กระบี่จงมา - ตอนที่ 818.3 แกะเรือหากระบี่
หยางฮวากล่าว “เหนียงเนียง พวกเขาทะเลาะกัน อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายต่อต้าหลีของพวกเราไปเสียทั้งหมด หากทั้งสองฝ่ายยอมละทิ้งอคติก่อนหน้าที่มีต่อกันแล้วต่างฝ่ายต่างพัฒนากันไปอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นว่าง่ายที่จะทำให้เกิดเรื่องไม่ดี”
สตรีเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด เคาะเสาในศาลาเบาๆ
หยางฮวาเอ่ยต่อไปว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอันที่มีเมฆหมอกปกคลุม ซ่อนตัวอำพรางไว้อย่างลึกล้ำ ลุกผงาดเร็วเกินไปแล้ว บวกกับที่คนผู้นี้ยังเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ทั้งยังเคยรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน อยู่ในอุตรกุรุทวีปก็คบหาสหายมีพันธมิตรอยู่ทั่ว หากไม่ทันระวังก็จะกลายเป็นว่าดูแลไม่ทั่วถึง ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกร้อยปีก็คงยากที่จะมีใครมางัดข้อกับภูเขาลั่วพั่วได้อีก”
สตรียื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว “ซานจวินใหญ่เว่ยของพวกเราท่านนี้นี่นะ ช่วงสร้างปัญหาใหญ่ให้พวกเราเสียจริง”
สำหรับเว่ยป้อ นางยังยินดีจะมองเขาต่างไปจากผู้อื่น และพร้อมที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาท
เพราะถึงอย่างไรภูเขาพีอวิ๋นกับโชคชะตาแคว้นของต้าหลีก็ผูกพันกันแนบแน่น หลายปีมานี้เว่ยป้อที่เป็นซานจวินขุนเขาเหนือก็ได้ทำเรื่องที่ทางราชสำนักไม่อาจหาข้อตำหนิติเตียนได้เลย ขุนนางของกรมพิธีการ กรมอาญาที่ไปมาหาสู่กับภูเขาพีอวิ๋นบ่อยๆ ต่างก็มีคำประเมินต่อซานจวินท่านนี้สูงมาก พูดจาตรงไปตรงมา ในบรรดาห้าขุนเขายังคงเป็นเว่ยป้อที่ทำอะไรเหมาะสมที่สุด เพราะกระทำการอย่างคนมีประสบการณ์โชกโชน พูดจาไพเราะมีมารยาท รูปโฉมงดงามดุจหยก เข้าใจกฎระเบียบในวงการขุนนางได้ดีที่สุด
แล้วนับประสาอะไรกับที่เว่ยป้อยังมีจุดอ่อนที่ถูกต้าหลีกุมไว้ในมือ ซึ่งก็อยู่ในตำหนักฉางชุนแห่งนี้นี่เอง
ซ่งอวี้จางรับหน้าที่เป็นเทพภูเขา เป็นความตั้งใจของอดีตฮ่องเต้
หยางฮวาสาวใช้ที่อยู่ข้างกายเสี่ยงอันตรายกลายไปเป็นเทพวารีแห่งสายน้ำ คือการจัดการของนาง
นางพลันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “หยางฮวา ทุกวันนี้ข้าคือไทเฮาเหนียงเนียง เจ้าคือเหนียงเนียงเทพวารี ล้วนเป็นเหนียงเนียงกันทั้งคู่?”
