กระบี่จงมา - ตอนที่ 738.1 สามชะตาหนึ่งสิบสี่
ภูเขาไฉ่จือภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ หลี่เอ้อสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที มองไกลไปทางทิศใต้ กุมหมัดคารวะแผ่นหลังของปัญญาชนชุดเขียวที่เรือนกายใหญ่โตโอฬารหนักๆ แสดงความเคารพอย่างนอบน้อมอยู่ไกลๆ
สนามรบอยู่ห่างไกลเกินไป ต่อให้หลี่เอ้อจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ บวกกับที่ซากสนามรบเดิมของนครมังกรเฒ่าเกิดภาพบรรยากาศที่เปลี่ยนมาเป็นวุ่นวายสับสน จึงมองอะไรไม่เห็น
ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูอันเป็นบ้านเกิด หลี่เอ้อเคยดื่มเหล้ากับอาจารย์ฉี ตอนนั้นหลี่เอ้อคิดไม่ถึงว่าอาจารย์ฉีจะมาเยือนถึงบ้าน ในบ้านมีแค่เหล้าชั้นเลวไม่กี่ชามเท่านั้น ยังดีที่อาจารย์ฉีไม่ถือสา
แม้ว่าบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แท้จริงแล้วจะไม่ถือว่าเป็นอาจารย์ฉีตัวจริงอีกแล้ว แต่กลับไม่ถ่วงรั้งการกุมหมัดคารวะของหลี่เอ้อ
หลี่เอ้อพลันรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยกับเผยเฉียนว่า “ต้องเชื่อใจอาจารย์พ่อของเจ้า เขากับอาจารย์ฉีต่างก็เป็นบัณฑิตที่แท้จริง ไม่ได้เอาแต่ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้นเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่สายอาจารย์พ่อของเจ้าก็ไม่มีความเคยชินที่จะต้องให้คนรุ่นถัดมาคอยแบกรับบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อน”
สายของเหวินเซิ่งมีเหตุผลเป็นที่สุด
และสายของเหวินเซิ่งก็ปกป้องคนของตัวเองเป็นที่สุด
อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเข้าข้างลูกศิษย์ของตัวเอง แม้กระทั่งศิษย์คนแรกอย่างชุยฉานที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน พอทรยศออกจากสายบุ๋นไปแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังคงปกป้องเขาอยู่ดังเดิม ยอมให้ตัวเองถูกขังอยู่ในสวนกงเต๋ออย่างไม่เสียดาย
อาจารย์ฉีปกป้องคนของตัวเอง อาจารย์จั่วเข้าข้างคนของตัวเอง ศิษย์น้องเล็กที่อาจารย์ฉีรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ก็ปกป้องคนของตัวเองเช่นกัน ลูกศิษย์รุ่นที่สามของสายบุ๋นต่อจากนั้นก็จะยิ่งปกป้องเข้าข้างเด็กรุ่นหลังที่อายุน้อยยิ่งกว่า
หากไม่เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นตอนที่หลี่เอ้อเห็นวานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยงก็คงปล่อยหมัดออกไปนานแล้ว ปีนั้นเจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่าตัวนี้ไล่ฆ่าเฉินผิงอันกับหนิงเหยาอย่างกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง หนึ่งในนั้นก็เป็นเรือนบรรพบุรุษของหลี่เอ้อที่ถูกเหยียบย่ำจนพัง ตอนนั้นหลี่เอ้อนั่งถอนหายใจอยู่หน้าประตู กังวลว่าตัวเองลงมือแล้วจะเป็นการทำผิดกฎจนถูกอาจารย์ลงโทษ แล้วก็จะเป็นการเพิ่มปัญหาความยุ่งยากให้กับอาจารย์ฉีและช่างหร่วน ถึงได้อดทนข่มกลั้นเอาไว้ ดังนั้นภรรยาจึงด่าฟ้าด่าดิน