กระบี่จงมา - ตอนที่ 329.2 คนในภาพวาด
เฉินผิงอันที่อยู่อีกห้องเขียน ‘บันทึกท่องเที่ยวพื้นที่มงคลดอกบัว’ อัดแน่นเต็มแผ่นไม้ไผ่ถึงสามแผ่น เป่าไฟดับตะเกียงแล้วก็เริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าว ร่วมกับท่ามือจับกระบี่หลากหลายรูปแบบในคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง ยังคงเป็นท่าจับเสมือนจริง
ก้าวเดินเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ ปณิธานหมัดและจิตวิญญาณแห่งหมัดล้วนถูกเก็บไว้ภายในทั้งหมด เมื่อเทียบกับตอนเฉินผิงอันปล่อยหมัดตรงริมลำคลองหลงซวีที่ปณิธานหมัดไหลรินไปทั่วร่างแล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว
ทุกวันนี้เวลาเฉินผิงอันฝึกหมัดสามารถแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นได้แล้ว
ตามคำบอกในตำราหมัดเขย่าภูเขา หลังจากเดินนิ่งกับยืนนิ่งแล้ว อันที่จริงยังมี ‘เชียนชิว’ นอนนิ่งอีก เฉินผิงอันรู้หลักและกระบวนท่าของมันมานานแล้ว และหลังจากที่เขาเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็ไม่คิดว่าการฝึกท่านี้เป็นเรื่องยากอีกต่อไป ประเด็นสำคัญคือแก่นของนอนนิ่งดันไปอยู่ที่คำกล่าวสี่ประโยคว่า ‘นอนหลับเหมือนตาย’ ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณของคนเป็นดั่งน้ำตายในบ่อ ถือเป็นการฝึกตนอย่างเต็มที่ แต่เฉินผิงอันออกจากบ้านมาสองครั้ง แต่ละครั้งล้วนเดินทางไกลยิ่งกว่าเก่า เฉินผิงอันไม่กล้านอนหลับสนิทเกินไปนัก ดังนั้นการฝึกท่านี้จึงถูกถ่วงรั้งเอาไว้ตลอดเวลา ต้องรอให้กลับไปถึงหลงเฉวียนก่อนค่อยว่ากันอีกที
ครั้งนี้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างฉุกละหุกเกินไป
หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็จะต้องพยายามรวบรวมวิชายุทธ์ชั้นสูงของใต้หล้าแห่งนั้นมาให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูแล้ว เส้นทางการเรียนวรยุทธ์ของติงอิงไม่ได้ผิดเลย เขาได้ยืนอยู่บนยอดเขาของกลุ่มภูเขาอย่างแท้จริง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งการเรียนวรยุทธ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว คิดจะเดินไปให้ถึงก้าวนั้น นอกจากต้องตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังจำเป็นต้องมองทัศนียภาพของยอดเขาแห่งอื่นที่เตี้ยกว่าแล้วเอามาเปรียบเทียบกัน ชดเชยส่วนที่ขาดหาย สุดท้ายกลายมาเป็นปณิธานหมัดของตัวเอง นั่นต่างหากถึงจะเป็นหมัดสูงนอกฟ้าอย่างแท้จริง
นี่ก็คล้ายคลึงกับการเรียนหนังสือและหลักการเหตุผลไม่ใช่หรือ?
