กระบี่จงมา - ตอนที่ 900.2 เพื่อนบ้าน
พูดมาถึงตรงนี้ เซวียไหวก็หัวเราะ “อาจารย์ ไม่สู้พวกเราสองคนมาเดิมพันกันดีไหม ข้าเดิมพันว่าสำหรับเรื่องนี้ เจ้าขุนเขาเฉินต้องมีการเตรียมการไว้นานแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะแค่รอให้อาจารย์หรือไม่ก็ผู้คุมกฎถานเปิดปากเท่านั้น”
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้ต่อประโยค เพียงแค่ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เซวียไหว เจ้ามีความประทับใจที่ดีต่อเฉินผิงอันมากหรือ?”
เซวียไหวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ล้วนเป็นบัณฑิตเหมือนกัน”
“โชคดีได้ติดตามอาจารย์มาฝึกตนอยู่ที่ผูซาน ได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองต่างๆ มากมาย ก็ถือว่าเคยได้พบเจอกับยอดฝีมือมาไม่น้อย แต่ผู้ฝึกตนที่เป็นเหมือนเจ้าขุนเขาเฉิน ข้าเพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรกจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนหูตาสว่าง ได้เปิดหูเปิดตา”
“หากจะต้องใช้คำพูดหนึ่งมาบรรยายเจ้าขุนเขาเฉินให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็คือ…”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง อาจารย์ผู้เฒ่าก็พยักหน้ายิ้มเอ่ยกับตัวเอง “มองไกลๆ รู้สึกถึงความสุขุม ได้ใกล้ชิดกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ทั้งนอบน้อมและสงบสบาย”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย “เป็นคำวิจารณ์ที่สูงมากแล้ว”
ช่วงปลายปี อยู่ห่างจากงานฉลองของสำนักอีกเกือบๆ ครึ่งเดือน
การที่เดินทางไปยังภูเขาเซียนตูล่วงหน้า เพราะเย่อวิ๋นอวิ๋นก็มีใจที่เห็นแก่ตัว
นางต้องการถามหมัดกับเฉินผิงอันอย่างเปิดเผย
ในบรรดาผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เย่อวิ๋นอวิ๋นอายุน้อยมาก อู๋ซูอริยะบู๊ของบ้านเกิด นอกจากนี้ก็ยังมีจางเถียวเสียแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หวังฟู่ซู่คนบุ่มบ่ามแห่งอุตรกุรุทวีป เพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงธวัลทวีป อายุต่างก็ไม่น้อยกันแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นอยากจะรู้อย่างมากว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่สามารถถามหมัดกับเฉาสือ อีกทั้งยังเป็นคนรุ่นเดียวกับเฉาสือ
หมัดเท้าจะหนักแค่ไหนกันแน่ สัจธรรมหมัดจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกันแน่ วิชาหมัดจะสูงถึงเพียงใดกันแน่!
บนเรือหลากสี ตอนที่แล่นเข้าสู่ทะเลเมฆ รอบด้านก็มีไอน้ำไอหมอกแผ่อบอวล ทำให้จิตวิญญาณของคนสดชื่นผ่อนคลาย
หญิงชราเส้นผมขาวโพลน เรือนกายงองุ้ม
ในอดีตก็เคยถือยันต์โปรยฝนเผยร่างจริงทะยานเมฆหมอก ช่วยทำให้ฝนรสหวานชุ่มฉ่ำพร่างพรมไปทั่วขุนเขาสายน้ำ
ข้างกายคือเด็กสาวคนหนึ่ง มือสองข้างของนางถือเตาอุ่นมือ เนื่องจากขนาดเล็กกะทัดรัด อีกทั้งยังมีชื่อว่าซิ่วหลู (เตาที่ยัดใส่เข้าไปในแขนเสื้อได้ เป็นเตาที่มีขนาดเล็กมาก) สามารถอุ่นมือขับไล่ความหนาวเย็น ทำมาจากทองแดงบริสุทธิ์ ด้านในสามารถใส่ถ่าน ด้านนอกคือไม้ไผ่สานล้อมตัวเตา
คนทั้งกลุ่มมองลงไปยังพื้นดินด้วยกัน ในจุดที่เงียบเหงาไร้เงาคน ยังคงเป็นภูเขาเขียวสายน้ำใสที่ไม่เปลี่ยนสี ทว่าระหว่างทางเลียบแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ นครใหญ่โตโอฬารที่สร้างขึ้นริมน้ำในอดีต จนถึงทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเพียงซากปรัก เต็มไปด้วยหลุมบ่อ สภาพน่าสังเวชจนแทบมิอาจทนมอง
เย่อวิ๋นอวิ๋นอดไม่ไหวถามว่า “สกุลหยวนแห่งต้ายวนได้กอบกู้แคว้นแล้วหรือยัง?”
