กระบี่จงมา - ตอนที่ 1002.3 สิบผู้กล้าแห่งใต้หล้า
ปฐมบรรพบุรุษของส านักการทหารถูกกักขังหรือควรจะพูดว่า ถูกเนรเทศให้ไปอยู่ใน “อิ๋งฮว่อ” รอให้ระยะเวลาหมื่นปีที่ถูกกักขัง สิ้นสุดลงอย่างอดทน มีเพียงผู้ฝึกยุทธอย่างเฉินผิงอัน เฉาสือและเผย เฉียนเท่านั้นที่ถึงจะมีโอกาสได้พบหน้าเขา เชื่อว่าหมื่นปีที่ผ่านมา ต่อให้ตัวเลือกและสถานะในตาแหน่งที่ไม่เหมือนกันบนยอดเขา ประหลาดลูกนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแต่ละยุคแต่ ละสมัยที่ได้เจอกับปฐมบรรพบุรุษของสานักการทหารท่านนี้ก็ยังคงมี จ านวนไม่มากอยู่ดี
ตอนนี้ความเสียดายอย่างใหญ่หลวงของเฉินผิงอันก็คือรู ้เรื่อง บุคคลที่เป็ นสิบผู้กล้าของใต้หล้าช ้าเกินไป หาไม่แล้วเขาจะต้องถาม เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสต่อหน้าให้ได้ว่ารู ้จักผู้นาวิถีกระบี่ที่ลึกลับคน นั้นหรือไม่
ส่วนตัวสารองสี่ท่าน หลี่เซิ่งที่เป็ นหนึ่งในนั้น สาหรับในใจของ เสี่ยวโม่และป๋ ายจิ่งแล้ว ส าหรับ “บัณฑิต ท่านนี้พวกเขาก็ยังคงเคย ชินที่จะเรียกขานว่าจอมปราชญ์น้อยมากกว่า
ป๋ ายเจ๋อ เดิมทีก็เป็ นบุคคลที่มีหวังจะกลายเป็ นผู้นาของเผ่าปีศาจ มากที่สุดอยู่แล้วอาจารย์ซานซานจิ่วโหวเป็ นผู้ริเริ่มวิถีแห่งยันต์ ไท่
ซาน” หนึ่งในห้าขุนเขาบรรพกาลก็คือหนึ่งในพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ของเขา
ผู้ฝึกกระบี่เฉินชิงตู
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้ม ทาเป็ นอมพะนาด้วยการย้อนถามก่อนว่า “นอกจากสถานะของผู้ฝึกกระบี่แล้ว เฉินอิ่นกวานยังเป็ นผู้ฝึกยุทธ ขอบเขตปลายทางที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ แล้วเจ้ารู ้เรื่องเหตุ เปลี่ยนแปลงของปฐมบรรพบุรุษของส านักการทหาร รวมไปถึงความ เกี่ยวข้องของเขากับวิถีวรยุทธหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ากล่าว “ในประวัติศาสตร ์มีการร่วมสังหารครั้ง หนึ่ง อีกทั้งปฐมบรรพบุรุษของส านักการทหารยังเป็ นผู้ฝึ กยุทธ ขอบเขตสิบเอ็ดที่อยู่ในอันดับผู้นาของฟ้ าดินด้วย น่าเสียดายก็แต่ เส้นทางที่เนื้อหนังมังสาของผู้ฝึกยุทธจะกลายเป็ นเทพ เล่าลือกันว่า เขาเดินไปได้แค่ครึ่งทาง นั่นคือไปถึงยอดเขา ซึ่งก็คือขอบเขต ปลายทางในทุกวันนี้ แต่หากเดินขึ้นไปอีกกลับมิอาจสัมผัสถึงฟ้ าได้ เสียที”
อวี๋เสวียนยิ้มเอ่ย “นอกจากหกท่านนี้แล้วยังมีหลันฉี คือผู้ฝึกตน หญิงคนหนึ่ง เป็ นบรรพจารย์ที่แท้จริงของอาจารย์หล่อหลอมในใต้ หล้า เชี่ยวชาญด้านการหล่อหลอม นางเป็ นคนสร ้างวิถีแห่งการ หลอมวัตถุบนภูเขาให้เป็ นวัตถุแห่งชะตาชีวิตขึ้นมาด้วยตัวเอง ถึงได้ ทาให้ศักยภาพของนักพรตในโลกมนุษย์เพิ่มพูน ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ ขอบเขตสิบสี่อย่างคนที่มีฉายว่า “ไท่อิน” ของใต้หล้ามืดสลัวในทุก
วันนี้ อันที่จริงนางก็คือหนึ่งในคนที่เดินไปบนเส้นทางที่ผู้ฝึกตนหญิง ผู้นี้เป็ นคนบุกเบิก อู๋โจวนั้นถือว่าเป็ นคนที่เดินได้ไกลที่สุดบนมหา มรรคาของการ “หลอมวัตถุ” ในโลกยุคหลัง นี่ไม่มีหนึ่งในอะไรแล้ว เอ๊ะ ผู้อาวุโสหลันฉีกับอู๋โจวต่างก็เป็ นสตรี คงไม่ใช่ว่าเป็ นการปกป้ อง ที่ผู้อาวุโสหลันฉีมีต่อคนร่วมเส้นทางในโลกยุคหลังหรอกกระมัง?”
