กระบี่จงมา - ตอนที่ 850.1 หนึ่งนั้น
หิมะใหญ่เท่าขนห่านที่มาเยือนโดยไม่นัดหมายครั้งนี้ก็เหมือนกับว่ามีเซียนเหรินบดขยี้ถาดหยกขาวแล้วโปรยเงินเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนลงมา
เหนือหัวกำแพงเมือง เพียงไม่นานหิมะก็สะสมทับซ้อนกันหนาชั้น เฉินผิงอันที่นั่งยองอยู่จงใจเก็บรวมปณิธานหมัดและปราณกระบี่มา ปล่อยให้เกล็ดหิมะหล่นลงบนศีรษะ ไหล่สองข้างและบนชุดสีเขียว
ผู้ฝึกตนหนาวร้อนมิอาจกล้ำกราย คำว่าหนาวร้อน อันที่จริงไม่ได้หมายถึงแค่การสับเปลี่ยนของสี่ฤดูกาลเท่านั้น ยังหมายถึงความทุกข์ความสุข การพบเจอและการพรากจากของจิตใจคนในโลกมนุษย์ด้วย
ซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ก็เหมือนนครรกร้างนอกด่านที่ไร้คนเฝ้าด่าน นครเดียวดายนอกด่านที่จู่ๆ ก็มีหิมะถี่กระชั้นตกลงมา ดุจดอกหยางฮวาที่แต่ละดอกใหญ่เท่าเงินเหรียญทองแดง พันขุนเขาสูงชันหนาวเหน็บ ยากจะเสาะหาร่องรอยวิหค รอบด้านคือทุ่งกว้างเวิ้งว้างไร้ผู้คน ได้ยินเสียงหยกแตกดังแว่วมา ฟ้าและหิมะขับขานร่วมกัน
ลู่เฉินลุกขึ้นยืนนานแล้ว เก็บอุปกรณ์ต้มสุราที่ไม่รู้ไปรีดไถมาจากใครชุดนั้นลงไป เดิมทีลู่เฉินจะจากไปตั้งแต่ตอนนี้ หวนกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัว ที่นั่นมีสหายเยอะเรื่องสนุกก็เยอะ อีกอย่างก่อนหน้านี้อาจารย์ได้มาเยือนป๋ายอวี้จิง ออกคำสั่งที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดีให้กับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างเขา ไม่ต้องไปฟ้านอกฟ้าทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แล้ว กลับไปถึงใต้หล้ามืดสลัว ไม่มีเรื่องอะไรก็ตัวเบา แม้แต่ศิษย์พี่ที่ให้ความเคารพกฎเกณฑ์ที่สุดก็ยังว่ากล่าวอะไรเขาไม่ได้ แต่เป็นเพราะนานๆ ทีจะได้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลู่เฉินจึงตัดใจรีบจากไปแบบนี้ไม่ลง อุตส่าห์เหนื่อยยากร่ายวิชาอภินิหารปากอริยะอมกฎสวรรค์ ถึงจะเรียกหิมะใหญ่ที่ตกหนักขนาดนี้มาได้อย่างยากเข็ญ จึงทำหน้าหนาไม่ขยับเท้าไปไหน ทั้งยังยื่นมือออกไปรองหิมะ เพียงไม่นานก็ขยำเป็นก้อนหิมะกลมๆ ขึ้นมาได้ แล้วคอยตบอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานลูกหิมะก็ยิ่งหนักและแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เฉินโยนลูกหิมะขึ้นลงเบาๆ มือหนึ่งลูบปลายคาง “ดวงจันทร์บนฟ้าคล้ายหิมะที่มารวมกัน หิมะบนโลกมนุษย์เหมือนดวงจันทร์ที่ปริแตก แสงอันเยือกเย็นเดียวดายส่องดวงตา ทั้งดวงจันทร์และหิมะต่างใสสะอาดงามตา มีเพียงคนที่เกินความจำเป็น”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า เป็นการหัวเราะที่หน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม อันที่จริงไม่ต้องยิ้มเลยจะดีกว่า
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ โยนหิมะลูกนั้นออกไปนอกหัวกำแพงเมืองอย่างไม่ใส่ใจ ลูกหิมะวาดวงโค้งตกลงไปเบื้องล่าง
ยังคงเป็นบัณฑิตอย่างเราๆ ที่สุภาพสง่างามที่สุด ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวอย่างหนิงเหยาและสิงกวานหาวซู่ยังคงขาดความหมายบางอย่างไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันถาม “เจ้าลัทธิลู่ยังไม่ไปอีกหรือ?”
