “อาจารย์จะกลับภูเขาเซียนตูเมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างจนใจ “คืนนี้กระมัง”
ชุยตงซานทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “เจ้าเดาไม่ผิด ข้าคิดจะกลับไปดูต้นอู๋ถงต้นนั้นก่อนจะถึงวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิสักรอบ”
หอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ในใต้หล้าไพศาล มีเพียงสองแห่งที่ความหมายเชิงสัญลักษณ์เหนือกว่าประโยชน์ในการใช้งานจริง หนึ่งในนั้นก็มีหอสยบปีศาจที่ใบถงทวีป มันก็เหมือนๆ กับ ‘หอสยบป๋ายเจ๋อ’ ที่เหมือนเป็นแค่เครื่องประดับ เป็นแค่การแสดงฝีมือภายนอกของบัณฑิต
เพียงแต่ว่าหอสยบปีศาจแห่งนี้ก็มีจุดที่แตกต่างจากทั่วไปอยู่บ้าง ไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ของสิ่งก่อสร้างอะไร แต่เป็นต้นอู๋ถงต้นหนึ่งที่มีอายุยาวนานจนนับไม่ไหว เล่าลือกันว่าต้นไม้โบราณต้นนี้อายุมากเป็นพันปีแล้ว มากกว่าผู้ฝึกตนที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของโลกมนุษย์ด้วยซ้ำ
เป็นเหตุให้แม้แต่ศิษย์พี่จวินเชี่ยนก็ยังบอกว่าตอนที่ตัวเขาอายุน้อยชอบออกท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ ก็เคยเห็นต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นนี้แล้ว
บางที ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่ถูกต้นไม้ต้นนี้สยบกำราบเอาไว้ ก็คือตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าผู้นั้น
และในสงครามใหญ่ เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ไม่ได้สนใจจะดูแลใต้หล้าเปลี่ยวร้างแม้แต่น้อย กลับยังมอบห่วงเหล็กที่มรรคาจารย์เต๋าหลอมขึ้นกับมือตัวเองไปให้ ช่วยให้ใต้หล้าไพศาลปกป้องต้นอู๋ถงเอาไว้ได้ จึงไม่เคยถูกโจวมี่มหาสมุทรความรู้แตะต้องมาก่อน
ชุยตงซานทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เห็นได้ชัดว่ายังไม่วางใจในการเลือกของอาจารย์
นี่ทำให้เสี่ยวโม่ค่อนข้างจะประหลาดใจ คุณชายแค่ไปมองต้นอู๋ถงแวบเดียว ทำไมเจ้าสำนักชุยถึงได้ทำเหมือนเขาจะไปเยือนถ้ำพยัคฆ์บ่อมังกร ขึ้นภูเขามีดลงทะเลเพลิงอย่างไรอย่างนั้น?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่างข้าน่ะเรียกว่าเรื่องเกิดขึ้นเพราะการกระทำของคน จะเหมือนกับการกระทำของเจ้าได้อย่างไร?”
สีหน้าของชุยตงซานหม่นหมองเล็กน้อย
เสี่ยวโม่ก็ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม
จากนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ตรงกลับไปที่ร้านเหล้า แต่เปลี่ยนความคิดกะทันหัน พาคนทั้งสองทะยานลมผ่านนครบินทะยานมาถึงอาณาเขตของภูเขาจื่อฝู่แล้วพลิ้วกายลงไป ไปยืนอยู่ริมคันนาปลูกข้าวแห่งหนึ่ง ในคันนาปลูกข้าวจ้งซือที่เติ้งเหลียงมอบให้ ตอนนี้ถูกจำกัดเพราะดินในผืนนา จึงได้แค่สุกปีละครั้งเท่านั้น เนื่องจากมีข้อเรียกร้องต่อน้ำและดินสูงมาก การปลูกมันจึงไม่ง่ายเลย วันหน้ารอให้ดินในนาอุดมสมบูรณ์ก็จะสามารถออกรวงได้ปีละสองครั้ง
ผู้ฝึกลมปราณของสำนักกสิกรรมอายุน้อยคนหนึ่งรีบเร่งรุดมาถึง ในสายตาเต็มไปด้วยแววระแวดระวังภัย ถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ไม่รู้กฎหรือไร?”