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยเตือนว่า “ผู้อาวุโสอวี๋ พูดชื่อแซ่ตรงๆ ให้ น้อยหน่อยจะดีกว่านะ”
ที่แท้หลวี่เหยียนก็กาลังช่วยให้อวี๋เสวียนสลายผลกรรมที่มองไม่ เห็นจากการชักนาของ “ตัวอักษร” พวกนั้น
อวี๋เสวียนรีบก้มหัวคารวะ เอ่ยขออภัยว่า “ก าลังฮึกเหิมเลยไม่ได้
ควบคุมปากให้ดี”
เฉินผิงอันจดจาชื่อ “หลันฉี” นี้ไว้ในใจเงียบๆ แล้ว
มิน่าเล่าราชสานักล่างภูเขาของโลกยุคหลังถึงได้มีคากล่าวที่ว่า “คลังอาวุธของเชื้อพระวงศ์ห้ามทหารเข้า จัดวางไว้ที่หลันฉี” (แท่น วางอาวุธในสมัยโบราณ)
เงียบไปพักหนึ่ง อวี๋เสวียนก็กล่าวต่ออีกว่า “ในเมื่อเป็ นช่วงยุค บรรพกาล บนฟ้ ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนดินมีเซียนเจิน ก็จะต้องมีการ ปรากฏตัวของภูตผีอย่างแน่นอน ดังนั้นการปรากฏตัวของมันจึงท า ให้ในโลกมีการแบ่งโลกมนุษย์กับโลกของผี นับแต่นั้นมามืดและสว่าง ก็เดินกันคนละเส้นทาง”
“ส่วนการแบ่งระหว่างฟ้ าดิน ความต่างของเทพกับคน ในโลก มนุษย์มีควันธูปก็ต้องมีผู้ที่ดาเนินวิถีฟ้ าแทนสวรรค์ มีพ่อมดหมอผีที่ ทาหน้าที่ติดต่อกับเทพโดยเฉพาะ ภายหลังอิงจากกฎระเบียบที่ ศาลบุ๋นกาหนดไว้ก็มีขุนนางบวงสรวงจานวนมากมายซึ่งมีลิ่วจู้เป็ น หนึ่งในนั้น ยกตัวอย่างเช่นสกุลเจียงอวิ๋นหลินของแจกันสมบัติทวีป พวกเจ้า บรรพบุรุษของพวกเขาก็คือหนึ่งในต้าจู้ อีกทั้งในอดีต กาแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีการแต่งตั้งตาแหน่งจี้กวานด้วย”
อวี๋เสวียนเงยหน้ามองฟ้ า หลังจากถอนสายตากลับมาแล้วจึงมอง ไปยังกายธรรมใหญ่โตโอฬารของหลี่เซิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เอ่ยเนิบช ้า ว่า “ควันธูปหลักของสายนี้ นับตั้งแต่ที่หลี่เซิ่งตัดขาดฟ้ าดิน แน่นอน ว่าต้องสะบั้นขาดไปด้วย แต่ควันธูปสายรองบางสายที่แยกออกไปอัน ที่จริงไม่เคยถูกสะบั้นขาดอย่างสิ้นเชิง หลักการที่มีชื่อเสียงในบรรดา นั้นก็มีว่า ราชสานักล่างภูเขานอกจากจะมีขุนนางพิธีการที่รับหน้าที่ ท านายบวงสรวงแล้ว ก็ยังมีกองโหราศาสตร ์ของแคว้นต่างๆ รวมไป ถึงส านักหยินหยาง ส านักห้าธาตุของบนภูเขา”
เฉินผิงอันปิ ดประตูลงเงียบๆ รวบเอากระแสน้าขึ้นปราณ วิญญาณขุมนั้นมาไว้ใน “บ่อน้า” บ่อหนึ่งก่อนชั่วคราว
ป๋ ายจิ่งเองก็หวนกลับมาที่เดิมแล้ว เรียกได้ว่ากลับมาพร ้อมของ เก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ นางนั่งขัดสมาธิอยู่ในดวงตะวันดวงใหญ่ แบ่ง ปราณวิญญาณและกลิ่นอายแห่งมรรคาออกเป็ นสองส่วน แยกกัน หลอมรวมขึ้นมาเป็ นไข่มุกที่มีความบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด จากนั้นหยิบ