ด่าเขามากที่สุด สุดท้ายยังเดือดร้อนให้คนในครอบครัวของหลี่เอ้อต้องไปขออาศัยที่บ้านเดิมของภรรยาช่วงเวลาหนึ่ง ต้องทนอัดอั้นได้รับความไม่เป็นธรรมมาไม่น้อย บนโต๊ะอาหาร กับข้าวที่อยู่ใกล้กับพวกหลี่เอ้อล้วนมีแต่ผัก หลี่ไหวคิดอยากจะยืนบนม้านั่งเพื่อคีบอาหารเนื้อที่ ‘อยู่ไกลสุดขอบฟ้า’ มากินสักคำก็ยังต้องฟังคำเหน็บแนมว่าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน บอกว่ามิน่าเล่าได้ยินมาว่าทุกครั้งหลี่ไหวบ้านเจ้าทำการบ้านได้คะแนนรั้งท้ายทุกที ยังจะเรียนหนังสือไปทำไมอีก หัวสมองเหมือนพ่อเหมือนแม่แบบนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเรียนหนังสือแล้วจะได้ดี ไม่สู้ลงนาทำงานแต่เนิ่นๆ ยังดีเสียกว่า วันหน้าจะได้ช่วงชิงเอางานรับจ้างระยะยาวในตระกูลใหญ่ๆ ของตรอกเถาเย่มาทำได้บ้าง…
ตอนนั้นเห็นบุตรชายเก็บตะเกียบกลับมาเงียบๆ ก้นนั่งแปะกลับลงไปบนม้านั่งยาวแต่โดยดี จิตใจของชายฉกรรจ์นิสัยซื่อสัตย์ก็แทบแหลกสลาย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบ้านญาติของตัวเอง อีกทั้งคนทั้งสี่ในครอบครัวยังต้องไปพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น จะตีก็ตีไม่ได้ จะด่าก็ด่าไม่ได้ หากหักใจทะเลาะกันรุนแรงขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายก็ยังเป็นภรรยาของตนที่ต้องลำบากใจ หลี่เอ้อจึงได้แต่อดทนเอาไว้ ยังดีที่ตอนนั้นบุตรสาวหลี่หลิ่วไม่สนใจสิ่งใด เดินตรงไปหยิบถ้วยเปล่ามาใบหนึ่ง เดินไปข้างโต๊ะของพวกท่านลุง คีบเนื้อมาเต็มถ้วยใหญ่วางไว้ข้างกายน้องชาย ถึงได้ทำให้ในใจของหลี่เอ้อรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
เผยเฉียนพยักหน้ารับเบาๆ กว่าจะสะกดกลั้นจิตสังหารในใจขุมนั้นลงไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
หากบอกว่าอาจารย์แม่คือดวงจันทร์ที่อยู่บนฟ้าในใจของอาจารย์พ่อ
ถ้าอย่างนั้นเผยเฉียนก็รู้ดีว่า สำหรับอาจารย์พ่อแล้ว อาจารย์ฉีหมายความว่าอะไร คือคนที่อาจารย์พ่อเลื่อมใสหวังจะเป็นให้ได้อย่างเขาซึ่งไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง
เผยเฉียนเคยได้เห็นสภาพจิตใจของอาจารย์พ่อสองครั้ง เพียงแต่เผยเฉียนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับใคร อันที่จริงอาจารย์พ่อรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่เคยตำหนินาง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่มะเหงกสักทีก็ยังไม่มี
สภาพจิตใจหลังกลับมาจากเดินทางไกลของเผยเฉียนครั้งนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสภาพจิตใจของอาจารย์พ่อตอนที่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับมายังบ้านเกิด ขนาดอาจารย์พ่อยังต้องไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่ขนบธรรมเนียมของผู้คนห้าวหาญ เพื่อที่จะใช้มันมาสยบมังกรที่เชิดหัวอยู่ในบ่อหัวใจ ดังนั้นเผยเฉียนที่เพิ่งจะกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วถึงต้องออกเดินทางไกลมาเยือนสนามรบของขุนเขาใต้อีกครั้ง ถึงอย่างไรอยู่บนสนามรบ ออกหมัดก็ไม่ต้องสนใจมากนักว่าถูกหรือผิด ไม่มีข้อพิถีพิถันเรื่องหนักเบา เป็นตายอะไร ยิ่งออกหมัดหนักเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น ศัตรูตายข้ามีชีวิตอยู่รอด เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างมาก