แล้วก็มีส่วนที่เหมือนกับการสร้างสะพานซึ่งเขียนระบุไว้ในตำราของที่ว่าการกรมโยธา
โดยไม่ทันรู้ตัว ขอบฟ้านอกหน้าต่างก็เริ่มปรากฏเป็นสีขาวเหมือนสีพุงปลาแล้ว
ทุกวันนี้ต่อให้ฝึกหมัดตลอดทั้งคืน เฉินผิงอันก็ไม่เคยมีเหงื่อออก เกรงว่านี่คงเป็นความสะดวกสบายหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตห้าเพราะการบำรุงจิตวิญญาณประสบความสำเร็จแล้ว แต่ในเมื่อเขาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่อยู่บนกาย จะมีเหงื่อออกหรือไม่ก็ไม่ได้มีผลอะไร
ตอนที่เฉินผิงอันฝึกหมัด คนจิ๋วดอกบัวที่หายดีแล้วนั่งหลับอยู่ตรงขอบโต๊ะ พอออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะมีเรื่องในใจให้ครุ่นคิด
เฉินผิงอันหยุดฝึก นั่งลงข้างโต๊ะ ศีรษะของเจ้าตัวน้อยห้อยลู่ลง
เฉินผิงอันลูบศีรษะของมันพลางคลี่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร เรื่องการปลอบใจคนไม่ใช่เรื่องที่เขาเฉินผิงอันถนัดเลยจริงๆ
เขาหยิบม้วนภาพวาดทั้งสี่ออกมาอีกครั้ง วางบนโต๊ะ เริ่มครุ่นคิดว่าควรจะ ‘วางเดิมพัน’ ดีหรือไม่
ในอดีตเฉินผิงอันกลัวเรื่องของโชคลาภเหมือนกลัวเสือ
ตอนนี้ปมในใจคลายลงไปได้ไม่น้อย อันที่จริงหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแตกแล้วร่วงลงมา โดยเฉพาะเมื่อถูกเจ้าลัทธิลู่เฉินเล่นงานไปครั้งหนึ่งโดยการผูกเขาเข้ากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ การเดินทางไปเยือนต้าสุยของเขาจึงราบรื่น โชคดีอย่างถึงที่สุด ภายหลังเมื่อแยกทางกันเดินกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงบนเรือคุน ด้านโชคลาภของเขาก็ยังถือว่าไม่เลว
อีกอย่างตอนนี้เขาเฉินผิงอันก็มีทรัพย์สมบัติไม่น้อยแล้ว ไม่พูดถึงผลกำไรมหาศาลตอนที่เดินทางร่วมกับลู่ไถ พูดถึงแค่เทพหยินซึ่งอยู่เคียงข้างเจิ้งต้าเฟิงในนครมังกรเฒ่าตนนั้นที่ยอมจ่ายเงินฝนธัญพืชถึงสิบเหรียญเต็ม เพื่อขอซื้อแผ่นไม้ไผ่เฟิ่นหย่งเล็กๆ แผ่นหนึ่งไปจากเขา ดูเหมือนว่าเพราะอยากซื้อประโยคบนแผ่นไม้ที่ว่า ‘เทพเซียนมีความต่าง หยินหยางแยกห่าง วิญญาณทำให้ใจสงบ จิตสร้างร่างทอง’”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่คาดหวังว่าจะสามารถเลี้ยงให้ภาพวาดสี่ภาพนี้กลับมา ‘มีชีวิต’ ได้ทั้งหมดในคราวเดียว เลือกภาพหนึ่งในนั้นมาเหมือนเป็นการเดิมพันเล็กๆ น่าจะมั่นคงกว่า
สถานการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นแล้ว เฉินผิงอันต้องการผู้ช่วยให้ช่วยดูแลครอบครัวและกิจการของเขาจริงๆ
ผู้เฒ่าแซ่ชุย เฉินผิงอันไม่กล้าคาดหวัง คนหนึ่งสอนวิชาหมัด อีกคนก็แค่เรียนวิชาหมัดเท่านั้น จะหวังอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
ส่วนเว่ยป้อถึงอย่างไรก็เป็นทวยเทพแห่งขุนเขาใหญ่ มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตัวเอง
เจ้าตัวน้อยสองคนอย่างเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตบะยังตื้นเขิน อีกทั้งเฉินผิงอันปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนที่ชายคนโตที่ปฏิบัติต่อน้องเล็กสองคนมากกว่า นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจตามธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ หากเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปเสี่ยงอันตราย มีแต่จะบอกให้พวกเขาอยู่ห่างๆ เข้าไว้
สำหรับคนสี่คนในภาพวาด เฉินผิงอันกลับไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้น
ส่วนหลังจากที่ทำความรู้จักกันแล้ว ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ต้องรอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันอีกที
ภาพวาดสี่ภาพ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะเลือกใคร แต่แน่ใจมากว่าคนแรกที่เขาจะไม่เลือกก็คือภาพวาดของสุยโย่วเปียน
หากหลังจากนี้หนิงเหยารู้เรื่องที่ว่ามีผู้หญิงเดินออกจากภาพวาดมาอยู่ข้างกายตน อีกทั้งตนยังต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชไปไม่น้อย แบบนั้นเขาจะทำอย่างไร?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเอาภาพวาดนี้ใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ก่อนภาพอื่น
จากนั้นก็เก็บภาพของหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้เปิดภูเขาของลัทธิมารใส่ตามไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกพยศยากจะกำราบ อีกทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกองกำลังในท้องถิ่นของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ใหญ่ที่สุด หลังจากเฉินผิงอันเชื้อเชิญอีกฝ่ายออกมาได้อย่างยากลำบากแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นพวกมารร้ายโหดเหี้ยมอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ มองข้ามหลักจริยธรรม ทรยศเนรคุณ แบบนั้นเขาจะยังต้องหาวิธีจับอีกฝ่ายกลับไปขังไว้ในภาพวาดอีกหรือ?