ลู่เฉินพูดบ่นอย่างไม่พอใจ “ภูเขาสามารถไล่ภูเขา แต่คนอย่าไล่คนสิ”
ในอดีตตอนที่เฉินชิงตูยังอยู่ที่นี่ อันที่จริงลู่เฉินก็อยากมาเป็นแขกที่นี่แล้ว เพียงแต่ว่าดันมาเจอกับศิษย์พี่ที่ต่อให้ตายก็ยังรักศักดิ์ศรี ทำให้ลู่เฉินจำต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของอาเหลียง ปีนั้นพอไปถึงฟ้านอกฟ้า และไปพลิ้วกายลงในบริเวณใกล้เคียงกับป๋ายอวี้จิง จะต้องยุแยงกระพือไฟอย่างแน่นอน เจ้าอวี๋โต้วถือว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงอะไรกัน แค่จะไปต่อสู้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังไม่กล้าเลย ให้ลู่เฉินเป็นคนไปก็แล้วกัน
เขาที่เป็นศิษย์น้อง หากแค่เจอหน้าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นก็เหมือนสหายที่รู้จักกันมานาน เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แบบนั้นคงจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร นี่ก็เหมือนในครอบครัวล่างภูเขาที่พี่ชายพี่สาวในตระกูลยังไม่ได้แต่งงาน น้องชายกับน้องสาวย่อมไม่อาจชิงแต่งงานก่อนได้
อันที่จริงปีนั้นอวี๋โต้วเดินมาถึงหน้าประตูของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว สุดท้ายกลับไม่ได้ถามกระบี่กับเฉินชิงตู เพียงแค่ทิ้งศาลาจัวฟ่างที่ภายหลังมีนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ขาดสายเอาไว้ ส่วนภูเขาห้อยหัวลูกนั้น ในฐานะตราประทับตัวอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อวี๋โต้วสร้างขึ้นมากับมือตัวเอง อันที่จริงไม่มีความหมายที่ลึกล้ำอะไร ก็แค่ว่าเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงผู้มีฉายาว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนี้คิดว่าในอนาคตหากมีวันใดได้ถามกระบี่กับเฉินชิงตู มีท่าเรืออยู่ก็ไม่ต้องคอยดูสีหน้าของอริยะปราชญ์ที่เฝ้าประตูของศาลบุ๋น เอาชนะเฉินชิงตูได้ก็พกกระบี่ออกจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างบินทะยานกลับป๋ายอวี้จิงไปโดยตรง
แน่นอนว่าจนกระทั่งเฉินชิงตูใช้กระบี่เปิดทางให้กับนครบินทะยาน เต๋าเหล่าเอ้ออวี๋โต้วก็ยังไม่ได้ลงมือ
นักพรตซุนที่ขอแค่มีโอกาสก็จะเอ่ยชมเชยศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างอวี๋โต้วและลู่เฉินคู่นี้ ย่อมไม่มีทางขี้เหนียวถ้อยคำอันไพเราะอย่างแน่นอน
เพียงไม่นานก็ป่าวประกาศความในใจที่เป็นธรรมมีเสรีออกไปอย่างแพร่หลาย บอกว่าบนยอดเขาของวิถีกระบี่นั้น ต่างคนต่างไร้เทียมทาน สองยอดเขาคุมเชิงกัน ต่างฝ่ายต่างเล่นงานกัน แล้วจะไม่ใช่ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงได้อย่างไร ใครกล้าบอกว่าไม่ใช่จงมาที่อารามเสวียนตู มาดื่มเหล้ากับผินเต้า บนโต๊ะสุรามีแบ่งสูงต่ำ ใครกล้าพูดจาเหลวไหล เจ้ากี้เจ้าการกับพี่ใหญ่แห่งวงการการต่อยตีของใต้หล้ามืดสลัวของพวกเรา ผินเต้าจะเป็นคนแรกที่เดือดดาล จะเอาเหล้ากรอกปากเจ้าให้ตายไปเลย