บนสนามรบเกราะทองทวีป เผยเฉียนยิ่งเข้าใจคำกล่าวที่ว่า ‘เบื้องหน้าไร้ผู้คน’ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริงก็มีอยู่แค่สองสถานการณ์เท่านั้น หนึ่งคือเรียนวิชาหมัดต้องใจกล้า ต่อให้ศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่ตรงหน้าเจ้าก็ยังกล้าออกหมัดใส่ทุกคน เป็นเหตุให้เบื้องหน้าไร้ศัตรู นี่คือความองอาจกล้าหาญที่คนฝึกวรยุทธสมควรมี นอกจากนี้ก็คือเรียนวรยุทธฝึกหมัดต้องปฏิบัติให้ได้จริง ต้องทนความยากลำบากได้ สุดท้ายปล่อยหนึ่งหมัด หลายหมัด ร้อยหมัดออกไป เบื้องหน้าไร้ศัตรู เพราะทุกคนล้วนตายสิ้น ก็ยิ่งสมกับคำว่าเบื้องหน้าไร้ผู้คน
เผยเฉียนรวมเสียงให้เป็นเส้น ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ผู้ถวายงานปกป้องภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงตัวนี้ ขอบเขตสูงมาก หมัดก็แข็งมากด้วยหรือ?”
มองดูไม่เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นเลยนะ เมื่อก่อนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนเคยอาศัยข่าวเล็กๆ น้อยๆ บนภูเขาและในรายงานขุนเขาสายน้ำของฝ่ายต่างๆ ก็ยังรู้แค่ว่าวานรเฒ่าตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องความพยศยากกำราบ ในสายตามองไม่เห็นใคร อยู่บนภูเขาตะวันเที่ยงที่มีวิถีกระบี่สิบเส้นเซียนกระบี่สิบท่านก็ยังไม่ถูกพันธนาการ และดูเหมือนว่าจะอยากกลายเป็นเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนตนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปมาโดยตลอดด้วย? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังไม่เป็นห้าขอบเขตบน แล้วเหตุใดถึงได้ผยองพองขนนัก ราวกับว่าตัวเองเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์แล้วอย่างไรอย่างนั้น? หรือว่าไปเรียนรู้การก้าวเดินอย่างกำเริบเสิบสานของหมี่ลี่น้อยบ้านตนมา?
เพียงแต่พอคิดถึงช่วงเวลาที่อาจารย์พ่อและอาจารย์แม่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ต้องร่วมมือกันรับมือกับสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ อันที่จริงเผยเฉียนก็อดหวาดกลัวอยู่นิดๆ ไม่ได้ แม้ว่าออกหมัดจะไม่เลอะเลือน ไม่มีอุปสรรคใดขัดขวางปณิธานหมัดยอดเขาของนางได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน
หลี่เอ้อยิ้มเอ่ย “บังเอิญนัก ปีนั้นยังสามารถอาศัยข้อได้เปรียบด้านเรือนกายประลองฝีมือกับซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองไปสองสามหมัด เจ้าอย่าได้ดูแคลนมากเกินไปก็พอ ปณิธานหมัดต้องสูงเหนือแผ่นฟ้า กระบวนท่าหมัดต้องใหญ่เหนือแผ่นดิน วิชาหมัดต้องมีจิตใจที่นิ่งสงบ สามอย่างรวมกันจึงกลายเป็นสัจธรรมแห่งหมัด แต่นี่เป็นสิ่งที่เจิ้งต้าเฟิงพูด อาหลี่พูดหลักการเหตุผลพวกนี้ไม่เป็นหรอก”