ไม่อย่างนั้นด้วยรากฐานของราชวงศ์ต้ายวนในอดีต เมื่อผ่านการพักฟื้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นที่ว่าชาวบ้านใช้ชีวิตอย่างยากแค้น กลิ่นอายความตายเข้มข้นเช่นนี้หรอก
นางยิ่งรู้สึกว่าเรือนอวิ๋นฉ่าวไม่เพียงต้องยกเลิกคำสั่งห้ามรายงานภูเขาสายน้ำ ยังต้องก่อตั้งองค์กรแห่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อรวบรวมรายงานข่าวจากฝ่ายต่างๆ ด้วย
เซวียไหวถอนหายใจ ช่วยอธิบายต้นสายปลายเหตุให้อาจารย์ฟัง ที่แท้ราชวงศ์สกุลหยวนต้ายวนในอดีตได้แตกแยกกันไปนานแล้ว มาตุภูมิในทุกวันนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ทั้งสามเป็นแค่ลูกหลานเชื้อพระวงศ์สายรองที่มีชาติกำเนิดจากแคว้นใต้อาณัติเท่านั้น แต่ละคนต่างก็ถูกประคับประคองให้เป็นฮ่องเต้ แบ่งแยกดินแดนก่อตั้งแคว้น และปีนั้นสกุลหยวนต้ายวนก็เป็นหนึ่งในราชวงศ์ล่างภูเขาจำนวนไม่มากของใบถงทวีปที่กล้าเป็น ‘ตั๊กแตนขวางหน้ารถ’ ทำการรวบรวมกองทัพใหญ่ทั้งที่ชายแดนและสถานที่สามแห่งของเมืองหลวง คอยต่อต้านกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างที่หอบม้วนขุนเขาสายน้ำมาเหมือนกระแสน้ำขึ้น ผลคือลำพังเพียงแค่สถานที่ที่ถูกฆ่าล้างเมือง รวมเมืองหลวงเข้าไปด้วยก็มีมากถึงเจ็ดแห่ง สรรพชีวิตมอดม้วย พลังชีวิตเสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้เมื่อเทียบกับราชวงศ์สกุลอวี๋ที่ในอดีตกองกำลังแคว้นเท่าเทียมกันแล้ว ก็มิอาจทัดเทียมได้อีก
ในซากปรักที่ตั้งเก่าของเมืองหลวงได้กลายเป็นเมืองผีที่สมชื่ออย่างแท้จริง ปราณดุร้ายพวยพุ่งทะยานฟ้า นอกจากผู้ฝึกตนผีแล้ว ผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไป โดยทั่วไปมักจะเดินอ้อมผ่าน ไม่ไป ‘หาเรื่องซวยใส่ตัว’
“เว้นเสียจากกลุ่มคนที่มีวิญญูชนหรือนักปราชญ์ของสำนักศึกษานำขบวนซึ่งรวมถึงผู้ฝึกตนทำเนียบของภูเขาแต่ละลูก พวกเขาจะเข้าไปในนครผีเพื่อค้นหาเผ่าปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ อันที่จริงกองกำลังสามฝ่ายที่แบ่งแยกดินแดนกันนั้นก็เคยส่งผู้ถวายงานไปเปิดทางกันอย่างเต็มกำลัง นำพาผู้ฝึกลมปราณกลุ่มใหญ่ปกป้องทหารเดินเท้าเข้าไปเก็บเกี่ยวโครงกระดูก เผาผลาญยันต์และเงินเทพเซียนไปมหาศาล แล้วยังมีการจัดพิธีกรรมทางศาสนานำส่งดวงวิญญาณอยู่หลายครั้ง แต่ผลเก็บเกี่ยวที่ได้กลับไม่มาก”
นอกจากนี้ก็มีแต่ผู้ฝึกตนอิสระที่จะใช้ข้ออ้างว่า ‘ค้นภูเขา’ ไปเก็บตกของดี บ้านเรือนของตระกูลชั้นสูงในอดีตบางส่วน แม้ว่าสภาพจะพังภินท์ไม่เหลือดี แต่ก็อาจจะยังได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันบางอย่างมา แล้วก็จะเคารพกฎที่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นเข้าเมือง พระอาทิตย์ตกออกจากเมืองอย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นจะตกอยู่ท่ามกลางม่านบังตาหนาชั้น ง่ายที่จะไปแล้วไม่ได้กลับมา ถูกผีบังตาอยู่ในเมือง กลายไปเป็นผีตนใหม่
