กระบี่จงมา - ตอนที่ 858.2 ทำลายเมือง
กายธรรมนักพรตสูงแปดพันจั้งก้าวไปด้านข้างหนึ่งก้าว หมัดที่สองต่อยลงบนนครสูง จวนตระกูลเซียนมากมายที่เดิมทีมีไอเซียนล่องลอย ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าหลายต้นพุ่มใบส่งเสียงซู่ๆ แล้วร่วงกราวลงมา น้ำตกสีขาวหิมะแห่งหนึ่งที่ไหลจากจุดสูงของนครคล้ายจับตัวเป็นน้ำแข็งในเสี้ยววินาที ประหนึ่งแท่งน้ำแข็งที่ห้อยอยู่ใต้ชายคา จากนั้นก็รอให้หมัดที่สามหล่นลงมาบนนครเซียนจาน น้ำตกก็จะระเบิดแตก กลายเป็นหิมะใหญ่ปลิวปรายอีกครั้ง
ลู่เฉินผินหน้าหนีหรี่ตาลง รู้สึกทนมองตรงๆ ไม่ได้อยู่บ้าง
ตามเอกสารคดีของคฤหาสน์หลบร้อน รากฐานมหามรรคาของนครเซียนจานแห่งนี้มาจากการหล่อหลอมปิ่นปักผมของนักพรตซึ่งเป็นผู้ฝึกตนคนแรกของฟ้าดิน
เพียงแต่ว่าหนึ่งในผู้เปิดเส้นทางของสงครามยุคบรรพกาลท่านนี้ ได้โชคร้ายตายไประหว่างเส้นทางเดินขึ้นสวรรค์ มรรคกถาแหลกสลาย กระจัดกระจายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน มีเพียงปิ่นอาคมหยกขาวที่ปักไว้บนมวยผมเท่านั้นที่เก็บรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแค่หล่นลงบนแผ่นดินใหญ่ของโลกมนุษย์แล้วไม่รู้ว่าหายไปไหน สุดท้ายถูกผู้ฝึกตนหญิงรุ่นหลังของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่วาสนาลึกล้ำคนหนึ่งเก็บได้โดยบังเอิญ ถือว่าได้รับการสืบทอดของมหามรรคาส่วนนี้ และนางก็คือบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของนครเซียนจาน หลังจากนางฝึกตนจนเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็เริ่มลงมือสร้างนครเซียนจานขึ้นมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ได้ก่อสำนักตั้งพรรค แตกกิ่งก้านสาขา สุดท้ายเมื่ออยู่ในมือของผู้ฝึกตนใหญ่สี่คนที่ทยอยกันเป็นเจ้านครทุ่มเทกำลังสร้างให้เจริญรุ่งเรือง มีช่องทางการเพิ่มทรัพย์สินเงินทอง นครเซียนจานยิ่งสร้างจึงยิ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ้านครเซียนจานคนปัจจุบันคือผู้ฝึกตนใหญ่ มีฉายาว่าเสวียนผู่ เชี่ยวชาญมหามรรคาสามเส้นทางได้แก่การหล่อหลอม ค่ายกลและหลอมโอสถ มีสหายอยู่ทั่วใต้หล้า
และยังมีรองเจ้านครที่ได้ครอบครองตบะขอบเขตเซียนเหริน ฉายาว่าอิ๋นลู่ คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้านครคนปัจจุบัน เชี่ยวชาญศาสตร์การประกอบกามกิจในห้อง เคยสั่งจองเพื่อซื้อตัวผู้ฝึกตนหญิงของสำนักอวี่หลงมาจากกระโจมทัพ น่าเสียดายที่ถูกปีศาจใหญ่เชี่ยอวิ้นชิงตัดหน้าดึงเอาผิวหน้าของสาวงามมาเสียหมดสิ้นไปก่อน ไม่อย่างนั้นในนครเซียนจานวันนี้ เกรงว่าคงต้องมีผู้ฝึกตนหญิงของสำนักอวี่หลงเพิ่มมาอีกหลายร้อยคนแล้ว
ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนครเซียนจาน หากฝึกตนร้อยปีแต่กลับยังไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนดิน ก็จะถูกขับไล่ออกจากอาณาเขต นับตั้งแต่ที่ถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำของศาลบรรพจารย์นครเซียนจาน หลังจากนั้นจะไปอยู่ที่ไหนไปทำอะไร จะเป็นหรือตาย ล้วนต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง ลูกศิษย์เซียนดิน หากภายในเวลาห้าร้อยปี ผู้ฝึกตนยังไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน นครเซียนจานไม่ขับไล่คน อิงตามกฎของบรรพบุรุษคือไม่เลี้ยงเศษสวะ หากผลาญปราณวิญญาณจนหมดสิ้น เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดจะถูกสังหารทิ้งทันที ตบะ โชคชะตาขุนเขาสายน้ำ โอสถปีศาจ เนื้อหนังมังสา ทุกอย่างล้วนต้องมอบกลับคืนให้กับนครเซียนจาน
เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครเซียนจานมีจำนวนไม่มากมาโดยตลอด แต่ควันธูปของศาลบรรพจารย์กลับไม่ถือว่าล่องลอยไม่แน่นอน เพราะขอบเขตหยกดิบและผู้ฝึกตนเซียนดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่มารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงาน เป็นเค่อชิงของที่แห่งนี้ มีมากมายดุจปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ ขอแค่มีเงินมากพอก็สามารถฝึกตนอยู่ในนครไปได้ตลอด นครเซียนจานเหมือนถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาภายหลัง ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เข้มข้นเหมือนกับน้ำ เหมาะแก่การฝึกตนอย่างถึงที่สุด
นอกจากนี้นางกำนัลที่นครเซียนจานตั้งใจอบรมปลูกฝังออกมา ก็มักจะมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับราชวงศ์ล่างภูเขาหรือสำนักบนภูเขา ปิ่นแก่นน้ำ การประทินโฉมแบบดอกท้อ ชุดคลุมอาคมห้าสี รองเท้าวารีจันทราก็ยิ่งเป็นของหายากของสาวงามซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง น่าสนใจอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าลู่เฉินต้องเข้าใจดีว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้ตั้งใจมาเยือนนครเซียนจานเป็นพิเศษ
หากเพียงแค่เพราะนครเซียนจานเอาแต่คุยโวว่าตัวเองคือนครสูงอันดับหนึ่งอะไรนั่นมาโดยตลอด หรือไม่ก็บอกว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวดองด้านการแต่งงานกับกวานเซี่ยงปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เลื่อนขั้นใหม่อะไร ด้วยนิสัยของเฉินผิงอันแล้วต้องไม่ถึงขั้นคิดจะเอาชนะคะคานกับนครเซียนจานขนาดนี้แน่นอน
เพราะอาวุธของนครเซียนจาน ชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ย เหล้าหมักตระกูลเซียนของสำนักจิ่วเฉวียน ล้วนติดอันดับสิบสุดยอดของเปลี่ยวร้าง
กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกเปลี่ยวร้างโจมตี นครเซียนจานที่ไม่มีผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลสักคนโผล่ออกไปร่วมทำสงคราม แต่กลับถูกขนานามว่าเป็นผู้ที่มีคุณความเหนื่อยยากส่วนหนึ่งได้
นครเซียนจานจ่ายเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับให้กับนคร แน่นอนว่าก็เพราะสามารถหาเงินได้มากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนผู้สืบทอดคนใดของนครเซียนซาน ก่อนที่จะถูกขับไล่ออกจากนครหรือถูกสังหารทิ้ง ล้วนเป็นผู้มีฝีมือด้านการก่อสร้างอย่างสมชื่อทั้งสิ้น เชี่ยวชาญการสร้างอาวุธ การหล่อหลอมสมบัติอาคม เพราะว่าในนครมีพื้นที่มงคลระดับสูงอยู่แห่งหนึ่งที่เป็นดวงดาวบรรพกาลดวงหนึ่งซึ่งปริแตกแล้วร่วงหล่นลงมา เป็นเหตุให้นครเซียนจานได้ครอบครองคลังยุทโธปกรณ์ตามธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง สามารถสร้างเสื้อเกราะ สร้างอาวุธของบนภูเขาขึ้นมาไม่ขาดสาย ทุกๆ สามสิบปี ราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนส่งทูตมาที่นี่เพื่อซื้ออาวุธ ใครที่ให้ราคาสูงก็ได้ไปครอง ผู้ฝึกตนนครเซียนจานจะเป็นคนนำไปส่งให้ นั่นคือเงินเทพเซียนก้อนไม่เล็กที่เข้าบัญชีอีกก้อนหนึ่ง ก่อนหน้านี้กรีฑาทัพโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าไพศาล นครเซียนจานก็ได้เรียกรวมช่างหล่อหลอมมาอีกกลุ่มใหญ่ เพื่อส่งเสื้อเกราะและอาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนไปให้กับกระโจมทัพใหญ่แห่งต่างๆ