เผยเฉียนพยักหน้า “สัจธรรมหมัดของท่านอาหลี่ล้วนอยู่บนหมัดหมดแล้ว ปากเจิ้งต้าเฟิงมีหลักการเหตุผลมากกว่าก็จริง เพียงแต่หมัดกลับไม่ดีเท่าของท่านอาหลี่ อาจารย์พ่อเคยพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ถึงแม้ท่านอาหลี่จะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่กลับมีหลักการเหตุผลนอกตำราที่ยิ่งใหญ่มาก อีกทั้งสายตาของท่านอาหลี่ก็ยังดียิ่งกว่า เพราะปีนั้นท่านอาหลี่เป็นคนแรกที่มองออกว่าอาจารย์พ่อของข้ามีคุณสมบัติในการฝึกวรยุทธ แล้วยังคิดจะมอบข้องราชามังกรหนึ่งใบกับปลาหลีสีทองหนึ่งตัวให้อาจารย์พ่อของข้าด้วย อาจารย์พ่อบอกว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นตัวเองโชคไม่ดี ไม่สามารถรับสิ่งที่ท่าอาหลี่มอบให้ได้ แต่อาจารย์พ่อรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจเสมอ”
เมื่อเผยเฉียนพูดถึงอาจารย์พ่อของตน สีหน้าก็จะอ่อนโยนลงหลายส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ สภาพจิตใจก็มีแนวโน้มว่าจะนิ่งสงบ
หลี่เอ้อยิ้มกว้างหัวเราะอย่างซื่อๆ ไม่ได้เรียกว่าแววตาดีหรือไม่ดีอะไรหรอก ปีนั้นก็แค่เห็นเด็กหนุ่มรองเท้าสานแล้วถูกชะตาที่สุดเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรตนก็เห็นอีกฝ่ายเติบโตมา ตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นเด็กยังมาที่ร้านยาตระกูลหยางบ่อยๆ อันที่จริงหลี่เอ้อล้วนเห็นอยู่ในสายตา บางครั้งหยางเหล่าโถวจะให้หลี่เอ้อช่วยดูสมุนไพรบนภูเขาที่เด็กชายไปเก็บมา ก็เหมือนอย่างที่เผยเฉียนพูด หลี่เอ้อคือคนแรกสุดในถ้ำสวรรค์หลีจูที่เห็นดีในตัวเฉินผิงอัน และในความเป็นจริงแล้วหลี่เอ้อเองก็มีความประทับใจที่ดีมากต่อเผยเฉียนที่เป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาของเฉินผิงอันเช่นกัน แม่นางน้อยรักและเคารพครูบาอาจารย์ เรียนวิชาหมัดทนความยากลำบากได้ ฝึกวรยุทธจนเริ่มประสบความสำเร็จ ยิ่งนานวันวิชาหมัดก็ยิ่งสูง แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งไม่ยอมออกหมัดง่ายๆ เหมือนใคร? ก็เหมือนเขาหลี่เอ้อไงล่ะ
หวังฟู่ซู่บ่น “พวกเจ้าสองคนพึมพำอะไรกัน? แม่หนูเจิ้ง เจ้าเห็นข้าเป็นคนนอกหรือ?”
เผยเฉียนหัวเราะ
หวังฟู่ซู่ถาม “แม่หนูเจิ้ง ไม่ลองพิจารณาเรื่องเปลี่ยนสำนัก มาติดตามข้าฝึกวิชาหมัดดูอีกทีจริงๆ หรือ? เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า วันหน้าเจ้าก็จะต้องได้กลายเป็นเทพีแห่งการต่อสู้ของอุตรกุรุทวีปอย่างแน่นอน”
เผยเฉียนส่ายหน้า ปฏิเสธความหวังดีของผู้ฝึกยุทธเฒ่าอย่างละมุนละม่อมอีกครั้ง “ผู้ฝึกยุทธอย่างเราๆ เส้นทางการเรียนวิชาหมัด ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ไม่แสวงหาชื่อเสียงจอมปลอม”
หวังฟู่ซู่อึ้งตะลึง เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “หลักการเหตุผลผายลมสุนัขที่อาจารย์พ่อของเจ้าสอนมาหรือไร?”