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปในยุทธภพ พวกคนที่มีปราณหยางเข้มข้นไม่มีทางกล้าเข้าไปข้างในโดยพลการเด็ดขาด อย่างมากก็ให้พวกผู้ฝึกตนอิสระมาช่วยทำการเปิดทางในเมืองให้ หลังจบเรื่องค่อยแบ่งส่วนแบ่งกัน
อีกทั้งส่วนใหญ่จะต้องเป็นช่วงหน้าร้อนที่อากาศร้อนจัด จะเลือกวันที่ปราณหยางโชติช่วง เหมือนอย่างตอนนี้ที่เป็นช่วงปลายฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น คนส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ห่างจากเมืองผีอย่างน้อยร้อยกว่าลี้
เย่อวิ๋นอวิ๋นถาม “ลูกศิษย์ผูซานของพวกเรา ไม่เคยมาที่นี่บ้างเลยหรือ?”
แม้จะบอกว่าลูกศิษย์ผูซานบ้านตน ส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่อาณาเขตทางทิศใต้ของใบถงทวีป ร่วมมือกับสำนักศึกษาสองแห่งและสำนักกุยหยกร่วมกันค้นภูเขา แต่รอกระทั่งเย่อวิ๋นอวิ๋นได้เห็นเมืองผีซึ่งเป็นขุนเขาสายน้ำของราชวงศ์อวี๋เก่าที่ทอดยาวไปเป็นสายแล้ว นางก็ยังอดกลุ้มใจไม่ได้
เซวียไหวส่ายหน้าเบาๆ บอกตามตรงว่า “ยังไม่เคยมา”
ใบถงทวีปกว้างใหญ่เกินไป แทบจะเท่ากับอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปสองแห่งเลยทีเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่ใบถงทวีปก็ไม่มีราชวงศ์ต้าหลี ไม่มีซิ่วหู่ชุยฉาน ไม่มีกองทัพม้าเหล็กไร้ศัตรูทัดทานที่บุกไปที่ไหนที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง ยิ่งไม่มีเซียนซือบนภูเขาที่ว่านอนสอนง่ายกับราชวงศ์โลกมนุษย์ ไม่มีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่กฎหมายของหนึ่งทวีปคือป้ายศิลาที่ตั้งอยู่ยอดบนสุดของกลุ่มยอดเขา…
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “เข้าร่วมงานพิธีของภูเขาเซียนตูเสร็จแล้ว พวกเราก็มาเดินท่องเมืองผีพวกนี้ให้ครบรอบหนึ่งเถอะ ดูว่ามีแม่ทัพผีชั่วร้ายที่พอจะเป็นโล้เป็นพายซึ่งพยายามจะรวบรวมกองทัพหยินมาสร้างความวุ่นวายในโลกคนเป็นอยู่บ้างหรือไม่”
หากทำสำเร็จ เมืองผีแต่ละแห่งซึ่งรวมถึงในอาณาเขตของราชวงศ์ต้ายวนเก่าก็จะกลายเป็นฟ้าดินเล็กที่คล้ายคลึงกับซากปรักสนามรบโบราณ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านในนั้นจะต้องถูกปราณชั่วร้ายขัดเกลาไปอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดเป็นสถานการณ์ที่เมืองผีเป็นเหมือนพี่น้องท้องเดียวกันก็จะยิ่งยุ่งยากกว่าเก่า เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่มีทางตำหนิการไม่ทำอะไรเลยของสำนักศึกษา สำนักศึกษาใหม่เอี่ยมสามแห่งที่มีสำนักศึกษาต้าฝูเป็นหนึ่งในนั้น ตลอดหลายปีหลังจากที่ศึกใหญ่ปิดฉากลงนี้ นับตั้งแต่เจ้าขุนเขา รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ไปจนถึงวิญญูชนนักปราชญ์ หรือแม้กระทั่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษา แทบทุกคนต่างก็ไม่เคยได้ศึกษาหาความรู้อะไรในห้องหนังสือ ตลอดทั้งปีได้แต่วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอก เหน็ดเหนื่อยกับการรับมือเรื่องพวกนี้ นอกจากค้นภูเขาแล้วก็ยังมีซ่อมแซมปรับปรุงขุนเขาสายน้ำเก่า ซึ่งก็เป็นปมเชือกขมวดพันกันยุ่งเหยิง ทุกหนทุกแห่งล้วนต้องรอให้สำนักศึกษามาคลี่คลายภัยแฝง อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาก็บาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย
เซวียไหวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ผีในเมือง ต่อให้ดุร้าย ตอนมีชีวิตอยู่ก็ล้วนเป็นพวกที่น่าเคารพน่าสงสาร”
เย่อวิ๋นอวิ๋นถอนหายใจ “ข้าย่อมรู้ เพียงแต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ยังจะทำอย่างไรได้อีก จะปล่อยให้วิญญาณหยินในเมืองแผ่ปราณดุร้ายอาบย้อมไปปีแล้วปีเล่าก็คงไม่ได้กระมัง หากยังถ่วงเวลาล่าช้าไปมากกว่านี้ ต่อให้สำนักศึกษาที่ยุ่งจนหัวหูไหม้สามารถปลีกตัวมาได้ก็ได้แต่ชำระล้างเมืองผี ถึงเวลานั้นก็ไม่ต่างจากการฆ่าล้างเมืองครั้งใหม่หรอก”
เซวียไหวเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ผีวิญญาณหยินพวกนั้น หากจัดการขึ้นมาก็ยุ่งยากมากเลยนะ”
ไม่เพียงแต่ใบถงทวีป อันที่จริงนอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วก็ล้วนไม่มีสำนักวิถีผีที่เป็นสำนักอักษรจงเลยแม้แต่แห่งเดียว อย่างมากสุดก็แค่เป็นสำนักใหญ่บางแห่งที่กิ่งก้านขยับขยายซับซ้อน ไม่ขาดอาณาเขต สามารถบุกเบิกภูเขาหลายลูกขึ้นมาเดี่ยวๆ ให้ผีใช้ฝึกตนได้ เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้สามารถสร้างวีรกรรมที่เป็นฝ่ายตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ เว้นเสียจากว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เชี่ยวชาญวิถีผีที่จะยอมผลาญตบะของตัวเองอย่างไม่เสียดาย ใช้วิธีการค้ำฟ้ามาร่ายเวทคาถาที่นี่ ถึงจะมีหวังเปลี่ยนลมปราณฟ้าดินที่ขุ่นมัวให้สะอาดได้
น่าเสียดายก็แต่ใบถงทวีปในทุกวันนี้ไม่มีขอบเขตบินทะยานอีกแล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่เชี่ยวชาญวิถีผีเลย
แต่ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนที่สถานะไม่ชัดเจนในอดีตพวกนั้นเคยปรากฏตัวกะทันหันบนสนามรบของใบถงทวีป นำพากองทัพใหญ่วิญญาณหยินกองหนึ่งขัดขวางกองทัพใหญ่โครงกระดูกใต้อาณัติของป๋ายอิ๋งอดีตราชาบนบัลลังก์
เพียงแต่ว่าดูจากนครเก่าที่ทุกหนทุกแห่งมีแต่ซากปรักหักพังแล้ว ต่อให้เป็นตอนกลางวันแสกๆ ที่แสงแดดสาดส่องลงมา ก็ยังให้ความรู้สึกอึมครึมน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี เพียงแต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ทั้งๆ ที่ในเมืองมีปราณดุร้ายเข้มข้นขนาดนี้ ทว่ากลิ่นอายความสกปรกกลับไม่เข้มนัก
หญิงชราใช้เสียงในใจเอ่ยกับเด็กสาว “ชู่ชู่ บอกกับเจ้าไว้ก่อนว่า รอให้พวกเราไปถึงภูเขาเซียนตูแล้ว ต่อให้เจ้ามีความรู้สึกที่ดีต่อที่แห่งนั้น แล้วก็ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะให้เงื่อนไขที่ดีแค่ไหน อย่างมากสุดพวกเราก็จะเป็นแค่เค่อชิงที่มีตำแหน่งว่างเปล่าเท่านั้น อย่าเป็นผู้ฝึกตนผู้ถวายงานเด็ดขาด”
เด็กสาวถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมหรือเจ้าคะ?”
หญิงชราเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงแค่ลูบศีรษะของเด็กสาว
อันที่จริงทางที่ดีที่สุดพวกนางควรจะเข้าร่วมกับเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานมากกว่า
หวงอีอวิ๋นนั้นเชื่อถือได้ อีกทั้งขนบธรรมเนียมของผูซานก็ดีเยี่ยม ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนมีชื่อเสียงที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตแห่งมรรคาของเย่อวิ๋นอวิ๋นที่เหมือนน้ำพุใสสะอาด ใสกระจ่างจนมองเห็นก้นบึ้ง มากพอจะฝากชีวิตไว้ได้
น่าเสียดายตอนที่นางอยู่บนผูซาน ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยออกมา ฉิวตู๋มิอาจเป็นฝ่ายเสนอตัวเองและชู่ชู่ให้อีกฝ่ายได้
ย้อนกลับมามองเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อายุน้อยๆ ก็เชี่ยวชาญเวทกระบี่ผู้นั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ที่พบเจอริมแม่น้ำ ในร้านน้ำชา เขาจะมีท่าทีสุภาพอ่อนโยน มีมารยาทน่าใกล้ชิดอยู่ตลอดก็ตาม
แต่หญิงชรากลับมองความคิดของอีกฝ่ายไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างภูเขาเซียนตูแห่งนั้นก็มองเมิน ปล่อยปละละเลยเมืองผีที่มีปราณชั่วร้ายล้อมวนพวกนี้
สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว ระยะทางหลายพันลี้ก็แค่เพื่อนบ้านใกล้เคียงที่เดินไม่กี่ก้าวก็แวะเวียนไปหากันได้แล้ว
แต่ทางฝั่งของภูเขาเซียนตู ในเมื่อตั้งสำนักขึ้นมาแล้ว คิดดูแล้วรากฐานคงไม่แย่ นี่ถือว่าต่างคนต่างกวาดหิมะหน้าบ้านของตัวเอง ไม่ต้องไปสนใจน้ำค้างแข็งบนกระเบื้องหลังคาบ้านคนอื่นใช่หรือไม่?
แต่กลับมิอาจบอกได้ว่าภูเขาเซียนตูทำผิด ธุลีแดงคละคลุ้ง เวรกรรมหนาหนัก ผู้ฝึกตนรักษาตัวรอด มีอะไรผิดด้วยหรือ?
เพียงแต่ว่าในใจของหญิงชราอดที่จะไม่พอใจไม่ได้ ชู่ชู่คุณสมบัติดีเกินไป ทางภูเขาเซียนตูขนบธรรมเนียมไม่เที่ยงตรง คิดที่จะ ‘ใช้ทุกทรัพยากรทั้งหมดที่มี’ ถึงเวลานั้นตนจะทำอย่างไร?