เฉินผิงอันพลันหันมาเอ่ยกับหนิงเหยา “เจ้าลัทธิลู่พูดคุยกับผู้อื่น ขอแค่เปิดปาก โดยทั่วไปแล้วไม่ได้โกหก เพียงแค่ว่าไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด”
เป็นหลักการเดียวกันกับคำกล่าวที่ว่าเชื่อทุกอย่างในตำราไม่สู้ไร้ตำราให้อ่าน คนบางคนพูดจาชอบจงใจที่จะพูดความจริงแค่ส่วนเดียว บ้างก็ไม่ใช่ความจริง หรือถึงขั้นทำให้คนห่างไกลจากความจริง
ประโยคนี้เฉินผิงอันไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดด้วยซ้ำ
หนิงเหยาพยักหน้า “ตอนอยู่เมืองเล็กก็เคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว”
ลู่เฉินปัดหิมะที่ทับถมอยู่บนไหล่ออก เอ่ยอย่างเขินอายว่า “พูดต่อหน้าคนเขาก็ไม่ต่างจากการถามหมัดแล้วต่อยหน้า ไม่สอดคล้องกับกฎในยุทธภพกระมัง ต่างก็พูดกันว่าผู้สูงศักดิ์ไม่เปิดปากพูดง่ายๆ ทั้งยังพูดน้อยนัก มิอาจโยนใจทั้งดวงออกไปให้ได้ ต้องขยับปากให้น้อยพยักหน้าให้มาก”
เฉินผิงอันเพียงแค่มองหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ความคิดเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ จิตใจเหม่อลอยไกลไปหมื่นลี้ ไม่ได้จงใจควบคุมความคิดซับซ้อนวุ่นวายของตัวเองอีก ดั่งควบม้าไปอย่างไร้จุดหมาย ประหนึ่งม้าขาวควบผ่านช่องแทบ ห้อตะบึงอยู่ในฟ้าดินเล็ก
นักประพันธ์ของไพศาลเคยกล่าวเอาไว้ว่า หิมะเหมือนไร้รากแต่กลับมีราก มีรูปลักษณ์อันผุดผ่องสูงส่งที่ไม่ว่าดอกไม้เลอค่าใดในโลกก็มิอาจเทียบเคียงได้
ขนบธรรมเนียมประเพณี คำพูดโบราณเก่าแก่มากมายที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัยในเมืองเล็ก ส่วนใหญ่มักจะมีประวัติความเป็นมา ไม่เหมือนกับในหมู่บ้านชนบททั่วไปจริงๆ และน้ำฝน หิมะ น้ำค้างที่ยังไม่หล่นลงมาบนพื้นดินของโลกมนุษย์ใบนี้ก็ล้วนถูกคนเฒ่าคนแก่ในบ้านเกิดเรียกอย่างเรียบง่ายว่าน้ำไร้ราก
ทุกวันนี้โชคชะตาน้ำของใต้หล้าไพศาลได้แบ่งออกเป็นสองส่วน ตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่รับหน้าที่ดูแลโชคชะตาน้ำบนบก สุ่ยจวินแห่งสี่มหาสมุทรที่เลื่อนขั้นใหม่โดยมีจื้อกุยเป็นหนึ่งในนั้นร่วมกันจัดการดูแลโชคชะตาน้ำทั้งหมดนอกเหนือจากนี้
เฟิงอี๋ไม่ได้เป็นเทพแห่งสายลมยุคบรรพกาลเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นนางจึงไม่ได้เลื่อนสู่อันดับสิบสองเทพชั้นสูง ต่อให้จะเป็นในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางที่เก็บรักษาปฏิทินเหลืองไว้มากที่สุดและในคฤหาสน์หลบร้อนที่ไม่ต้องพิถีพิถันในเรื่องการหลีกเลี่ยงข้อห้ามอะไรมากที่สุด ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีบันทึกของเทพชั้นสูงสิบสององค์ที่สมบูรณ์แบบเช่นกัน ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็รักษาสัญญาบางอย่างจึงจงใจปิดบังเอาไว้ ไม่ยอมให้คนรุ่นหลังได้เปิดตำรามาเจอ