เอาถาดหยกสีขาวสองใบออกมาจากชายแขนเสื้อ ไข่มุกน้อยใหญ่ หล่นลงบนถาดหยกเสียงดังใสกังวาน ไพเราะเสนาะหูมากเป็ นพิเศษ ป๋ ายจิ่งทาเรื่องพวกนี้เสร็จก็อ้าปากห้าว ฟังจนนางง่วงแล้ว เรื่องเก่า เก็บนานปีพวกนี้มีอะไรให้น่าสนใจกัน
ย้อนนึกเรื่องราวในอดีตอย่างน่าเบื่อเช่นนี้ก็ไม่สู้มองไปข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่นสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้าในอนาคตก็จะมีนางกับเสี่ยวโม่ ฮ่าๆ งดงามยิ่งนัก และพวกเขาก็จะยิ่งได้เป็ นคู่รักเทพเซียนที่จริงแท้ แน่นอนกันแล้วด้วย
อืม เอ่ยประโยคเป็ นธรรมที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ คุณสมบัติ ในการหลอมกระบี่ของเสี่ยวโม่ด้อยกว่าตนเล็กน้อย เลื่อนเป็ นสิบผู้ กล้าน่าจะค่อนข้างลุ้นได้ยาก ถ้าอย่างนั้นก็ถอยไปเลือกอันดับรอง ให้เสียวโม่คว้าต าแหน่งตัวส ารองมาเป็ นเล่นๆ ก็แล้วกัน
หากใต้หล้าทั้งหลายมีกฎเกณฑ์เรียบง่ายอย่างใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ก็ดีน่ะสิ นางจะหาพวกคนที่ต่อสู้เก่งมาสักสามสี่คน ร่วมมือกันฟันผู้ ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่มีโอกาสจะฝ่ าทะลุขอบเขตผสานมรรคา ทั้งหลายให้เหมือนผ่าแตงหันผัก แต่ฟันเสร็จแล้วจะแย่งชิงต าแหน่ง กันอย่างไรต่อดีล่ะ?
อวี๋เสวียนใช ้ปลายหางตาเหลือบมองป๋ ายจิ่ง รู ้สึกปวดหัวเล็กน้อย เหตุใดภูเขาลั่วพั่วถึงได้มาเจอกับคนที่ฟ้ าไม่กลัวดินไม่เกรงผู้นี้ได้นะ การแย่งชิงกันข้ามฝั่งบนมหามรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอดหมื่นปี ซึ่งกาลังจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ไหนเลยจะง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด
โดยเฉพาะพวกบุคคลที่ถือว่ากาเนิดขึ้นตามโชคชะตาในใต้หล้าทุก แห่ง อย่าว่าแต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเลย เกรงว่าต่อให้เป็ นผู้ ฝึกตนขอบเขตสิบสี่อย่างอู๋โจวก็ยังไม่กล้าไปหาเรื่องง่ายๆ กลัวก็แต่ ว่าจะทาให้วิถีฟ้ าที่มองไม่เห็นรังเกียจชิงชัง อวี๋เสวียนกล่าวต่ออีกว่า “ยังมีผู้ฝึ กตนหญิงอีกคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับการตั้งใจเดินขึ้นสู่ที่สูง ของผู้ฝึกตนระดับสูงหลายคนในยุคสมัยเดียวกันแล้ว นางกลับใช ้วิธี ตรงกันข้าม ชอบไปค้นหาและเรียบเรียงตาราลับต่างๆ อยู่บนพื้นดิน ของโลกมนุษย์ รวบรวมและกลั่นกรองเอาวิชาสายฟ้ า น้าและไฟใน ใต้หล้ามา สุดท้ายนางจ าแลงออกมาเป็ นเส้นทางสิบกว่าเส้น ทุกเส้น ต่างก็ถูกโลกยุคหลังขนานนามว่าเป็ นเส้นทางในการเดินขึ้นสู่ยอดสูง ของมหามรรคา หรืออย่างต่าที่สุดก็สามารถก็เป็ นเส้นทางด้านข้างที่ สามารถเลื่อนเป็ น “เซียนดิน” บรรพกาลได้