หยางฮวารีบลงไปนั่งคุกเข่าทันที ไม่เอ่ยอะไรสักคำ กระบี่ยาววางอยู่ด้านข้าง
สตรีออกเรือนแล้วคลี่ยิ้ม เดินอ้อมมาด้านหลังหยางฮวา นางยกเท้าเตะก้นที่งอนโด่งของหยางฮวาเบาๆ เอ่ยสัพยอกว่า “สตรีที่งดงามถึงเพียงนี้กลับไม่ยอมให้ใครเห็นหน้าตา ช่างสิ้นเปลืองทรัพยากรสวรรค์เสียจริง”
นางลูบใบหน้าตัวเองพลางพึมพำเหมือนคับแค้นใจในตัวเอง “ไม่เหมือนข้า ฝึกตนไร้ผล ได้แต่ส่องกระจกทัดดอกไม้อย่างถูไถ แก่แล้วก็ลำบากแบบนี้เอง”
สายตาของนางพลันเฉียบคม “เฉินผิงอันผู้นี้ หากกล้าทำเกินกว่าเหตุ ไม่ยอมไว้หน้าต้าหลีแม้แต่น้อย กล้าพลิกเปิดสมุดบัญชีเล่มเก่าตามใจชอบ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าต้าหลีของพวกเราไม่เกรงใจภูเขาลั่วพั่วก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสไท่ซ่างของตำหนักฉางชุนรับฟังด้วยอาการอกสั่นขวัญผวา
สตรีพลันหัวเราะ หันตัวกลับมา ค้อมเอวลง มือหนึ่งกดลงบนหน้าอกที่หนักหน่วง อีกมือหนึ่งตบลงบนศีรษะของหยางฮวา “ลุกขึ้นเถอะ อย่าทำตัวเหมือนสุนัขรับใช้อยู่เลย”
หยางฮวาหยิบกระบี่ยาวเล่มที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม เอากระบี่มากอดไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง
สตรีนั่งกลับลงไปบนเบาะสีเหลืองสดที่ปักเป็นรูปมังกร พลันถามว่า “หยางฮวา เจ้ามีม้วนภาพขุนเขาสายน้ำของเจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้นไหม? ข้าจำหน้าตาของเขาได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว จำได้แค่ว่าปีนั้นเป็นเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนตัวผอมดำท่าทางยากจน”
หยางฮวาพยักหน้ารับ หยิบม้วนภาพม้วนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ คลี่กางลงบนโต๊ะหินแผ่วเบา สตรีประหลาดใจอย่างมาก นิ้วมือข้างหนึ่งเคาะลงบนม้วนภาพเบาๆ มองคนชุดเขียวสะพายกระบี่ที่อยู่ในม้วนภาพแล้วจุ๊ปากเอ่ย “เคยแต่ได้ยินมาว่าสตรีเมื่อเติบโตจะเปลี่ยนแปลงไปจากตอนเด็กมาก เหตุใดบุรุษก็เปลี่ยนแปลงได้มากเช่นนี้ด้วย? เป็นเพราะว่าฝึกตนอยู่บนภูเขาอย่างนั้นหรือ?”
สตรีฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะ คิดแล้วก็หยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งออกมา เรียกผู้ฝึกตนเฒ่าของกองโหราศาสตร์คนนั้นมาอีกครั้ง ให้เขาตามหาเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว ดูว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่
ผู้ฝึกตนเฒ่าทำสีหน้าลำบากใจ เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นการละเมิดข้อห้ามเกินไป
สตรียิ้มตาหยี “เขาไม่ได้เป็นขอบเขตเซียนเหรินเสียหน่อย มีแต่จะจับไม่ได้ พวกเรามองแค่ปราดเดียวก็สลายเวทอาคมออกแล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงได้แต่ทำตามคำสั่ง เริ่มวางค่ายกล สุดท้ายใช้เศษกระเบื้องชิ้นนั้นเป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกล ร่ายเวทอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำอยู่ไกลๆ ไอน้ำลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายในศาลาก็มีภาพของบุรุษคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนนักพรตหนุ่มปรากฎขึ้น
เวลานี้ดูเหมือนเขาจะอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง กำลังทอดสายตามองทัศนียภาพห่างไกล
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นสวมกวานดอกบัว ในมือถือหยกหลิงจือขาวชิ้นหนึ่ง ใช้มันเคาะฝ่ามือเบาๆ สวมชุดนักพรตเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวเรียบง่าย สวมรองเท้าเฟยอวิ๋น สะพายกระบี่ยาวฝักกระบี่เป็นไม้ไผ่เหลืองเล่มหนึ่ง