หากเป็นเผยเฉียนยามเยาว์ แค่คำพูดพล่อยๆ ประโยคเดียวนี้ ป่านนี้บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหวังฟู่ซู่คงถูกนางขุดมาด่าในใจไปรอบหนึ่งแล้ว ทว่าเผยเฉียนในตอนนี้กลับเอ่ยด้วยจิตใจที่สงบนิ่งว่า “ผู้อาวุโสหวัง อาจารย์พ่อเคยบอกว่า ข้าในวันนี้เหนือกว่าข้าเมื่อวาน ข้าในวันพรุ่งนี้เหนือกว่าข้าในวันนี้ นี่ก็คือความสำเร็จของการฝึกหมัดอย่างแท้จริง ในใจต้องมีการงัดข้อกับตัวเองเช่นนี้ก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติไปงัดข้อกับคนนอก กับฟ้าดินได้”
หวังฟู่ซู่ร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะพยักหน้ารับ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ฟังแล้วก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ หรือว่าอาจารย์พ่อเจ้าคือบัณฑิต? ไม่อย่างนั้นจะพูดจาสุภาพมีความรู้แบบนี้ออกมาได้หรือ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “อาจารย์พ่อของข้าย่อมต้องเป็นบัณฑิตอยู่แล้ว”
หวังฟู่ซู่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย หลายวันมานี้พูดหลอกล่อให้เจิ้งเฉียนมาเป็นลูกศิษย์ของตนไปไม่น้อย น่าเสียดายที่แม่นางน้อยไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
แม่หนูที่ชื่อเจิ้งเฉียนคนนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ไม่ได้พูดถึงประวัติความเป็นมาของวิชาหมัดนาง แต่นางกลับเป็นสตรีคลั่งไคล้วรยุทธที่ราวกับถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างไรอย่างนั้น ทุกเวลานาทีล้วนต้องฝึกหมัด พอมาเจอกับหลี่เอ้อก็เป็นฝ่ายขอยันต์ตระกูลเซียนที่ประหลาดอย่างถึงที่สุดจากผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางยอดเขาสิงโตผู้นี้ มองดูเหมือนเป็นยันต์เบาๆ แผ่นหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับมีน้ำหนักมากนัก ถูกเผยเฉียนเอาไปแปะไว้บนข้อมือและข้อเท้าสี่ข้าง เพื่อใช้กดกำราบปณิธานหมัดบนร่างตัวเอง หวังขัดเกลาเรือนกาย ดังนั้นหากมองเผยเฉียนปราดๆ ก็จะเหมือนผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่ฝึกวิชาหมัดแต่ยังไม่เจอกับวิสุทธิจารย์ เป็นเหตุใด้การเดินนิ่งเดินผิดท่าผิดทาง หวังฟู่ซู่สนใจยันต์นั้นมาก เพียงแต่เจ้าหลี่เอ้อผู้นี้นิสัยไม่ค่อยดี บอกว่าจ่ายเงินก็ซื้อหาไม่ได้ แต่สามารถมอบให้เปล่าๆ ได้ เงื่อนไขก็คือต้องชนะหมัดของเขาหลี่เอ้อเสียก่อน ชนะแล้ว อย่าว่าแต่สี่แผ่น สี่สิบแผ่นก็ยังไม่มีปัญหา
พอหวังฟู่ซู่คิดถึงการถามหมัดที่ไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์ในอาณาเขตของยอดเขาสิงโตคราวนั้นก็พลันปวดหัวแปลบ ช่างมันเถอะ หมัดกลัวคนหนุ่มแข็งแกร่ง คนหนุ่มแน่นคนหนึ่งปล่อยหมัดสะเปะสะปะต่อยให้อาจารย์ผู้เฒ่าตาย จะถือเป็นความสามารถได้อย่างไร ข้าผู้อาวุโสใจกว้าง ยอมให้ผู้เยาว์ทำตัวโอหังได้ ไม่ถือสาคนอายุน้อยอย่างเจ้าหลี่เอ้อที่ทั้งเรือนกายและจิตวิญญาณล้วนอยู่บนยอดเขาสูงสุดหรอก ไม่อย่างนั้นหากข้าผู้อาวุโสหนุ่มกว่านี้สักร้อยสองร้อยปี เจอหมัดเจ้าสิบกว่าหมัดแล้วค่อยล้มลุกไม่ขึ้น ก็ยังถือว่าสบายๆ
หวังฟู่ซู่ถาม “อาจารย์พ่อของเจ้าอายุเท่าไร?”