“ส่วนผู้นาของวิถีกระบี่คนนั้น การที่ข้าผู้อาวุโสพูดถึงเขาเป็ นคน สุดท้าย จ าเป็ นต้องพูดมากหน่อย ก็เพราะว่าคนผู้นี้ประหลาดมาก ประหลาดมากเกินไป เล่าลือกันว่ากระบี่บินของคนผู้นี้มีเยอะ ระดับ ชั้นสูง คุณสมบัติดี ฝ่ าทะลุขอบเขตเร็ว อืม ยังมีอีกข้อหนึ่ง นิสัยแย่ ทุกๆ ด้านต่างก็ต้องใช ้คาว่า “ที่สุด”
“คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งบนโลกมนุษย์ ถือว่าอยู่ดีๆ ก็ โผล่มา ไร ้ชื่อเสียงรากฐานไม่แน่ชัด บวกกับที่เขามีนิสัยประหลาด แทบจะไปไหนมาไหนเพียงล าพังตลอด ว่ากันว่าไม่เคยพูดคุยกับผู้ ฝึกตนคนใดแม้แต่ครึ่งประโยค ดังนั้นเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงและการ
สืบทอดของผู้ฝึกกระบี่คนนี้จึงไม่เคยมีคากล่าวที่แน่ชัดมาโดยตลอด บ้างก็บอกว่าเขาเรียนรู ้เวทกระบี่ด้วยตัวเองอย่างเดียว แล้วก็มีที่บอก ว่าเขาโชคดีได้รับการสืบทอดสายเวทกระบี่มามากมาย คากล่าวมี มากมาย แต่ละอย่างแทบไม่ซ้ากัน”
พูดมาถึงตรงนี้ อวี๋เสวียนก็อดไม่ไหวเอ่ยสัพยอกว่า “ผู้ฝึกกระบี่ คนนี้กับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสก็เหมือนเฉาสือกับเฉินผิงอันบนเส้นทาง วรยุทธในทุกวันนี้แล้ว”
ห่างจากการโจมตีของน้าขึ้นระลอกก่อนไม่ถึงหนึ่งเค่อก็เจอกับ กระแสน้าขึ้นปราณวิญญาณครั้งที่สอง อีกทั้งครั้งนี้ยังเห็นได้ชัดว่ามี กลิ่นอายมรรคาที่สับสนวุ่นวายอยู่มากกว่าเดิม
ส่วนพลานุภาพของกระแสน้า เมื่อเทียบกับคราวก่อนแล้วก็ไม่ใช่ แค่มากกว่าเดิมเป็ นเท่าตัวเท่านั้น ฟ้ าดินนกในกรงเหมือนเรือน้อยลา หนึ่งที่ลอยอยู่กลางทะเล โยกไหวโคลงเคลง กระเด้งกระดอนไม่หยุด
ป๋ ายจิ่งแสยะปาก เดิมอยากจะพูดเย้ยหยันสักสองสามประโยค แต่ไม่นานนางก็เข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราวได้อย่างชัดเจน จี้ เจ้า ขุนเขาเฉินช่างประหยัดมัธยัสถ์เสียจริง ไม่ว่าจะเป็ นศักดิ์ศรีหน้าตา หรือชื่อเสียงจอมปลอมอะไรล้วนเป็ นดั่งก้อนเมฆที่ล่องลอยทั้งสิ้น
อวี๋เสวียนมองสบตากับหลวี่เหยียนแวบหนึ่ง ต่างฝ่ ายต่างคลี่ยิ้ม ดูท่าคงไม่จ าเป็ นต้องเปิดปากเตือนอิ่นกวานหนุ่มแล้ว
นางพลันลุกขึ้นยืน “เจ้าขุนเขา เริ่มงานได้!”