ไม่มีเหตุผลใดในใต้หล้าที่บอกให้คนไม่เห็นค่าของเงินถึงขนาดนี้
เงินฝนธัญพืชไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ว่า ต่อให้เป็นเงินเกล็ดหิมะก็ไม่ได้เหมือนกัน
เก็บม้วนภาพที่สองไปแล้วก็เหลืออยู่แค่บรรพบุรุษของเว่ยเหลียงและจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์ที่มองดูเหมือนมีเมตตาปราณี ฝ่ายหลังเคยเป็นเจ้าของกวานดอกบัวสีเงิน นี่ทำให้ในใจเฉินผิงอันเต้นระทึกเล็กน้อย การต่อสู้กับติงอิง เขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ภูเขากู่หนิว นั่นคือศึกที่อันตรายที่สุดในชีวิตของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันจ้องมองภาพสองภาพอย่างลังเลใจ
คนจิ๋วดอกบัวขยับมานั่งอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันเงียบๆ แล้วก็มองประเมินภาพทั้งสองอย่างตั้งใจไม่ต่างกัน
เฉินผิงอันตัดสินใจไม่ได้จึงถามมันด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าถูกชะตากับใครมากกว่า?”
คนจิ๋วดอกบัวหันหน้ากลับมา เจ้าตัวน้อยที่มีแค่แขนเดียวชี้ไปที่ภาพวาด จากนั้นก็ชี้มาที่ตัวเองคล้ายกำลังถามเฉินผิงอันว่าต้องการให้มันเป็นคนเลือกจริงๆ หรือ?
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ
เจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนว่องไว ขยับเดินไปตามริมขอบของภาพวาดทั้งสอง เบิกตากว้าง วิ่งไปวิ่งมา แถมยังฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะเพื่อมองคนที่อยู่ในภาพวาด จริงจังและน่ารักอย่างมาก
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่อารมณ์ดี
สุดท้ายเจ้าตัวน้อยนั่งลงบนพื้น ชี้ไปยังภาพวาดของเว่ยเซี่ยนที่อยู่ข้างกาย
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “ถ้าอย่างนั้นก็เลือกเขานี่แหละ”
หลังจากเจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนก็รีบวิ่งไปที่ขอบโต๊ะ กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย คงกลัวว่าตัวเองจะเลือกผิดไป
“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ต้องเลือกอยู่แล้ว เลือกผิดก็ไม่เป็นไร” เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาจี้ใต้รักแร้ของมัน เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคัก
เฉินผิงอันหยิบเงินฝนธัญพืชออกมาหนึ่งเหรียญ คีบไว้ด้วยสองนิ้ว ก่อนจะวางลงบนภาพวาดของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนเบาๆ เมื่อเงินฝนธัญพืชสัมผัสกับภาพวาดก็หลอมละลายเหมือนหิมะทันที บนพื้นผิวของภาพวาดมีปราณวิญญาณชั้นหนึ่งที่มาจากเงินฝนธัญพืชแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว ไอหมอกขมุกขมัวเหมือนไอน้ำเหนือทะเลสาบ จากนั้นก็พลันกระเพื่อมแผ่ออกไปสี่ทิศ เฉินผิงอันมองไปทางภาพเหมือนของเว่ยเซี่ยนที่ดูมี ‘ชีวิตชีวา’ เพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะบนชุดคลุมมังกรหรูหราที่ถักทอขึ้นอย่างประณีตที่มีแสงสีทองกะพริบเปล่งประกาย
น่าเสียดายก็แต่เขามองสายสนกลในมากกว่านั้นไม่ออก จะต้องใช้เงินฝนธัญพืชมากน้อยแค่ไหนก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะโยนเงินฝนธัญพืชเข้าไปในภาพวาดสิบเหรียญ หากยังไม่มีสัญญาณที่แน่ชัดก็ถือซะว่าปาหินให้กระดอนไปบนน้ำ (เปรียบเปรยว่าเสียเงินไปเปล่าๆ โดยไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ)