พึ่งพาภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นขึ้นเขาที่ง่ายลงเขากลับยากเสมอ
ในอดีตตอนที่อยู่วังมังกรลำน้ำใหญ่ ฉิวตู๋มีหน้าที่สำคัญต้องรับผิดชอบ จึงเห็นการปัดแข้งปัดขาที่ชั่วร้ายระหว่างสหายร่วมงานและระหว่างเซียนซือบนภูเขาพวกนั้นมาจนชินแล้ว
ผู้ฝึกตนในภูเขาที่ชื่อเสียงย่ำแย่ ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นคนชั่วที่ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร้าย
คนที่ชื่อเสียงดีกลับอาจจะเป็นพวกที่แสร้งวางมาดภูมิฐาน เชี่ยวชาญการวางแผนก็เป็นได้
ด้วยคุณสมบัติด้านการฝึกตนของชู่ชู่ ย่อมไม่มีทางมีจุดจบที่ถือหัวหมูมาแล้วก็ยังหาศาลไม่พบอย่างแน่นอน
อย่าว่าแต่ผูซานของหวงอีอวิ๋นเลย บางทีต่อให้เป็นสำนักกุยหยก นางก็อาจจะกลายเป็นผู้ฝึกตนทำเนียบศาลบรรพจารย์ได้ ก็แค่ว่าชู่ชู่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น นี่ทำให้นางเสียเปรียบข้อใหญ่ หาไม่แล้วคิดจะเข้าไปอยู่ยอดเขาเสินจ้วน กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวยอิ๋งเจ้าสำนักก็ยังเป็นไปได้
ดังนั้นหญิงชราจะไม่อนุญาตให้ตัวเองผลักชู่ชู่ลงหลุมไฟกับมือตัวเองเด็ดขาด
หากไม่ได้จริงๆ นางก็จะทำตัวให้นอบน้อม ไม่พูดถึงศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรทั้งนั้น อย่างมากก็ให้ชู่ชู่เปลี่ยนระบบสืบทอดเสียใหม่ จะอย่างไรก็ต้องช่วยให้ชู่ชู่คว้าสถานะผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานมาให้ได้
ถึงอย่างไรตนก็ไม่อาจสอนเวทคาถาบนมหามรรคาอะไรให้กับนางได้อีกแล้ว บวกกับที่หนึ่งคือฉิวหนึ่งคือมนุษย์ รากฐานมหามรรคาของอาจารย์และศิษย์คู่นี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วิชาลับแห่งชะตาชีวิตมากมายที่มีเพียงเผ่าพันธ์เจียวหลงถึงจะควบคุมได้อย่างชำนาญ ยามที่ชู่ชู่เล่าเรียนย่อมยากที่จะเหนื่อยเพียงครึ่งได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว สิ้นเปลืองเวลาไปเปล่าๆ ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ไม่เหมือนกับเผ่าปีศาจ พิถีพิถันในเรื่องการบุกรุดหน้าดุจผ่าลำไม้ไผ่ในช่วงแรกของการขึ้นเขาเร็วเกินไป ไม่มีสถานะเป็นอาจารย์และศิษย์กับชู่ชู่แล้วอย่างไร ไม่ได้สำคัญเสียหน่อย
หญิงชรายื่นมือที่แห้งเหี่ยวออกมารวบชายแขนเสื้อของเด็กสาวเบาๆ พูดด้วยสีหน้าเปี่ยมเมตตา “ในยุทธภพบอกว่ากราบไหว้อาจารย์เหมือนการเลือกครรภ์ไปเกิด สตรีบนภูเขาฝึกตนเหมือนออกเรือน อาจารย์อายุมากแล้ว ยากที่จะพิสูจน์มหามรรคา ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยชู่ชู่หาคนดีๆ ถึงจะวางใจได้”
นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องลับเรื่องหนึ่งที่หญิงชราไม่ได้บอกกล่าวแก่ชู่ชู่อย่างชัดเจน วังมังกรทั่วไป คำว่าซากปรักก็เป็นแค่การจมลงน้ำเท่านั้น
แต่วังมังกรลำน้ำใหญ่ที่นางอยู่ไม่เหมือนกับวังมังกรของแม่น้ำบนพสุธาทั้งหลาย ฐานะสูงกว่า ดังนั้นเรื่องของการเปิดประตูซากปรักจึงมีความยากมากกว่า อีกทั้งยังหาเจอได้ยากยิ่ง
พูดถึงแค่หลุมน้ำลู่ของตั้นตั้นฮูหยิน พอปิดประตู ปีนั้นก็ไม่ใช่ว่าแม้กระทั่งฮว่อหลงเจินเหรินก็ยังมิอาจฝืนฝ่าตราผนึกไปได้หรอกหรือ?