หากจะบอกว่าอวี่ซื่อผู้ฝึกกระบี่ของกระโจมเจี่ยเซินก็คือเทพพิรุณที่กลับชาติมาจุติใหม่ ในฐานะขุนนางผู้ช่วยของเทพวารีหนึ่งในห้าทวยเทพสูงสุด แต่กลับไม่ได้เลื่อนสู่ตำแหน่งสิบสองเทพชั้นสูงเช่นเดียวกับเฟิงอี๋ นี่ก็หมายความว่าองค์เทพที่กลับชาติมาจุติซึ่งสถานที่ถือกำเนิดคือดินแดนฟ้ารั่วของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างอวี่ซื่อนี้ ในยุคบรรพกาลต้องเคยถูกลดทอนหน้าที่ส่วนหนึ่งในตำแหน่งเทพไป อีกทั้งเทพพิรุณในอดีตอย่างอวี่ซื่อยังเป็นลำดับรอง เป็นผู้ช่วย เพราะยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์กรมวารีที่เป็นนาย เป็นผู้สูงศักดิ์กว่า
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินพูดถึงชายใจหญิงคนงานของเตาเผามังกรบ้านเกิด อันที่จริงเฉินผิงอันก็เริ่มปล่อยจิตใจจมจ่อมลงไป ขณะเดียวกันก็ร่ายนกในกรงออกมาปกป้องจิตแห่งมรรคาของตน ให้ลู่เฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างมิอาจสืบเสาะได้ตามใจชอบ แล้วถึงได้ไปพลิกหาข้อมูลที่หอตำราซึ่งสร้างไว้ริมทะเลสาบหัวใจ ตามหาเบาะแสทุกอย่าง
เห็นว่าเฉินผิงอันทำตัวเป็นน้ำเต้าตันต่อไป ลู่เฉินก็พูดกลั้วหัวเราะกับตัวเองว่า “อีกอย่างนะ ข้าพูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ แต่เจ้าเฉินผิงอันเองก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ จงใจไม่มอบใจให้ข้า ยังคงแกล้งโง่ต่อไป แต่ก็ไม่เป็นไร การเอาใจเขามาใส่ใจเราคือเรื่องของลัทธิพุทธ ข้าเป็นคนของลัทธิเต๋า เจ้าเองก็แค่เชื่อในลัทธิพุทธ ไม่ได้เป็นภิกษุอะไรจริงๆ เสียหน่อย พวกเราทั้งสองต่างก็ไม่ได้พิถีพิถันในเรื่องนี้”
ลู่เฉินยกมือสองข้างขึ้นมา เป่าลมปล่อยไอเย็นออกจากปากหนึ่งทีแล้วถูมือเข้าด้วยกันไม่หยุด พูดกลั้วหัวเราะหน้าทะเล้น “วานรในใจมิอาจควบคุม ออกเดินไปครึ่งใต้หล้า จะไม่ย่ำให้รองเท้าสานสึกไปคู่แล้วคู่เล่าได้หรือ”
เฉินผิงอันได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของลู่เฉิน ทำเป็นหูทวนลม
นั่นเป็นเพราะเส้นที่ถูกฝังไว้ซึ่งมองดูเหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า แต่แท้จริงแล้วกลับอยู่ใกล้เพียงตรงหน้านี้ หากถูกดึงขึ้นมาก็สามารถช่วยให้ตนมองเห็นเส้นสายสมบูรณ์ทั้งเส้นได้อย่างชัดเจน สำหรับการชักคะเย่อทางใจระหว่างเฉินผิงอันกับนิสัยแห่งเทพที่บริสุทธิ์นั้น ไม่แน่ว่าก็คือจุดที่จะตัดสินแพ้ชนะ เป็นกุญแจสำคัญมากเกินไป
ปีนั้นเฉินผิงอันสะพาย ‘ปราณยาว’ กระบี่โบราณที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้ตนยืมออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปเที่ยวเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ้าอารามผู้เฒ่า หลังกลับจากใบถงทวีปมายังแจกันสมบัติทวีป ตอนที่อยู่บนทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า ภายใต้การปกป้องมรรคาจากฟ่านจวิ้นเม่า เฉินผิงอันก็เคยได้หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เป็นธาตุน้ำขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