เก็บม้วนภาพวาดไปอย่างระมัดระวัง เฉินผิงอันก็ห้อยชือซินและหยุดหิมะไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย สะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้าย ออกจากห้องแล้วตะโกนเรียกเผยเฉียนที่อยู่ห้องติดกันให้ออกเดินทางต่อ
เคาะประตูอยู่นานกว่าเด็กหญิงจะเดินอืดอาดออกมาเปิดประตูอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำสีหน้าไม่ใคร่จะเต็มใจสักเท่าไหร่
หลังจากนางจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย เห็นนางเดินมาหาตน เฉินผิงอันก็ชี้ไปที่เตียง
เผยเฉียนทำหน้างงงัน
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “เก็บให้เรียบร้อยก่อนค่อยไป”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “พวกเราจ่ายเงินถึงจะค้างแรมที่จุดพักม้าได้ เจ้าจ่ายเงินไปตั้งมากนะ”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา
เผยเฉียนจึงได้แต่หมุนตัวกลับไปพับผ้าห่มให้เรียบร้อย
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะแล้วขมวดคิ้ว
หลังจากนั้นก็โดยสารรถม้าขึ้นเหนือ สารถีคุ้นเคยกับเส้นทางดี จึงกะเวลาให้แขกทั้งสองคนเข้าพักในจุดพักม้าหรือไม่ก็ในโรงเตี๊ยมตามเมืองต่างๆ ได้อย่างพอดิบพอดี พวกเฉินผิงอันจึงไม่มีโอกาสได้นอนกลางดินกินกลางทราย
เฉินผิงอันเริ่มสอนภาษากลาง รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีคร่าวๆ ของแจกันสมบัติทวีปและราชวงศ์ต้าหลีให้กับเผยเฉียน จากนั้นก็เอาตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่ซื้อจากร้านหนังสือในตรอกจ้วงหยวนมาสอนให้นางรู้จักตัวอักษร ขณะเดียวกันที่ช่วยสอนให้นางรู้จักตัวอักษร ยังใช้ภาษาทางการและภาษากลางในการสอนไปพร้อมกันด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าใดนัก แม้จะรู้จักตัวอักษรร้อยกว่าตัวแล้วก็ตาม แค่มองก็รู้ว่านางไม่ใช่คนชอบเรียนหนังสือ เห็นได้ชัดว่านางชอบนอนหลับอยู่ในห้องโดยสารมากกว่า ต่อให้นางจะไม่ทำอะไรสักอย่าง เฉินผิงอันก็ไม่สนใจนาง ปล่อยให้นางนอน นางก็นอนได้เกินครึ่งวัน พอตื่นขึ้นมาก็จะเลิกผ้าม่านขึ้นมองทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ดูจบก็นอนหลับต่อ นับว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ตลอดทางมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา
เดินทางกันไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดรถม้าก็ไปถึงเขตการปกครองชายแดนเป่ยจิ้น หลังจากจ่ายค่าเดินทางอีกครึ่งที่เหลือเรียบร้อย เฉินผิงอันก็เริ่มพาเผยเฉียนออกเดิน
เนื่องจากอากาศเปลี่ยนมาเป็นเย็นมากขึ้น อีกทั้งยังมีฝนตกบ่อยๆ เฉินผิงอันจึงซื้อชุดที่หนาหนึ่งชุดและรองเท้าคู่ใหม่ให้นางหนึ่งคู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้มอบให้นางทันที นางจึงได้แต่มองห่อสัมภาระที่เฉินผิงอันสะพายตาปริบๆ ถึงขั้นขอเขามาสะพายเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ประตูเมืองทั่วไปในเขตเป่ยจิ้นไม่เข้มงวดนัก แค่สารถีจ่ายเงินเล็กน้อย เผยเฉียนที่ไม่มีทั้งทะเบียนบ้านและเอกสารผ่านทางก็สามารถเข้าเมืองไปได้อย่างราบรื่น แต่ด่านชายแดนนั้นไม่เหมือนกัน เฉินผิงอันจึงเริ่มพานางเดินขึ้นเขาลงห้วย เมื่อเทียบเผยเฉียนกับหลี่เป่าผิงที่ทนรับกับความยากลำบากได้แล้ว คนหนึ่งคือฟ้า คนหนึ่งคือดิน ต่อให้เฉินผิงอันจะคอยสังเกตกำลังเท้าของนางอย่างรอบคอบ นางก็ยังร้องโอดครวญไม่หยุด คอยบีบน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาเฉินผิงอันที่ต่อให้นิสัยดีแค่ไหนก็อดรำคาญไม่ได้