อิ๋นลู่ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินมายังหอเรือนชั้นบนสุด ยืนอยู่ข้างกายเจ้านครผู้เป็นอาจารย์ ใช้เสียงในใจถามว่า “ดูเหมือนจะไม่ใช่คนดีที่พูดคุยด้วยง่ายเลยนะขอรับ”
สีหน้าของเสวียนผู่มืดทะมึน พยักหน้าเอ่ย “ถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจจบลงด้วยดีได้”
อิ๋นลู่ถาม “อาจารย์ ยังสามารถแบกรับหมัดของเจ้าบ้านั่นได้กี่ที?”
หลังจากที่นครเซียนจานเปิดค่ายกลใหญ่ ทุกครั้งที่แบกรับหมัดของอีกฝ่ายก็จำเป็นต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนไปในปริมาณมหาศาล ทรัพย์สมบัติของนครเซียนจานบ้านตนอุดมสมบูรณ์ก็จริง แต่ต่อให้เงินเทพเซียนจะกองกันเป็นภูเขาแค่ไหน รากฐานจะลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งมากเท่าไร ถึงอย่างไรก็ถูกหมัดหนึ่งต่อยลงไป ความสิ้นเปลืองของเงินเทพเซียนก้อนนั้น แค่คิดก็เจ็บปวดใจแล้ว หากจะบอกว่าเปลี่ยนเงินเทพเซียนเป็นปราณวิญญาณฟ้าดินแล้วกักไว้ในนคร ยังถือว่าน้ำดีไม่ไหลเข้านาคนอื่น แต่ความเสียหายของอาวุธเซียน อาวุธกึ่งเซียนและสมบัติพิทักษ์ภูเขารวมทั้งสิ้นสามสิบหกชิ้นซึ่งเป็นใจกลางของค่ายกลใหญ่ในนครเซียนจาน ก็คือต้นทุนในการซ่อมแซมที่เป็นจำนวนมหาศาลเทียมฟ้าแล้ว
ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานลูบหนวดใช้เสียงในใจเอ่ย “วิชาหมัดอะไรกัน นี่มันมรรคกถาชัดๆ ต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเลื่อนเป็นขั้นเทพมาเยือน หมัดจะแข็งแค่ไหน แต่ยังจะแข็งกว่าการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากกระบองของบรรพจารย์ย้ายภูเขาตนนั้นได้หรือ? พูดไปพูดมา คิดจะทำลายค่ายกลก็เป็นแค่เรื่องที่ต้องใช้มรรคกถาหนึ่งบท กระบี่บินหนึ่งเล่มเท่านั้น ตอนนี้ดูแล้วปัญหาคงไม่ใหญ่มาก ปีนั้นจูเยี่ยนฟาดกระบองใส่นครสิบสองที ตอนหลังฟาดอีกสิบที ก็ยังต้องฟาดกระบองลงในตำแหน่งเดียวกัน เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ เกินครึ่งคงไม่มีปัญญาทำได้ มาก่อเรื่องที่นี่ก็เพียงแค่เพื่อสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ ไม่ต้องเพ้อฝันว่าจะทำลายนครได้เลย”
เสวียนผู่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ถึงกับเปลี่ยนใจกะทันหัน “รีบส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวให้กับภูเขาทัวเยว่และลำคลองเย่ลั่ว บอกกับพวกเขาว่ามีศัตรูแข็งแกร่งมาก่อเรื่องที่นครเซียนจาน ฝีมือเท่าเทียมกับราชาบนบัลลังก์คนหนึ่ง”
ที่แท้กายธรรมนักพรตเต๋าที่ตอแยไม่เลิกราได้ออกหมัดอย่างป่าเถื่อนไร้กริ่งเกรง ไร้ซึ่งเหตุผล ราวกับว่ามรรคกถาสามารถเพิ่มพูนทับซ้อนขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ออกหมัดใหม่ล้วนหนักหน่วงกว่าหมัดก่อนหน้านั้นเสมอ!