เฉินผิงอันเปิ ดประตูใหญ่ที่ลักษณะเหมือนแจกันพลางใช ้ กระแสน้าขึ้นปราณวิญญาณที่โหมชัดรุนแรงขึ้นทุกทีมาขัดเกลาคม กระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม หลังจากพอจะแน่ใจใน ขอบเขตและระดับความแรงที่น้าขึ้นกระแทกซัดใส่ฟ้ าดินเล็กได้ คร่าวๆ แล้ว เรือลาน้อยที่เดิมทีโยกขึ้นโยกลงไปพร ้อมกับฟ้ าดินนก ในกรงก็เริ่มมั่นคงขึ้นด้วย เป็ นเหตุให้ด้านนอกปราการกีดขวางฟ้ า ดินนกในกรงเกิดแสงแก้วใสที่มีเงาวูบวาบเป็ นชั้นๆ ปรากฏขึ้น นี่ก็คือ ภาพปรากฏการณ์เฉพาะที่จะมีก็ต่อเมื่อแม่น้าแห่งกาลเวลากระแทก ชนกับ “เส้นทาง” บางสาย เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ทันจะรวบรวมพวก มันมาไว้
ทันใดนั้นแสงสว่างขนาดเล็กหลายเส้นที่ยากจะจับสังเกตก็พลัน พุ่งจากความว่างเปล่านอกฟ้ ามาถึงเป็ นเส้นวงโค้ง อ้อมผ่านกาย ธรรมของหลี่เซิ่งและอาจารย์ซานซานจิ่วโหวตรงดิ่งมายังฟ้ าดินของ นกในกรง
ต้องเป็ นการลอบโจมตีของผู้ฝึกตนใหญ่บางคนของเปลี่ยวร ้าง แน่นอน
เดิมทีป๋ ายจิ่งแค่อยากจะก้มหน้าก้มตาหาเงินเท่านั้น คร ้านจะ สนใจการโจมตีที่ทาให้ได้แค่ “เจ็บๆ คันๆ” นี้ เพียงแต่ว่าเมื่อเสี่ยวโม่ มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง นางก็รีบแผดเสียงทันทีว่า “บังอาจ” แสงกระบี่กลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากประตูใหญ่ไปอย่างว่องไว แล้วไป แยกตัวออกเป็ นแสงกระบี่หลายสิบเส้นอยู่ที่นอกประตู จากนั้นก็
แยกตัวออกเป็ นเส้นสายแสงกระบี่อีกหลายร ้อยเส้นห่างออกไปหลาย พันลี้ ประเด็นสาคัญคือแสงกระบี่ทุกเส้นที่แยกตัวออกไปปราณกระบี่ และปณิธานกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ในกลุ่มแสงกระบี่กลุ่มแรกสุดถึงกับไม่ ลดน้อยลงไปแม้สักเศษเสี้ยว
ป๋ ายจิ่งยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ เวทกระบี่ “หว่านแห” นี้ของข้า
พอใช ้ได้กระมัง?”