ฟ่านจวิ้นเม่าที่ภายหลังได้เป็นซานจวินหญิงแห่งขุนเขาใต้ของหนึ่งทวีป หรือก็คือพี่สาวของฟ่านเอ้อ เนื่องจากนางคือเทพที่กลับชาติมาเกิดใหม่ การฝึกตนจึงฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีด่านอะไรให้พูดถึง เรียกได้ว่าประดุจผ่าลำไม้ไผ่ ครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกันก็ต่างคนต่างเดินไปคนละทาง ต่างก็อยู่บนเรือข้ามฟากสองลำที่แล่นสวนกันผ่านเส้นทางมังกรเดิน ภายหลังฟ่านจวิ้นเม่าได้บอกกล่าวอย่างชัดเจนว่าการเดินทางขึ้นเหนือของนางครั้งนั้นก็เพื่อไปหาหยางเหล่าโถว เป็นการยอมรับสถานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กลับชาติมาจุติของนางอย่างเปิดเผย
รอกระทั่งเฉินผิงอันหลอมตราประทับอักษรน้ำชิ้นนั้นได้สำเร็จ จำได้ว่าตอนนั้นพอฟ่านจวิ้นเม่าได้เห็นภาพบรรยากาศของจวนน้ำเฉินผิงอันที่สามารถทำให้คนจิ๋วสวมชุดสีเขียวมรกตซึ่งเวทคาถาน้ำมาจากระบบสืบทอดสายตรงดั้งเดิมรับฟังคำสั่งของเขาอย่างยินยอมพร้อมใจได้ นางก็ตกใจไม่น้อย ลุกพรวดขึ้นทันใด พูดจารีบร้อน เอ่ยประโยคประหลาดที่ปีนั้นเฉินผิงอันไม่ได้คิดให้มากความ ฟ่านจวิ้นเม่าถึงกับถามโดยตรงว่าเฉินผิงอันใช่เทพพิรุณมาจุติหรือไม่
เฉินผิงอันฟังด้วยความมึนงง ตอนนั้นยังเอ่ยหยอกล้อไปหนึ่งประโยค บอกว่าฟ่านจวิ้นเม่าเอ่ยคำประจบที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครจริงๆ สุดท้ายดูเหมือนฟ่านจวิ้นเม่าจะปฏิเสธการคาดเดาของตัวเอง เอ่ยอีกประโยคที่ฟังแล้วลึกลับมากกว่าเดิม หนึ่งในนั้นได้พูดถึง ‘ชายใจหญิง’ บอกว่าเฉินผิงอันยังห่างชั้นไกลนัก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้ตอนนั้นเฉินผิงอันคิดมาก หรือมีความคิดอะไรขึ้นมา ก็ล้วนต้องคิดไปถึงลู่ไถที่เคยเดินทางร่วมกัน ไม่เคยนึกถึงบุรุษของเตาเผามังกรที่บ้านเกิดผู้นั้นเลยจริงๆ
ถึงขั้นที่เฉินผิงอันยังเคยคาดเดาว่าลู่ไถใช่เทพพิรุณหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรแรกเริ่มสุดทั้งสองฝ่ายก็เคยนั่งโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาด้วยกัน เคยเดินทางผ่านสำนักอวี่หลงที่มีรูปปั้นของเทพพิรุณตั้งตระหง่านด้วยกัน และเข็มขัดหลากสีซึ่งเป็นชุดอาคมบนร่างของลู่ไถชิ้นนั้นก็มีความคล้ายคลึงของเทพพิรุณอยู่หลายส่วน ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูก็เป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างหนึ่งของโจวจื่อเท่านั้น? จงใจให้ตนเป็นเหมือนเงามืดใต้โคมไฟ ไม่ไปคิดถึงเรื่องของบ้านเกิดให้มากความ?