ขอบเขตบินทะยานเฒ่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสริมว่า “ราชาบนบัลลังก์เก่า”
เด็กรับใช้สองคนในห้องหลอมโอสถของหอเรือนบนยอดเขาถึงกับกลายร่างเป็นกระบี่บินส่งข่าวสองเล่ม พริบตาเดียวก็ออกไปจากนครเซียนจาน ขยับห่างไปไกลนับพันลี้ ความเร็วเหนือกว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งเสียอีก
เพราะพวกมันเป็นทั้งจิตวิญญาณที่แท้จริงซึ่งหลอมมาจากกระบี่บิน แล้วยังใช้วิชายันต์ชั้นสูงอีกบทหนึ่ง คือยันต์ใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับนครหลิงเป่าของป๋ายอวี้จิง เขียนตัวอักษรสองบรรทัดไว้อย่างลับๆ ว่ายันต์หลิงเป่า ดาวตกไล่ตามจันทร์เยือนลิ่วเหอ (บนล่างและสี่ทิศ ทั้งหมายถึงสี่ทิศของฟ้าดิน และหมายถึงใต้หล้าหรือจักรวาล)
ส่วนเรื่องที่ว่านครเซียนจานเรียนรู้ยันต์ใหญ่ที่มาจากป๋ายอวี้จิงบทนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องจ่ายเงินซื้อมา
เสวียนผู่เอ่ย “อิ๋นลู่ เจ้าไปรับผิดชอบควบคุมค่ายกลใหญ่ที่ใช้ในการโจมตีพวกนั้น นอกจากจะพยายามถ่วงเวลาให้ได้แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือสามารถสะบั้นปณิธานที่เชื่อมโยงติดต่อกันจากการออกหมัดของอีกฝ่ายให้ได้ด้วย”
ตอนที่เซียนเหรินอิ๋นลู่ทะยานลมจากไป ได้ยินอาจารย์ผู้ซึ่งสุภาพอ่อนโยนเสมอมาสถบด่าด้วยน้ำเสียงเดือดดาลอย่างที่หาได้ยาก “ผู้ฝึกตนยอดเขาคนหนึ่งกลับออกหมัดเหมือนพวกนักสู้ที่นิสัยมุทะลุวู่วาม เจ้าชาติสุนัข หน้าหนายิ่งนัก!”
สีหน้าของเสวียนผู่ยิ่งไม่น่ามองขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ที่แท้กระบี่บินซึ่งจำแลงมาจากเด็กรับใช้ในห้องหลอมโอสถสองคน เมื่อจากไปไกลหลายพันลี้แล้วกลับระเบิดแตกอย่างไร้ลางบอกเหตุ เศษซากยันต์สองแผ่นที่เหลืออยู่ ระหว่างที่ลอยร่วงลงพื้นก็เหมือนนักพรตน้อยสองคนของป๋ายอวี้จิงที่พลันได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์ ได้แต่น้อมรับคำสั่งอย่างนอบน้อมแต่โดยดี ถึงกับบินกลับมายังนครเซียนจานแห่งนี้ แล้วมุดเข้าไปในชายแขนเสื้อใหญ่ข้างหนึ่งของกายธรรมนักพรตเต๋าคนนั้น
เซียนเหรินอิ๋นลู่ที่รับหน้าที่เป็นรองเจ้านครไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ แสยะยิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “เปิดประตูต้อนรับแขก!”