ได้ยินเพียงคนชุดเขียวยิ้มตอบว่า “ข้าชื่อเฉินผิงอัน”
คนผู้นั้นอึ้งค้างอยู่กับที่ พอคืนสติกลับมาก็ถามเสียงเบาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานจะอยู่นานหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อีกเดี๋ยวก็จะจากไปแล้ว”
คนผู้นั้นรีบร้อนเอ่ยว่า “อิ่นกวานอย่าเพิ่งรีบจากไปไหน รอให้ข้าไปหยิบกระดาษกับพู่กันเสียก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนเด็ดขาดเชียวนะขอรับ”
เฉินผิงอันมึนงง
เพียงไม่นานผู้ฝึกตนหนุ่มที่ติดตามอาจารย์มาใช้ชีวิตอยู่ในนครบินทะยานก็ไปหยิบเอาพู่กันแต้มน้ำหมึกหนึ่งด้ามกับตำราตราประทับสองเล่มมา บากหน้าปลุกความกล้าถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ช่วยเขียนชื่อให้ได้หรือไม่ หากสามารถเพิ่มถ้อยคำมงคลลงไปสักประโยคได้จะยิ่งดีเข้าไปอีก!”
เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน ดูเหมือนเพิ่งจะเคยทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก
ตนไม่ใช่นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าอย่างซูจื่อ หลิ่วชีเสียหน่อย
สีหน้าของผู้ฝึกตนเต็มไปด้วยความคาดหวัง เฉินผิงอันจึงได้แต่รับตำราตราประทับและพู่กันมา แยกกันเขียนชื่อของตัวเองลงไปบนหน้าหนังสือของตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ รวมไปถึงประโยคอวยพรหนึ่งประโยค เป่าน้ำหมึกแห้งแล้วก็ยื่นส่งให้ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้น คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหน้าแดงก่ำ ไม่รีบร้อนรับเอาไป ยังแข็งใจถามหยั่งเชิงว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ช่วยเขียนวันเดือนปีลงไปให้ด้วยได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วเขียนวันที่ลงไป ด้านล่างยังเติมไปอีกสี่คำว่า ‘เขียนที่ริมคันนา’
อันที่จริงเฉินผิงอันที่ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ กระอักกระอ่วนยิ่งกว่าผู้ฝึกตนหนุ่มที่ใบหน้าแดงก่ำเสียอีก
ตัดสินใจแล้วว่า การกระทำเช่นนี้จะทำอีกไม่ได้จริงๆ
คนหนุ่มถือพู่กันไว้ในมือ กอดตำราตราประทับไว้ในอ้อมอก เอ่ยขอบคุณใต้เท้าอิ่นกวานที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายติดๆ กัน
มองผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมที่จากไปพร้อมความตื่นเต้นดีใจ ชุยตงซานนั่งยองอยู่ริมคันนา ในปากคาบต้นหญ้าต้นหนึ่ง
เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง คว้าดินขึ้นมาหนึ่งกำมือ ยิ้มเอ่ยว่า “เอาล่ะ อย่ามัวอัดอั้นอยู่เลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย”
ชุยตงซานยังกลุ้มใจไม่เลิก เอ่ยเสียงเบาว่า “กว่าอาจารย์จะสะสมคุณูปการส่วนนั้นได้ จะทิ้งไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
ด้วยนิสัยของอาจารย์ ขอแค่ไปเยือนต้นอู๋ถงต้นนั้นจริงๆ ก็จะต้องทำเรื่องนั้นแน่นอน และหากทำเรื่องนั้นก็ไม่เพียงแต่ถูกกำหนดแล้วว่าจะไร้คุณความชอบให้ฉกฉวย ยังถึงขั้นที่ว่าต้องชดใช้ด้วยคุณความชอบทางการสู้รบทั้งหมดบนสมุดคุณความชอบของศาลบุ๋นด้วย
สายตาของเฉินผิงอันมองตรงไปข้างหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “พยายามจะให้เหลือไว้สักเล็กน้อย คราวหน้าที่มาที่นี่ยังต้องใช้อีก หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องปล่อยไป”
ชุยตงซานเคี้ยวหญ้า ถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องจมลึกอยู่ในบ่อดินโคลนแล้ว การฝึกตนของอาจารย์จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “ก็ไม่ใช่ฝึกตนหรอกหรือ?”