สตรีเอียงศีรษะ คล้ายไม่อาจจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มของตรอกเก่าโทรมในปีนั้นจะกลายมาเป็นคนผู้นี้ได้
นาทีถัดมาเส้นเอ็นหัวใจของนางพลันสั่นสะเทือน เห็นเพียงว่า ‘นักพรตหนุ่ม’ คนนั้นเงยหน้าขึ้นคล้ายกำลังมองสบตานาง เขาหรี่ตายิ้ม ยกหลิงจือหยกขาวในมือขึ้นทำท่าปาดคอเบาๆ
……
ท่าเรือป๋ายลู่ของภูเขาตะวันเที่ยง
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งนามเฉาโม่มาเช่าห้องแห่งหนึ่งจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่มีชื่อว่าหอกั้วอวิ๋น แล้วยังเลือกเป็นห้องอักษรเจี่ย (ห้องอันดับหนึ่ง) แค่แจ้งชื่อโจวโซ่วก็พอแล้ว ไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะคนผู้นี้ได้ซื้อห้องนี้ไว้หนึ่งปี ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้ภูเขาตะวันเที่ยงกำลังจัดพิธีเฉลิมฉลอง ไหนเลยจะมีห้องว่างให้แขก อย่าว่าแต่ห้องอักษรเจี่ยของโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนี้เลย ผู้ฝึกตนบนภูเขาทั่วไปไม่มีความสามารถพอจะเข้าพักในจวนตระกูลเซียนแห่งต่างๆ ของภูเขาตะวันเที่ยงด้วยซ้ำ แม้แต่โรงเตี๊ยมที่อยู่ในเมืองสองแห่งรอบด้านก็ยังเบียดเสียดยัดเยียดไปด้วยนายท่านเทพเซียนจากสี่ด้านแปดทิศ
ท่ามกลางแสงจันทร์ เฉินผิงอันยกเก้าอี้หวายมานั่งชมทัศนียภาพที่เปิดกว้างบนระเบียงชมทิวทัศน์ ทอดสายตามองไกลไปยังยอดเขาชิงอู้ แกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือเบาๆ
อีกสามวันก็จะเป็นวันฤกษ์งามยามดี ก็คืองานเฉลิมฉลองที่ต้าเซิ่งย้ายขุนเขาผู้ถวายงานหยวนได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ตระกูลเซียนอักษรจงแห่งหนึ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ จำนวนมากเป็นอันดับหนึ่งของทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่ช่วงนี้ยังมีข่าวลือเล็กๆ อีกข่าวหนึ่งพูดถึงเรื่องที่ภูเขาตะวันเที่ยงเลือกราชวงศ์จูอิ๋งเก่าเป็นที่ตั้งสำนักเบื้องล่าง เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว ถ้าอย่างนั้นภูเขาตะวันเที่ยงก็จะเป็นสำนักแรกในแจกันสมบัติทวีปที่ได้บุกเบิกสำนักเบื้องล่าง คนมาทีหลังไล่ตามมาทัน นำหน้าแซงสำนักเก่าแก่อย่างพวกสำนักโองการเทพ ศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ไปได้ในรวดเดียว
หนิงเหยาไม่ได้ตามมาที่นี่ นางตรงกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วเลย
เฉินผิงอันร่ายเหตุผลยาวเหยียด ยกตัวอย่างเช่นว่าถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงก็ควรต้องมีคนคอยช่วยคุมหลังให้ไม่ใช่หรือ? อีกอย่างก็เพิ่งจะได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวมจาจากชุยตงซาน สตรีอย่างเถียนหว่านผู้นั้นไปเกี่ยวข้องตีสนิทกับป๋ายฉางแล้ว นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานได้ทุกเวลาเชียวนะ หากเขากับหลิวเสี้ยนหยางสองคนเจอกับป๋ายฉางที่ปรากฏตัวลับๆ ล่อๆ ขึ้นมา ควรจะทำอย่างไร? แต่หนิงเหยาก็ยังไม่ตอบตกลง พูดแค่ว่าหากป๋ายฉางซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงแล้วยังกล้าออกกระบี่ นางก็จะรีบมาทันที
อันที่จริงต้องโทษเฉินผิงอันเองที่ใจร้อนอยากกินเต้าหู้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเส้นทางสายเล็กของภูเขาจิ้งหลิง ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คน ฤทธิ์สุรากระตุ้นให้เกิดความกล้า ผลคือถูกหนิงเหยาผลักออก จากนั้นระหว่างทางที่ไปเยือนแคว้นไฉ่อี นางก็ไม่สนใจเขาอีกเลย
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ไม่มองยอดเขาชิงอู้อีก เขาเม้มปากยิ้มจนตาหยี