แต่พอได้เปลี่ยนชุดใหม่และรองเท้าใหม่ เผยเฉียนก็ทำตัวดีอยู่หลายวัน ทว่าเนื่องจากนางไม่เคยรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าของสิ่งของ เพียงไม่นานชุดใหม่ก็โดนกิ่งไม้กิ่งหนามบนทางเล็กๆ บนภูเขาเกี่ยวขาดเป็นรูจำนวนมาก อาการเก่าของนางจึงกำเริบอีกครั้ง หลังจากเฉินผิงอันรับปากว่าพอลงเขาเข้าเมืองแล้วจะซื้อชุดให้นางใหม่อีกชุด นางถึงได้มีพละกำลังขึ้นมา เพียงแต่ว่าเส้นชายแดนของแคว้นเป่ยจิ้นยาวไกล เส้นทางบนภูเขาเดินยาก เผยเฉียนทำหน้าดำตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกวันที่ถูกเฉินผิงอันเรียกร้องให้ใช้กิ่งไม้หัดเขียนตัวอักษรลงบนพื้น นางจะต้องจงใจเขียนให้บิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน บอกให้นางเขียนหนึ่งร้อยคำ นางไม่มีทางเขียนเกินมาแม้แต่คำเดียวแน่นอน
ช่วงเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันใช้เงินฝนธัญพืช ‘ป้อน’ ไปอีกสามเหรียญ
เพราะว่าตอนนี้เฉินผิงอันเดินทางก็เท่ากับฝึกหมัด ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนเป็นการหล่อหลอมร่างกาย ดังนั้นจึงมองดูเหมือนเฉินผิงอันทุ่มพละกำลังไว้ที่ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูทั้งหมด
มีเพียงตอนที่เฉินผิงอันฝึกท่าเจี้ยนหลูเท่านั้น เผยเฉียนถึงมีเรี่ยวแรง แต่ไม่กล้าเข้าใกล้เฉินผิงอัน นางไปยืนห่างอยู่ไกลมาก มองเขาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่กระดุกกระดิกเหมือนท่อนไม้ นานวันเข้าเผยเฉียนก็รู้สึกเบื่อหน่าย
คืนนี้เฉินผิงอันพานางพักนอนในป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง คราวก่อนตอนที่อยู่ในเขตปกครองของชายแดน นอกจากจะซื้อกระโจมหนังวัวขนาดเล็กให้เผยเฉียนโดยเฉพาะแล้ว เฉินผิงอันยังซื้อตะขอและเส้นเอ็นตกปลา ตัวเองหากิ่งไผ่บางๆ บนภูเขามาทำเป็นคันเบ็ด จากนั้นก็เริ่มตกปลายามดึกอยู่ริมลำธาร
กลางดึก เฉินผิงอันหันหน้ามองไปเห็นว่ากลางป่าลึกที่ห่างไกลมีแสงสีแดงเปล่งวูบวาบ
และไม่นานภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่งก็เกิดขึ้น
เขาเห็นเกี้ยวใหญ่แปดคนหามแขวนโคมสีแดงขนาดใหญ่ไว้สี่มุม คนหามเกี้ยวคล้ายจะเป็นภูตประหลาดที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในป่าเขา ส่วนคนที่ทำหน้าที่ตีกลองตีฆ้องกลับเป็นวัตถุหยินกลุ่มหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าคือโครงกระดูกขาวที่ตรงเอวพกกระบี่ขึ้นสนิม
ข้างเกี้ยวยังมีหญิงชราแต่งกายฉูดฉาดอยู่อีกหนึ่งคน นางสวมชุดสีแดงสดที่แสดงถึงความมงคล แต่งหน้าหนาเตอะ สองแก้มแดงแป๊ด ทว่าสีหน้ากลับซีดขาว อีกทั้งรอบกายนางยังมีควันดำหลายกลุ่มรุมล้อม
ตอนนี้เฉินผิงอันคุ้นเคยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูเขาแล้ว จึงรู้ว่านี่น่าจะเป็นการสู่ขอภรรยาของเทพภูเขา
เขาไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะตื่นมาในเวลานี้ นางมุดออกจากกระโจมหนังวัว ขยี้ตามองขบวนรับเจ้าสาวนั้นอย่างเหม่อลอย
—–