เสี่ยวโม่เพียงแค่เพ่งสมาธิมองเวทคาถาของเปลี่ยวร ้างที่ถูกแสง กระบี่ของป๋ ายจิ่งโจมตีจนแหลกสลาย เงียบไม่พูดจา
หลังจากนั้นก็มีเวทคาถาลอบโจมตีที่ยิ่งถี่กระชั้นตามมาอีกสอง ชุด ล้วนถูกป๋ ายจิ่งอาศัยแค่การ “หว่านแห” คลี่คลายไปได้อย่างผ่อน คลาย มิอาจเข้าใกล้ในรัศมีพันลี้รอบฟ้ าดินนกในกรงได้เลยด้วยซ้า
อวี๋เสวียนตกตะลึงอยู่มาก เจินเหรินผู้เฒ่ารู ้แค่ว่าผู้ฝึกกระบี่หญิง ที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกผู้นี้ชื่อว่าเซี่ยโก่ว เพียงแต่ว่านางก็รีบ เปลี่ยนคาของตัวเองอย่างรวดเร็ว บอกว่าทุกวันนี้ชื่อเหมยฮวาแล้ว
ส่วนสหายโม่เชิงที่มีฉายาว่าสี่จู๋กลับพูดเยอะหน่อย แล้วก็ ค่อนข้างจะจริงใจ บอกว่าเขากับป๋ ายจิ่งต่างเป็ นผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจ ของเปลี่ยวร ้างของเมื่อหมื่นปีก่อน ขอบเขตบินทะยาน ก่อนหน้านี้ถูก อาจารย์ป๋ ายเจ๋อปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล ทุกวันนี้พวกเขาต่างก็ ฝึกตนอยู่ในภูเขาลั่วพั่ว จะไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งระหว่างสองใต้หล้า ครั้งนี้ถูกจอมปราชญ์น้อยเรียกมาที่นอกฟ้ า เนื่องจากมีสัญญาที่เคย
รับปากไว้ ป๋ ายจิ่งจึงจะแค่มองดูอยู่ด้านข้างแค่มาร่วมวงความ ครึกครื้นเท่านั้น แต่เขาที่เป็ นผู้ติดตามและนักรบพลีชีพที่อยู่ข้างกาย คุณชายกลับไม่มีการพันธนาการใดๆ แน่นอนว่าย่อมต้องออกกระบี่ ให้การช่วยเหลือ จะพยายามอย่างสุดกาลังความสามารถที่มี
อวี๋เสวียนย่อมรู ้ดีถึงพลังพิฆาตมากน้อยของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต บินทะยานคนหนึ่งเพียงแต่ว่าป๋ ายจิ่งผู้นี้จะแข็งแกร่งเกินไปหน่อย หรือไม่?
พูดถึงแค่การหว่านแหนี้ของนาง หากเอาไปใช ้ที่ท่าเรือทั้งหลาย ของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างหรือไม่ก็สนามรบบางแห่งล่ะ?
หลวี่เหยียนใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “การโคจรของมหามรรคาไม่ กล้าได้กล้าเสียมากพอนับแต่โบราณมาของสิ่งหนึ่งมักจะถูกของอีก สิ่งหนึ่งสยบได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่นป๋ ายจิ่งที่หากนางอยู่ต่อในเปลี่ยว ร ้าง ข้าก็คงไม่มีทางท่องเที่ยวในไพศาลแล้ว”
อวี๋เสวียนหลุดหัวเราะพรืด
เจินเหรินผู้เฒ่าก้มหน้าลงไปมองอยู่นานแล้ว ผลคือสังเกตเห็น ว่าที่มาของวิธีการที่ใช ้ลอบโจมตีเหล่านี้มีการปิดบังอาพรางไว้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังใช ้การหดย่อพื้นที่ เรือนกายล่องลอยไม่แน่นอน บวกกับค่าย กลและการอาพรางลมปราณของพื้นที่ประกอบพิธีกรรม เห็นได้ชัด ว่ามีการเตรียมการมาก่อน
ป๋ ายจิ่งถามอย่างสงสัย “เสี่ยวโม่ น่าประหลาดยิ่งนัก ดูเหมือนว่า นายท่านป้ ายเจ๋อจะไม่ได้ลงมือ ข้าลงมือขนาดนี้แล้วก็ไม่เห็นว่าเขา จะโกรธเลยนะ?”
เสี่ยวโม่กล่าว “ให้สองใต้หล้าปะทะกัน เดิมทีนี่ก็เป็ นแผนการที่ โจวมี่มีไว้เล่นงานหลี่เซิ่งอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับนายท่านป้ ายเจ๋อ”
มีเวทคาถาโจมตีที่คล้ายฝนปรอยๆ พุ่งมาถึงอีกครั้ง และในขณะ ที่ป๋ ายจิ่งก าลังจะลงมือ เจิ้งจวีจงยังคงทาเป็ นมองไม่เห็นนั้นเอง
หลี่ซีเซิ่งที่ทามุทราอยู่ในชายแขนเสื้อตลอดเวลากลับหน้า เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ตะโกนใส่ป๋ ายจิ่ง “หยุดมือ!”