ในฐานะหมัวมัวผู้สอนมารยาทของวังมังกรลำน้ำใหญ่ ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับพวกบัณฑิตในสำนักฮั่นหลินที่รับหน้าที่เป็น ‘อาจารย์สอนหนังสือ’ ให้กับลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ไม่เหมือนกับปลาแบกภูเขาที่เป็นสาขาแยกของลำน้ำใหญ่ หญิงชรามีชาติกำเนิดจากสายตรง พูดง่ายๆ ก็คือฉิวตู๋ก็คือกุญแจที่จะเปิดพื้นที่ลับของวังมังกรแห่งนั้น
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่พูดอะไรสักคำ แต่หญิงชราเชื่อในสายตาและนิสัยใจคอของอีกฝ่าย เชื่อว่าผูซานไม่มีทางปล่อยสายเบ็ดยาวเพื่อรอตกปลาตัวใหญ่แน่นอน
ส่วนภูเขาเซียนตูกลับเป็นเซียนกระบี่เฉินที่เท้าหน้าเพิ่งเดินออกไป เท้าหลังก็ตามติดมาด้วยเทียบเชิญ
หญิงชราจะไม่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงตัดสินใจแล้วว่า ฉวยโอกาสตอนที่มังกรแท้จริงตัวนั้นยังไม่ป่าวประกาศไปทั่วใต้หล้าว่านางจะเป็นคนเก็บรวบวังมังกรที่ถูกทิ้งร้างไว้เป็นของตัวเอง ก็จะต้องพยายามเดินทางไปเยือน ‘มาตุภูมิบ้านเกิด’ ของตัวเองโดยเร็วก่อนรอบหนึ่งให้ได้
แน่นอนว่าหญิงชราไม่กล้าเข้าไปข้างในแล้วมองว่าของทุกอย่างล้วนเป็นของในบ้านตัวเอง แบบนั้นจะละโมบเกินไป นางแค่จะเลือกสมบัติเก่าๆ ที่เก็บรักษาไว้ในวังมังกรซึ่งสะดวกพกพามาสองสามชิ้น นำมาเป็นสินเดิมของชู่ชู่เท่านั้น
ขุนเขาสายน้ำของราชวงศ์อวี๋เก่า ในเมืองผีแห่งหนึ่ง เหนือศีรษะมีเรือหลากสีพุ่งผ่านไป
ในจวนที่ถูกทิ้งร้างซึ่งสภาพแตกหักผุพังแห่งหนึ่ง มีวิญญูชนบนขื่อคานสองคนที่…เพิ่งจะเข้าเมืองไปได้ไม่นานเท่าไร
บนเสาคานที่คนทั้งสองอยู่วางกาเหล้าไว้สองกา กับถั่วลิสงโรยเกลือหนึ่งจาน และถั่วเหลืองคั่วแห้งหนึ่งจาน
บัณฑิตลักษณะยากจนคีบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งโยนขึ้นสูง ปล่อยให้มันร่วงเข้าปาก จากนั้นเหลือบไปมองเจ้าอ้วนที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง พูดโน้มน้าวว่า “เจ้ารีบลงไปเถอะ ระวังจะนั่งทับให้คานหักลงไป”
เจ้าอ้วนเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ลง ขนาดบัลลังก์มังกรกว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของกษัตริย์ในสมัยโบราณ) ยังนั่งมาแล้ว คานเล็กๆ แห่งหนึ่งจะนั่งไม่ได้เชียวหรือ? ตระกูลนี้มีควันเขียวผุดออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษแล้วล่ะ ถึงได้ทำให้กว่าเหรินพาก้นที่เหมือนสร้างจากทองมานั่งอยู่ที่นี่ได้”
พวกเขาก็คือจงขุยกับนายท่านใหญ่กูซูนั่นเอง