ไม่เคยเห็นหนิงเหยาเขินอายเช่นนั้นมาก่อนเลย ท่าทางขลาดเขิน แม้ว่าจะเป็นเพียงเวลาชั่วครู่เดียว แต่ใบหน้าของนางก็แดงก่ำจนเหมือนดอกท้อ
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย ยังต้องดื่มเหล้าอะไรอีกเล่า
‘เฉาโม่’ เซียนซือที่ปรากฎตัวที่ท่าเรือป๋ายลู่ผู้นี้สะพายกระบี่เดินทางไกล สวมกวานดอกบัว สวมชุดนักพรตเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว
ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า ประดุจคนในกลุ่มเทพเซียนที่มาดแห่งเซียนล่องลอยอย่างแท้จริง
เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหญิงที่รับผิดชอบจดบันทึกชื่อลูกค้าที่เข้าพักของโรงเตี๊ยมถึงกับสงสัยว่าเจินเหรินนักพรตเต๋าท่านนี้จะใช่ยอดฝีมือบางคนที่จงใจไม่ไปเข้าพักในจวนเซียนบนยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงหรือไม่
เฉินผิงอันเอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้ เริ่มหลับตาทำสมาธิ กึ่งหลับกึ่งตื่น กระทั่งฟ้าสาง
วันที่สอง เฉินผิงอันยังคงไม่ได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยาง แต่กลับเป็นท่าเรือป๋ายลู่ที่ถูกคนผู้หนึ่งทำให้ตกตะลึงกันเสียก่อน แขกทุกคนที่อยู่ในหอกั้วอวิ๋นบ้างก็เอนตัวพิงราวระเบียง บ้างก็พิงหน้าต่าง มองผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อเสียงโด่งดังผู้นั้นอยู่ไกลๆ
ในที่สุดก็มาเสียที
อันที่จริงมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาเกือบครึ่งของคนที่มาชมความครึกครื้นที่นี่ที่ต่างก็มาเพื่อหวังจะได้พบเจอคนผู้นี้ นั่นก็เพราะอยากจะลองมาเสี่ยงดวงดูว่าจะได้เห็นการถามกระบี่ซึ่งเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดของคนผู้นี้หรือไม่
เจ้าสวนแห่งสวนลมฟ้า ผู้ฝึกกระบี่หวงเหอ
โรงเตี๊ยมอึกทึกวุ่นวาย ทุกหนทุกแห่งมีแต่เสียงคนกระซิบกระซาบพูดคุยกัน
บุญคุณความแค้นยาวนานหลายร้อยปีระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงและสวนลมฟ้าครั้งนั้นได้ถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปนำมาพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินแค่ร้อยปีเสียที่ไหน?
เหตุใดหยวนป๋ายจึงไปถามกระบี่ต่อสวนลมฟ้า คนทั้งแจกันสมบัติทวีปล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ ทว่าหยวนป๋ายบาดเจ็บสาหัส ชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้ แต่กลับยังคงได้แค่ถ่วงรั้งการฝ่าทะลุขอบเขตของหวงเหอเท่านั้น
หลี่ถวนจิ่ง เว่ยจิ้น หวงเหอ
คือคนสามคนที่แจกันสมบัติทวีปให้การยอมรับว่าคุณสมบัติด้านการฝึกกระบี่ดีที่สุดตลอดพันปีที่ผ่านมา
เฉินผิงอันเองก็ลุกขึ้นนั่ง มองผู้ฝึกกระบี่ที่ปรากฏตัวที่ท่าเรือป๋ายลู่ผู้เป็นลูกศิษย์ใหญ่ของหลี่ถวนจิ่ง เป็นศิษย์พี่ของหลิวป้าเฉียวคนนั้นอยู่ไกลๆ
ครั้งแรกที่ได้พบเจอคนผู้นี้คือบนเรือข้ามทวีปของภูเขาต่าเจี้ยว อาศัยการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายตาน้ำมามองดูการถามกระบี่บนหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ เฉินผิงอันมีความทรงจำที่ลึกล้ำต่อหวงเหอ เพราะคนผู้นี้ออกกระบี่อย่างดุดันเฉียบคม ถึงกับสามารถทำลายจิตแห่งกระบี่ของซูเจี้ยให้พังทลายได้โดยตรง ตอนนั้นขอบเขตของเฉินผิงอันต่ำ จึงได้แต่มองเรื่องครึกครื้นอย่างคนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญ รอกระทั่งได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง ลองย้อนนึกดูอีกครั้งก็เข้าใจว่าหวงเหอผู้นี้ หากอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นขอบเขตหยกดิบนานแล้ว อีกทั้งยังมีคุณสมบัติจะเป็นตัวสำรองเซียนกระบี่บนยอดเขาอย่างพวกหมี่ฮู่ เยว่ชิงอีกด้วย