ใช้กระบี่ยาวจำนวนมากนับพันเล่มสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ ออกจากจวนแห่งหนึ่งของนครเซียนจานที่มีปราณกระบี่อึมครึม เคลื่อนขบวนอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกกระแทกชนเข้าที่ศีรษะของกายธรรมนักพรตเต๋าผู้นั้น
นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำยาวจากยันต์อีกเส้นหนึ่งที่รวมกลุ่มกันตรงตีนเขาแล้วลอยขึ้นกลางอากาศ ประหนึ่งเชือกพันธนาการเซียนที่ยาวที่สุดในโลกซึ่งพยายามจะรัดพันแขนของนักพรตเต๋าคนนั้น
อิ๋นลู่แค่นเสียงเย็นหนึ่งที ใช้เสียงในใจแจ้งข่าวไปยังจวนตระกูลเซียนแต่ละแห่งในนคร แจ้งพวกผู้ฝึกตนที่เร้นกายจากโลกภายนอกของแต่ละฝ่ายที่มาฝึกตนอยู่ที่นี่ว่าอย่ามัวชมเรื่องสนุกอย่างโง่งมอยู่อีก “ทุกคนล้วนอย่านิ่งดูดายอยู่เลย หากนครเซียนจานถูกเจ้าคนชั่วผู้นี้ทำลายตราผนึกได้จริง เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ได้ผลประโยชน์”
เพียงแต่ว่าค่ายกลกระบี่กับแม่น้ำยาวสองสายจากยันต์ บวกกับการลงมือของผู้ฝึกลมปราณมากมายในนครเซียนจาน ไม่ว่าจะเป็นวิชาอภินิหารหรือสมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตีก็ล้วนหล่นร่วงลงบนความว่างเปล่าทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ราวกับว่ากายธรรมของนักพรตผู้นั้นไม่ได้ดำรงอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้เลย
แต่นักพรตกลับสามารถออกหมัดไม่หยุด ต่อยลงบนนครเซียนจานเน้นๆ หนักๆ ทุกหมัด
แม่น้ำยาวค่ายกลกระบี่พุ่งแฉลบผ่านศีรษะของกายธรรมนักพรตไป เชือกยาวยันต์เส้นนั้นก็คล้ายกับว่าแค่ได้คลายปมเชือกอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าเท่านั้น
นครเซียนจานจึงได้แต่ถอยไปเลือกอันดับรอง ตั้งใจจัดวางค่ายกลป้องกัน จวนน้อยใหญ่ รวมไปถึงกรอบป้ายซุ้มประตู กลอนคู่ทั้งหลายล้วนพากันเปล่งประกายแสงเรืองรอง ระยิบระยับพริบพราว สาดส่องไปทั่วพื้นที่ในรัศมีพันลี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรใหญ่ทั้งหลายที่ใช้ถ้อยคำสละสลวยไพเราะทั้งยังซุกซ่อนปณิธานเอาไว้เช่นคำว่า คุณูปการสืบเนื่องชั่วกาลนาน ด่านทรงพลังแห่งใต้หล้า แข็งแกร่งมิอาจทำลาย สูงเทียมฟ้า ลมและน้ำโชติช่วงที่สุด เป็นหนึ่งไม่มีสอง…
ล้วนมากพอจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับก้อนอิฐแผ่นกระเบื้องของนครเซียนจาน ราคาที่ต้องจ่ายก็คือปณิธานแท้จริงของมรรคกถาที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอักษรขนาดใหญ่เหล่านี้ที่จะค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ ราวกับว่าได้ไปผสานมรรคาอยู่กับนครแห่งนี้แล้ว