จวินทานแห่งกระโจมเจี่ยเซินมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตชื่อ ‘เจี่ยฉี’ ส่วนผู้ฝึกกระบี่อวี่ซื่อได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘พู่ปู้’ บทความในเอกสารลับของคฤหาสน์หลบร้อน อันที่จริงเมื่อเทียบกับของพวกจู๋เชี่ย หลิวป๋ายและจวินทานแล้ว เนื้อหาของอวี่ซื่อกลับมีมากยิ่งกว่า และผู้ฝึกกระบี่สองคนนี้ต่างก็ติดตามโจวมี่เดินขึ้นฟ้าไปยึดครองตำแหน่งเทพในสรวงสวรรค์เก่าแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวี่ซื่อที่ดูเหมือนว่าจะยังสืบทอดความเป็นเทพที่ถูกดึงออกไปจากหลี่หลิ่วด้วย เป็นเหตุให้อวี่ซื่อที่เดิมทีตอนอยู่ในยุคบรรพกาลตำแหน่งเทพไม่ได้ติดสิบสองอันดับพลันได้เลื่อนขั้นขึ้นสูง เท่ากับกระโดดข้ามหลายขั้นติดต่อกัน ได้ไปรับหน้าที่เป็นเทพวารีหนึ่งในห้าทวยเทพสูงสุดโดยตรง
เพียงแต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่รู้ สมมติว่าบุรุษที่เป็นช่างในเตาเผามังกรของบ้านเกิดคนนั้นมีชาติกำเนิดจากเทพพิรุณตำแหน่งสูงจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเขาตายไปแล้วจริงๆ แล้วหยางเหล่าโถวใช้วิชาอภินิหารบดบังฟ้าดิน จึงเป็นเหตุให้ความเป็นเทพสลายหายไป กลับคืนสู่ฟ้าดินนับแต่นั้น ต่อมาก็ถูกหยางเหล่าโถวรวบเก็บมาไว้ในมือ สุดท้ายนำไปมอบให้ใคร? หรือว่าบุรุษที่ตลอดชีวิตคับแค้นใจว่าตนเลือกมาเกิดผิดครรภ์ได้ถือโอกาส ‘เดินเข้าไป’ ในศาลบรรพบุรุษสำนักการทหารอย่างศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่เพื่อชดเชยตำแหน่งที่ว่างอยู่ มีสถานะที่มั่นคงเหมือนกับเฟิงอี๋แล้วกันแน่?