การมาถึงของหวงเหออยู่เหนือการคาดการณ์ของท่าเรือป๋ายลู่ แต่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว ทำให้บรรยากาศแห่งความชื่นมื่นปิติยินดีทั่วทั้งภูเขาตะวันเที่ยงหยุดชะงักลดฮวบลงไปหลายส่วน ทันใดนั้นแต่ละจุดก็มีกระบี่บิน มีเวทคาถาส่งข่าวกันออกไปไม่หยุด ทำให้ข่าวนี้กระจายออกไปโดยเร็ว
ทว่านอกศาลบรรพจารย์ของยอดเขาอีเซี่ยน เวลานี้เจ้าสำนักจู๋หวงเพียงแค่ยืนเคียงบ่าอยู่กับวานรเฒ่าชุดขาวเท่านั้น
ขอบเขตหยกดิบทั้งสองคน คนหนึ่งมีรอยยิ้มบางๆ เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ อีกคนหนึ่งหัวเราะหยัน แค่นเสียงออกทางจมูก
ภูเขาตะวันเที่ยงตอนนี้เรียกได้ว่าเหล่าปราชญ์มารวมตัวกัน ยอดเขาทุกแห่งเต็มไปด้วยเซียนซือผู้กล้า จักรพรรดิ อัครเสนาบดี เทพภูเขาเทพวารีที่มาจากทั่วสารทิศของหนึ่งทวีป
มีคนทอดถอนใจออกมา บอกว่าหากไม่นับสนามรบของปีนั้น ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้สามารถถือว่าเป็นสถานที่ที่รวบรวมเซียนดินไว้มากที่สุดได้แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพที่ได้พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาเยือนภูเขาตะวันเที่ยงด้วยตัวเอง มาเข้าพักที่ยอดเขาอีเซี่ยนของภูเขาบรรพบุรุษ
วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาอายุยังน้อยท่านหนึ่งของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ว่ากันว่าคือตัวเลือกเจ้าประมุขสกุลเจียงคนถัดไป เขากับเจียงอวิ้นที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน และยังมีสตรีสกุลเจียงที่ออกเรือนไปไกลกับตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า ต่างก็มาถึงภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว คนทั้งกลุ่มมาเข้าพักอยู่ที่ยอดเขาของบรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ย
ส่วนเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักเจินจิ้งแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน เซียนเหรินหลิวเหล่าเฉิง หลิวจื้อเม่าขอบเขตหยกดิบที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง หลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานอันดับรอง คนทั้งสามก็พร้อมใจกันปรากฎตัว มาร่วมแสดงความยินดี เข้าพักที่ยอดเขาโปอวิ๋น
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่จิ้นชิงซานจวินขุนเขากลางก็ยังขอเอกสารผ่านด่านฉบับหนึ่งจากราชวงศ์ต้าหลี สุดท้ายมาเข้าพักที่ยอดเขาตุ้ยเซวี่ย
นครลมเย็นที่ได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักเช่นเดียวกัน ประมุขสกุลสวี่พาภรรยาและบุตรชาย รวมไปถึงลูกสะใภ้คนหนึ่งที่เป็นลูกหลานสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นมาเข้าพักอยู่ที่ยอดเขาของเถาแยนโปด้วยกัน
ว่ากันว่าทางฝั่งของราชสำนักต้าหลียังมีเฉาผิงทูตผู้ตรวจการที่มาเยี่ยมเยือนภูเขาตะวันเที่ยงพร้อมกับเจ้ากรมพิธีการของเมืองหลวง
เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าแห่งภูเขาเมฆาเรืองกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอายุน้อยคนหนึ่ง ไฉ่จินเจี่ยนที่ทุกวันนี้เป็นบรรพจารย์หญิงของภูเขาเมฆาเรืองก็มาที่ภูเขาตะวันเที่ยงเช่นเดียวกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกจักรพรรดิน้อยใหญ่ที่อยู่รอบภูเขาตะวันเที่ยงเลย ทุกคนพากันออกจากเมืองหลวง ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ก็ได้เจอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำมากมาย
คาดว่าความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูร์แบบก็คือศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่และสำนักกระบี่หลงเฉวียน กลุ่มอิทธิพลสามกลุ่มนี้ที่ต่างก็ไม่ได้ส่งคนมาร่วมแสดงความยินดีด้วย
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย พริบตาเดียวก็พุ่งตัวมาถึงราวรั้ว
เมื่อเขาใช้หลิงจือหยกขาวในมือทำท่าทางนั้น
ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยอมถอนวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือออกอย่างรู้กาลเทศะ
สวี่หุนยืนอยู่ตรงระเบียงของหอเรือนสูง เจ้านครลมเย็นท่านนี้ไม่คิดว่าการถามกระบี่ของหวงเหอวันนี้จะสำเร็จได้
ภูเขาเดียวดายเล็กใหญ่สองลูกถูกเรียกรวมกันว่ายอดเขาคู่รัก มีสตรีคนหนึ่งที่ถูกรับกลับมายังสำนักอย่างเงียบเชียบ รูปโฉมของนางงามล้ำ เวลานี้ยืนอยู่ริมหน้าผาของภูเขาเดียวดายลูกเล็กเพียงลำพัง ใบหน้าของนางซีดขาวไร้สีเลือด แต่กลับเพิ่มความงามอีกหลายส่วน ยิ่งทำให้นางชวนมองมากขึ้น
นอกศาลบรรพจารย์ จู๋หวงยิ้มเอ่ย “ด้วยนิสัยของหวงเหอ อย่างน้อยที่สุดจะต้องปล่อยกระบี่ใส่ศาลบรรพจารย์ของพวกเราหนึ่งทีถึงจะยอมจากไป”
วานรเฒ่าชุดขาวยกสองมือกอดอก หลุดหัวเราะพรืด “ทางที่ดีที่สุดก็บวกเศษสวะสองตัวอย่างเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางให้มาถามกระบี่พร้อมกันเลย”
แล้วก็จริงดังคาด เป็นอย่างที่จู๋หวงว่าไว้ หวงเหอออกกระบี่แล้ว แต่กลับออกกระบี่ติดกันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำการถามกระบี่ต่อยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยง
ทางฝั่งของยอดเขาอีเซี่ยนนี้มีจู๋หวงผู้เป็นเจ้าสำนักรับกระบี่ไว้ด้วยตัวเอง เขาสลายแสงกระบี่นั้นทิ้งไป ส่วนกลุ่มยอดเขาที่เหลือก็มีค่ายกลพิทักษ์ภูเขาของภูเขาแต่ละลูกที่ถูกเปิดใช้ในชั่วพริบตา จากนั้นเหล่าเซียนกระบี่ผู้อาวุโสก็อาศัยสิ่งนี้มารับกระบี่ นอกจากนี้แล้วพวกยอดฝีมือบางส่วนซึ่งมาเป็นแขกที่ภูเขาตะวันเที่ยงก็ช่วยรับไว้หนึ่งกระบี่เช่นกัน
วานรชุดขาวถาม “ไปเจอหน้าเขาหน่อยไหม?”
จู๋หวงยิ้มกล่าว “วันดีวันมงคลของสำนัก พวกเราอย่าได้รบราฆ่าฟันกันเลย ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะไม่น่าฟัง คนจะพูดกันว่าภูเขาตะวันเที่ยงอาศัยว่ามีกำลังมากมารังแกผู้เยาว์ที่เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง”
หวงเหอยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เห็นว่าภูเขาตะวันเที่ยงไม่มีผู้ฝึกกระบี่ปรากฎตัวแม้แต่คนเดียวก็พลิ้วกายจากไป ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า คราวหน้าจะมาใหม่ จะถามกระบี่กับศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนเท่านั้น
เฉินผิงอันนอนกลับลงไปบนเก้าอี้หวาย ถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่หวงเหอไม่ได้ลงมือโจมตีจริงจัง ไม่อย่างนั้นตนกับหลิวเสี้ยนหยางจะทำอย่างไรกันได้อีก
กลางม่านราตรีของวันนี้ หลิวเสี้ยนหยางนั่งเรือโดยสารมาถึงท่าเรือป๋ายลู่อย่างเอ้อระเหย เจอเฉินผิงอันในห้องอักษรเจี่ยของหอกั้วอวิ๋นก็ด่ากราด บอกว่าหวงเหอผู้นี้ทำเกินไปแล้ว
แล้วก็ยกเก้าอี้หวายมาให้ตัวเอง หลิวเสี้ยนหยางเอนกายนอนลงด้านข้าง สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย มองไปยังดวงดาวพร่างพราวที่อยู่บนฟ้า ยิ้มถามว่า “จะถามกระบี่อย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้าแค่เดินจากตีนเขาขึ้นไปบนภูเขาก็พอ จากนั้นออกกระบี่ตามใจ ข้าที่อยู่ในศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอีเซี่ยนจะยกเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่งดื่มช้า รอเจ้าไปช้าๆ ก็แล้วกัน”
——