เผยเฉียนตอบอย่างจริงใจ “อายุมากกว่าข้า อายุน้อยกว่าท่านอาหลี่และผู้อาวุโสหวัง”
หวังฟู่ซู่ตกตะลึงอย่างมาก อดไม่ไหวถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเขาก็เชี่ยวชาญในการกดขอบเขตป้อนหมัดสินะ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “แน่นอน!”
หวังฟู่ซู่ถามหลี่เอ้อ “แจกันสมบัติทวีปมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่อายุน้อยแบบนี้อยู่จริงหรือ? ทำไมถึงไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด? แม้แต่ธวัลทวีปก็ยังมีน้องหญิงอาเซียงนะ ชื่อเสียงของเขาถึงกับลอยมาเข้าหูข้า แจกันสมบัติทวีปอยู่ใกล้อุตรกุรุทวีปขนาดนี้ ชื่อเสียงก็ควรจะเลื่องลือไปทั้งสองทวีปนานแล้วถึงจะถูก”
หลี่เอ้อตอบอย่างไม่เกรงใจ “ไม่สนิทกับเจ้า ไปถามคนอื่นโน่น”
หวังฟู่ซู่ผู้เฒ่าที่ขึ้นชื่อเรื่องความบ้าบิ่นโมโหปรี๊ดทันใด ถูหมัดเอ่ย “หลี่เอ้อ อยากโดนซ้อมสักรอบหรือไร?”
หลี่เอ้อกล่าว “จากนั้นสามห้าหมัดก็นอนกองกับพื้น ร้องครวญครางแกล้งตาย?”
หลี่เอ้อคุยไม่เก่งจริงๆ แต่เรื่องรื้อถอนศาลบรรพจารย์กลับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
หวังฟู่ซู่กลับไม่ถือสาหากจะต้องถามหมัดกับหลี่เอ้อ เพียงแต่ตอนนี้ข้างกายยังมีเจิ้งเฉียนอยู่ด้วย จึงยอมปล่อยหลี่เอ้อไปก่อนชั่วคราว
เผยเฉียนใช้หางตาชำเลืองมองวานรชุดขาวแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะอารมณ์เสียอย่างมาก? ดีเลย ถ้าอย่างนั้นข้าก็อารมณ์ไม่เลวแล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงที่มีเซียนกระบี่มากดุจก้อนเมฆใช่ไหม รอไปก่อนเถอะ
หวังฟู่ซู่เอ่ยอย่างเสียดาย “น่าเสียดายที่เซียนกระบี่สหายร่วมดื่มสุราของพวกเราคนนั้นไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่นครมังกรเฒ่าก็คงจะเห็นได้ชัดเจนกว่านี้ ผู้ฝึกยุทธก็มีข้อนี้นี่แหละที่ไม่ค่อยดี ไม่มีวิชาคาถาวุ่นวายซับซ้อนพวกนั้นติดตัว”
ทางฝั่งของภูเขาทายาทแห่งนี้ สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธมองเห็นได้อย่างชัดเจนมีเพียงภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นบนสนามรบเบื้องหน้าขุนเขาใต้เท่านั้น