ป๋ ายจิ่งกลอกตามองบน ลังเลอยู่เล็กน้อยถึงได้เก็บแสงกระบี่ส่วน ใหญ่ที่พุ่งไปอย่างว่องไวมาอย่างไม่ยินยอมพร ้อมใจ
เสี่ยวโม่และยังมีอวี๋เสวียนกับหลวี่เหยียนต่างก็ลงมือแทบจะเวลา เดียวกัน แต่กลับไม่ได้เล่นงานเวทโจมตีที่มาจากเปลี่ยวร ้าง กลับ กลายเป็ นว่าโจมตีแสงกระบี่ที่พุ่งเร็วดุจสายฟ้ าแลบของป๋ ายจิ่งให้ แหลกสลายไปแทน
สุดท้ายแสงกระบี่ที่ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งก็ยังคงปั่นคว้านยันต์ของ เปลี่ยวร ้างส่วนหนึ่งไปอยู่ดี
กระทั่งบัดนี้เองเจิ้งจวีจงถึงได้ลงมือเหมือน “คนที่รู ้สึกตัวช ้า” เก็บ เอายันต์ส่วนใหญ่เข้ามาไว้ในมือง่าย เจิ้งจวีจงแบมือออก ยันต์หลาย พันแผ่นพลันหดรวมกันกลายมามีขนาดเท่าเมล็ดงาสิบกว่าเมล็ด
ประหนึ่งดวงดาวหลายดวงที่หมุนวนอยู่กลางอากาศเหนือฝ่ ามือ เจิ้งจ
วีจงหัวเราะ ทั้งหมดนี้ล้วนมีไว้เล่นงานเฉินผิงอันจริงๆ เสียด้วย เสี่ยวโม่รีบหันไปมองคุณชายของตัวเองทันที เฉินผิงอันส่ายหน้า ใช ้สายตาบอกเป็ นนัยให้เสี่ยวโม่รู ้ว่าไม่
เป็ นไร ไม่ต้องพานโมโหป๋ ายจิ่ง
ป๋ ายจิ่งเกาแก้ม มองเสี่ยวโม่อย่างน่าสงสาร
ครั้งนี้นางทาผิดพลาดไปจริงๆ ไหนเลยจะคิดได้ว่าการประลอง เวทบนภูเขายังจะมีอะไรที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้อยู่ด้วย เมื่อหมื่นปี ก่อนไม่ได้เป็ นแบบนี้เสียหน่อย
เสี่ยวโม่สูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนนิสัยเอ่ยว่า “จาไว้ว่าคราวหน้า ต้องระวังด้วย”
ป๋ ายจิ่งจะจับประคองหมวกขนเตียวตามจิตใต้ส านึกถึงได้ค้น พบว่าตัวเองอยู่ในร่างจริงแล้ว นางจึงดึงมือกลับมา พยักหน้าเบาๆ พูดด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวโม่ เจ้าช่างดีจริงๆ”
เสี่ยวโม่หน้าดาทะมึน ขนทั้งร่างตั้งลุกชัน ได้แต่เงียบเสียงไป
คิดว่าหลังกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจาเป็ นจะต้องพูดเรื่องนี้กับ คุณชายสักหน่อย ตนกับเซี่ยโก่วก็ดี หรือป๋ ายจิ่งก็ช่าง มิอาจอยู่ ร่วมกันด้วยวิธีแบบนี้ต่อไปได้แล้วจริงๆ
เจิ้งจวีจงที่ยืนอยู่บนจุดสูงที่สุดของหอแก้วใสกาหมัดเบาๆ เขา เองก็ท าลายยันต์เช่นกัน อีกทั้งจานวนยังมากยิ่งกว่า แต่กลับไม่ได้ท า ร ้ายจิตวิญญาณของเฉินผิงอันแม้สักเศษเสี้ยว ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ ลดทอนตบะของเฉินผิงอันแม้แต่น้อย เจิ้งจวีจงคลายมือออกแล้ว ยันต์หลายพันแผ่นที่อยู่กลางฝ่ ามือของเขาก็แหลกสลายกลายเป็ น ผุยผงปลิวหายตามลมไปแล้ว เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูจากท่าทางน่าจะ เป็ นยันต์ที่โจวชิงเกาวาด จากนั้นไหว้วานให้เฝ่ ยหรานน ามามอบเป็ น ของขวัญพบหน้าที่นี่ ลูกศิษย์ปิ ดสานักของโจวมี่ผู้นี้ช่างตั้งใจ เหลือเกิน ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้เลื่อมใสอันดับหนึ่งของใต้เท้าอิ่นกวาน”