อันที่จริงก่อนจะเจอกับลู่ไถ ความทรงจำที่เฉินผิงอันมีต่อชายใจหญิงผู้นั้นก็พร่าเลือนมานานมากแล้ว นอกจากความรู้สึกผิดส่วนหนึ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในหัวใจแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่เคยคิดมากมาก่อน หากไม่ใช่เพราะได้เจอกับลู่ไถ เฉินผิงอันอาจจะไม่พูดถึงเขาแม้แต่ครึ่งคำ ถึงขั้นที่ว่าบนเส้นทางชีวิตทั้งเส้นนี้ก็อาจจะไม่ได้เล่าให้หนิงเหยาที่ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็ต้องบอกกล่าวให้นางฟังก็เป็นได้
บุรุษตัวโตคนหนึ่ง ยามพูดยามจากลับใช้เสียงอ่อนเสียงหวาน นิ้วมือหยาบกระด้าง ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้าน แต่เวลาพูดกลับชอบจีบนิ้วเป็นท่าดรรชนีกล้วยไม้
ทว่าบุรุษผู้นี้กลับเชี่ยวชาญงานเย็บปักถักร้อยอย่างมาก ในห้องโกโรโกโสที่เตาเผามังกร กระดาษมงคลที่ตัดแปะบนหน้าต่างในแต่ละปีล้วนเป็นบุรุษคนหนึ่งที่จุดตะเกียงอดนอนตัดกระดาษอย่างละเอียดประณีติ ขนาดฝีมือของสตรีออกเรือนแล้วของที่บ้านเกิดก็ยังสู้เขาไม่ได้
ความทรงจำที่ใหญ่ที่สุดของเฉินผิงอันก็คือบุรุษตัวโตๆ ที่เป็นช่างเตาเผาคนหนึ่ง ถูกรังแกจนชินเสียแล้ว มักจะชอบช่วยคนอื่นซักผ้า ปะเย็บเสื้อผ้า มักจะสวมปลอกนิ้วมือทองเหลือง (ใช้ในขณะเย็บผ้า) ไว้บนนิ้ว กัดเส้นด้ายให้ขาดอยู่ใต้แสงไฟ สะบัดเสื้อผ้าที่ปะชุนเรียบร้อยแล้วพลางยิ้มตาหยี
บอกว่าเขาเหมือนสตรีก็ไม่ได้ใส่ร้ายเขาเลยจริงๆ
เฉินผิงอันพูดได้แค่ว่าไม่ชอบแล้วก็ไม่ได้รังเกียจเขา รำคาญเขาต้องรำคาญแน่นอน เฉินผิงอันอดทนได้ เพราะถึงอย่างไรปีนั้นคนคนเดียวที่บุรุษผู้นี้สามารถรังแกได้ ก็คือเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่ชาติกำเนิดน่าเวทนายิ่งกว่าเขา มีครั้งหนึ่งบุรุษนำพากลุ่มคนเอะอะโวยวาย คำพูดที่ใช้เกินกว่าเหตุไปสักหน่อย หลิวเสี้ยนหยางผ่านทางมาพอดีจึงตบให้บุรุษคนนั้นร่างหมุนติ้ว ใบหน้าบวมเป่งเหมือนหมั่นโถว จากนั้นกระทืบเขาเต็มแรงจนเขากลิ้งไปบนพื้น หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันห้ามไว้ หลิวเสี้ยนหยางที่ตอนนั้นในมือคว้าเอาอ่างแตกใบหนึ่งที่อยู่ข้างทางมาไว้แล้ว คงจะเอาอ่างทุบใส่หัวของบุรุษผู้นั้นโดยตรง หลังจากเฉินผิงอันขัดขวาง หลิวเสี้ยนหยางก็ทุ่มอ่างลงบนพื้น ขู่ชายฉกรรจ์ที่ถูกคนตีแต่ยังนั่งกุมท้องนวดแก้มส่งยิ้มประจบให้คนที่ตีเขาอยู่บนพื้นว่า คนเลวอย่างเจ้าก็ดีแต่กล้ารังแกคนที่ดีเกินเหตุ หากวันหน้าถูกข้าจับได้อีกจะเอามีดกรีดหน้าเจ้าให้ลายเป็นดอกไม้ ช่วยให้เจ้าตัดใจเลิกอยากเป็นสตรีไปเลย