ผู้ฝึกตนใหญ่ในนครยังเรียกยันต์ออกมาอีกหลายแผ่น ยันต์ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือพลันขยายใหญ่ดุจมหาบรรพต บ้างก็เป็นปณิธานแสงศักดิ์สิทธิ์ในยันต์ที่ไหลหลั่งดุจมหานที พากันกลบทับท่วมท้นอยู่ในเมืองหลวง ราวกับว่าได้ห่มชุดคลุมอาคมหลายชั้นให้กับนครเซียนจาน
ทั้งๆ ที่เป็นยามกลางวัน แต่กลับมีแสงจันทร์สุกสกาวสาดส่องลงบนราวรั้วหยกขาว เสาแกะสลักหอหยก แสงจันทร์ดุจสายน้ำ เงาสนทอดเต็มขั้นบันได ประดุจภาพฝันประดุจภาพลวงตา
บริเวณใกล้เคียงกับน้ำตกในนคร กลางภูเขามีสะพานไม้อันหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า มีคนผู้หนึ่งเดินจูงกวาง ด้านหลังคือเด็กรับใช้ชายและองค์รักษ์หญิงคู่หนึ่งที่สะพายหีบหนังสือไว้ด้านหลัง
ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งหยุดยืนอยู่กลางสะพาน โบกชายแขนเสื้อสลายสะเก็ดน้ำของน้ำตกที่ปลิวกระจัดกระจายเหมือนหิมะทิ้งไปก่อน ผู้เฒ่ามีรูปโฉมสุภาพสง่างาม มองดูกายธรรมใหญ่ยักษ์ที่ออกหมัดไม่หยุดนั้นแล้วถอนหายใจหนึ่งที ขมขื่นนัก ตนก็แค่เดินทางผ่านมายังที่แห่งนี้ หวังมาเยี่ยมเยือนเซียนในนครเซียนจาน จ่ายเงินซื้อม้วนภาพไม่กี่ม้วน ไยมาเจอกับหายนะที่พันปีก็ยากจะพานพบระดับนี้ได้นะ ผู้เฒ่าหยิบภาพวานรหลับใหลบนสันเขาที่ดูโบราณเก่าแก่ภาพหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ พอม้วนภาพถูกเขาโยนออกไปนอกสะพานแล้วก็มีวานรเฒ่าสูงพันจั้งตัวหนึ่งโผล่มาจากภาพวาด วานรเฒ่าเหยียบลงบนความว่างเปล่า กระโดดตัวขึ้นสูง รับหมัดหนึ่งมาจากกายธรรมตนนั้น ผลคือวานรเฒ่าที่มาขวางทางซึ่งบนแผ่นหลังมีเส้นสีทองเส้นหนึ่งถูกหมัดของนักพรตคนนั้นต่อยจนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
บนยอดของน้ำตกได้สร้างซุ้มป้ายสูงตระหง่านที่เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้สองคำว่าประตูมังกร มียอดฝีมือนอกโลกสองคนนั่งประชันหมากล้อมกันอยู่โดยมีสายน้ำกั้นขวาง คนผู้หนึ่งกำลังวาดภาพ
เขาวาดนกกระจอกสองสามตัวก่อน น่ารักน่าเอ็นดู มีชีวิตชีวาเสมือนจริง สยายปีกบินสูง บนม้วนภาพเบื้องใต้พู่กันมีเมฆหมอกลอยอวล ปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำแต่ละขุมติดตามนกกระจอกพวกนั้นบินกระจายไปสี่ทิศในช่วงเวลาเดียวกัน สร้างความมั่นคงให้กับค่ายกลใหญ่นครเซียนจาน
คัดลอกภาพขุนเขาสายน้ำ ใช้รูปร่างมาผสานมรรคา สกุณาโบยบินผลุบหายไปท่ามกลางก้อนเมฆล่องลอย พันภูเขาหมื่นสายน้ำกับควันสงคราม
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่รับหน้าที่เป็นเค่อชิงท่านนี้มีฉายาว่าโซ่วเหมย คุยโวโอ้อวดว่าชั่วชีวิตนี้สิ่งที่ตนถนัด มีเพียงดอกเหมยไม่ยอมคนเท่านั้น
อีกคนหนึ่งโยนยันต์ลงน้ำ ทันใดนั้นก็มีตะพาบตัวใหญ่มหึมาค่อยๆ ลอยพ้นผิวน้ำออกมา มันใช้น้ำหนักตัวและวิชาอภินิหารของตัวเองแบ่งกันช่วยสร้างความมั่นคงให้กับรากภูเขาและโชคชะตาน้ำของนครเซียนจาน
ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์มากมายในนครต่างก็ส่ายโคลงโงนเงนหลังจากโดนหมัดเหล่านั้น
ต่อให้ยิ่งนานปราณวิญญาณในนครเซียนจานจะยิ่งเปี่ยมล้น อีกทั้งยังมีค่ายกลใหญ่ที่เกิดจากฝีมือของผู้ฝึกตนหลายคน มากมายดุจหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตก มรรคกถาแต่ละชั้นช่วยกันปลุกเสกนครเซียนจาน แต่กระนั้นก็ยังมิอาจสกัดขวางแรงกระแทกรุนแรงที่มาจากหมัดซึ่งหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ระดับการสั่นสะเทือนของนครสูงยิ่งนานก็ยิ่งเกินจริงมากขึ้นทุกขณะ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบางส่วนที่ขอบเขตไม่สูงมากพอต่างก็สีหน้าซีดขาว ตะลึงพรึงเพริด ได้แต่บีบเงินเทพเซียนทั้งหลายที่อยู่บนร่างอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขอแค่ไม่ใช่เงินฝนธัญพืช แม้แต่เงินร้อนน้อยก็ยังถูกบีบแตกไปด้วย พยายามอาศัยเรี่ยวแรงน้อยนิดที่มีมาเพิ่มปราณวิญญาณสักเศษสักเสี้ยวให้กับนครเซียนจาน
ผู้เฒ่าที่มีฉายาว่าโซ่วเหมยทอดถอนใจ “กายธรรมที่สูงขนาดนี้ ไม่พูดถึงเคยพบเห็น แค่ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ผู้ฝึกตนที่โยนยันต์เรียกตะพาบในสระมาผงกศีรษะ “ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่สูงอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว ร่างทองของนักพรตผู้นี้ไร้ซึ่งมลทินสกปรก คุณธรรมจริยธรรมไร้ช่องโหว่ หากมองอย่างละเอียดก็ราวกับเจดีย์ไร้รอยแตกของลัทธิพุทธ”
ผู้ฝึกตนของเปลี่ยวร้าง หากกลับคืนสู่ร่างจริงของเผ่าปีศาจ หากว่ากันในระดับใหญ่แล้วก็คือ ‘การแสดงออกบนมหามรรคา’ อีกประเภทหนึ่ง คล้ายคลึงกับการว่ายทวนน้ำบนมหามรรคาอย่างหนึ่ง การกระทำเช่นนี้มีทั้งผลดีและผลร้าย เพราะถึงอย่างไรฝึกตนอย่างยากลำบากก็เพื่อจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ต่อให้เจอกับสงครามใหญ่ที่ตัดสินเป็นตาย หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ จนจำเป็นต้องทุ่มสุดชีวิต ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจก็ยังจะไม่ฟื้นคืนสู่ร่างจริงง่ายๆ เพราะตบะที่เผาผลาญไปเป็นการตัดทอนมรรคกถาบนร่างตัวเองอย่างที่มองไม่เห็น
และเมื่อเทียบกับร่างจริงของเผ่าปีศาจแล้ว การเรียกกายธรรมออกมาของผู้ฝึกตน พันธนาการจะน้อยกว่า ก็แค่ว่ากายธรรมมีความต่างในด้านของความว่างโหวงกับความแน่นหนา ก็เหมือนเต้าหู้หนึ่งก้อนกับก้อนหินที่ย่อมไม่เหมือนกัน อีกทั้งยังมีผู้ฝึกตนเซียนดินบางส่วนที่จะมุ่งมั่นลงแรงในเรื่องของกายธรรมโดยเฉพาะ แสร้งทำเป็นลี้ลับซับซ้อนเพื่อเอามาใช้ข่มขู่ผู้ฝึกตนที่เป็นศัตรูที่ไม่รู้ความจริงให้ถอยหนีไปด้วยความหวาดกลัว