ชุยตงซานอึ้งงันไร้คำพูด
เสี่ยวโม่เหมือนฟังอาจารย์และศิษย์สองคนทายคำปริศนากัน เพราะได้ยินชุยตงซานพูดถึงเรื่องการฝึกตนของคุณชายจึงอดไม่ไหวเปิดปากถามว่า “ชุยตงซาน ช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
ชุยตงซานทอดถอนใจ “ดวงดาวโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ สิบสองปีก็คือหนึ่งสมัย”
เสี่ยวโม่ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่
ชุยตงซานจึงได้แต่อธิบายอย่างละเอียดว่า “ปีนั้นใบถงทวีปถูกข้าศึกยึดได้ แผ่นดินขุนเขาสายน้ำจมดิ่ง จารีตธรรมเนียมพังทลาย ภายใต้การบีบบังคับและชักนำอย่างตั้งใจของกองทัพเปลี่ยวร้าง จิตใจคนอัปลักษณ์ การกระทำแต่ละอย่างล้วนขัดต่อศีลธรรมจรรยา คนและเรื่องราวมีมากมายนับไม่ถ้วน พูดถึงแค่เด็กที่ถือกำเนิดระหว่างนี้ มาได้อย่างไร? พ่อแม่แท้ๆ ของพวกเขาเป็นสามีภรรยากันจริงๆ หรือ? ไม่ใช่เลย ไม่ว่าจะนับตั้งแต่วันที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยึดครองใบถงทวีปได้ หรือคิดคำนวณใหม่หลังจากที่เผ่าปีศาจถอยออกไปจากใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะครบหนึ่งสมัยหรือยังไม่ครบหนึ่งสมัย มีความต่างหรือ? เด็กๆ พวกนี้ล้วนถูกกำหนดชะตากรรมมาแล้ว เมื่อต้องเจอหายนะนี้ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น”
“หากว่าทุกวันนี้ใบถงทวีปยังคงเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คงไม่ไปพูดถึงมันแล้ว ถึงอย่างไรการถือกำเนิดของเด็กๆ พวกนั้นก็อยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนเปลี่ยวร้าง ไม่ได้มีความแตกต่างอะไร ทว่าในสายตาของใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้ พวกเขาก็คือตราบาป คือลูกไม่มีพ่อที่แค่จะด่าไม่กี่คำก็ยังรังเกียจว่าสกปรก เด็กๆ พวกนั้นก็เหมือนเกิดมาบนโลกใบนี้พร้อมกับเวรกรรม ไม่ควรมา แต่ดันมา ต่อให้ในอนาคตเด็กๆ พวกนี้จะหลุดพ้นการชี้นิ้วประณามของคนอื่นได้ ทนคำด่าที่ทิ่มแทงใจสารพัดอย่างได้ หลบพ้นหายนะจากคนมากมายได้ ก็หนีไม่พ้น ‘ภัยพิบัติจากธรรมชาติ’ เพราะต่อให้พวกเขาโชคดีเติบใหญ่กลายเป็นผู้ใหญ่ ก็ยังไม่ถูกโชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่ฟื้นคืนสู่ความปกติของใบถงทวีปรับไว้อยู่ดี อย่าว่าแต่การฝึกตนอะไรเลย บางทีลำพังแค่เอาชีวิตรอดก็คือความยากลำบากอย่างหนึ่งแล้ว ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องตาย ไม่แน่เสมอไปว่าต้องตายก่อนวัยอันควร แต่ชั่วชีวิตนี้จะต้องเจอกับความขมขื่นความทุกข์ตรมมากมาย บางทีในชีวิตของพวกเขาอาจต้องรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายแบบนี้ไปโดยตลอด ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ หายนะที่เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด อุปสรรคความไม่ราบรื่นที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”
“ต่างก็พูดกันว่า สวรรค์ก่อบาปกรรมสามารถให้อภัย แต่เวรกรรมที่ตัวเองก่อกลับมิอาจไว้ชีวิต ทว่าเด็กๆ พวกนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกนะ”
“แต่หากเลือกที่จะไม่สนใจ สมัยแล้วสมัยเล่า เวลาหกสิบปีผ่านไปก็เหมือนพืชหญ้าในป่าที่แห้งเหี่ยวตายไป ตายไปแล้วก็คือตายไปเลย”
ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายไปบนพื้น ไม่เอ่ยอะไรอีก
เสี่ยวโม่นั่งขัดสมาธิ หันหน้าไปมอง
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนคันนา
เสี่ยวโม่ไม่ได้ยินถ้อยคำห้าวเหิมใดๆ
บุรุษชุดเขียวแค่เอ่ยประโยคหนึ่งเบาๆ ว่า
“ข้าคิดว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง”
——