กระบี่จงมา - ตอนที่ 812.2 ซ้อมมือ
เฉินผิงอันเดินไปทางประตูใหญ่ของศาลบุ๋น ข้ามธรณีประตูออกไป ก่อนหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พอถอนสายตากลับมาแล้วก็เดินตรงไปหยุดอยู่ข้างราวรั้วของลานกว้าง แล้วจึงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงรั้ว “ทำไมถึงไม่เข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋น”
หลิวจิ่งหลงส่ายหน้า เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไม่อาจมีคนตายได้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่เพราะทำไม่ได้จริงๆ ข้ากลัวว่าพอไปศาลบุ๋นแล้วตัวเองจะอดไม่ไหว”
เฉินผิงอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเปิดปากถามว่า “ได้ยินว่ามีคนกล้าพูดจาสามหาว บอกว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นแค่ชั้นวางที่ว่างเปล่า?”
หลิวจิ่งหลงยิ้มขื่น “ความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าอดทนได้ แต่ข้าทนไม่ได้”
หลิวจิ่งหลงเงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองไปยังทิศไกล เอ่ยเสียงเบาว่า “ก็แค่เจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนปัจจุบันเท่านั้นที่ทนได้ อันที่จริงผู้ฝึกกระบี่หลิวจิ่งหลงก็ทนไม่ได้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันหันไปมองหนิงเหยา
หนิงเหยาพยักหน้า “พวกเราจะรออยู่ที่นี่”
ระหว่างเฉินผิงอันกับหนิงเหยา ในช่วงเวลาที่สำคัญมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถ้อยคำที่เกินความจำเป็นใดๆ
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายยแขนเสื้อ ลากหลิวจิ่งหลงให้ไปด้วยกัน “ไป! ไปถามกระบี่กัน!”
ข้าผู้อาวุโสแปะหน้ากากบนหน้า มารดามันใครจะรู้ว่าเป็นใคร? รู้แล้วอย่างไร แค่ไม่ยอมรับก็ได้แล้ว
ขนบธรรมเนียมของอุตรกุรุทวีปดีขนาดนี้ หากความตระหนักรู้แค่นี้ยังไม่มี ยังจะอยู่ในยุทธภพ จะเดินลงภูเขาไปอีกทำไม
ถึงอย่างไรของเล่นอย่างหน้ากากคนนี้ เฉินผิงอันก็มีเยอะนักล่ะ เป็นของจำเป็นที่ต้องเตรียมไว้สำหรับตอนออกจากบ้านท่องยุทธภพ เด็กหนุ่ม วัยกลางคน คนแก่ ล้วนมีหมด ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่หน้ากากของสตรีก็ยังมี แล้วยังไม่ได้มีแค่แผ่นเดียวด้วย
ได้ยินมาว่าสำนักที่มีผู้ฝึกกระบี่อยู่แค่ไม่กี่คนแห่งนั้น ในประวัติศาสตร์เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มารอบหนึ่ง หลังจากนั้นอีกหลายร้อยปีก็ไม่เคยไปอีก เพราะว่าในสำนักมีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นผู้สืบทอดของบรรพจารย์ท่านหนึ่ง เพิ่งจะผ่านภูเขาห้อยหัวไปได้ก็เกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่น ก่อนจะแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์ ในเมื่อไม่เคยไปเยือนหัวกำแพงเมืองก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสังหารปีศาจอะไรเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกลมปราณที่ออกเดินทางไกลของทั้งอุตรกุรุทวีปล้วนมีคนตายอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนว่าตำแหน่งบนภูเขาของสำนักแห่งนี้ในบ้านเกิดกลับเลื่อนสูงขึ้น
ทั้งมีบรรพจารย์ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งที่ปิดด่านอยู่ตลอด เจ้าสำนักคนปัจจุบันที่เป็นขอบเขตหยกดิบ แล้วยังมีเค่อชิงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอะไรนั่นอีก
แต่เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงที่เป็นผู้นำและมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆอยู่ในหนึ่งแคว้นแล้ว ดูเหมือนว่ายังขาดแรงไฟไปอีกสักหน่อย
เอามาใช้ซ้อมมือได้พอดี
หลิวจิ่งหลงจึงเริ่มปรึกษารายละเอียดกับเฉินผิงอัน
สุดท้ายคนทั้งสองขี่กระบี่กลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไปไกล
วันนี้ถือว่าป๋ายโส่วได้เปิดหูเปิดตาแล้ว คนแซ่หลิวถูกเฉินผิงอันหลอกให้ร่วมมือกันไปถามกระบี่ทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือ?
อยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงการเซ่นกระบี่ของอาจารย์กับเฉินผิงอันบนยอดเขาแคว้นฝูฉวีครานั้นขึ้นมา
ดูเหมือนว่าคนบางคนที่ขอแค่เพียงพบเจอกันก็เกิดมาเพื่อเป็นสหายกันอยู่แล้ว?
อยู่ๆ ป๋ายโส่วก็เหลือบมองไปยังเผยเฉียนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เหตุใดเจ้าคนแซ่หลิวเป็นเช่นนั้น แต่ข้านายท่านใหญ่ป๋ายกลับเป็นเช่นนี้ได้?
เด็กชายผมขาวจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “สหายของบรรพบุรุษอิ่นกวานล้วนไม่ธรรมดาเลยนะ”
หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูคนนั้น ความเสี่ยงในการเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบมีไม่มาก ส่วนในอนาคตจะได้เป็นเซียนเหรินหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับโชควาสนา จะดีจะชั่วก็มีความหวังอยู่หลายส่วน
ส่วนเจ้าสำนักหนุ่มของสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนนี้ ดูเหมือนว่าเพิ่งจะอายุร้อยปีกระมัง? แต่กลับเป็นคอขวดขอบเขตหยกดิบที่มั่นคงอย่างถึงที่สุดได้แล้ว
ในเวลาร้อยปี อย่างน้อยต้องเป็นเซียนเหริน ในเวลาพันปี มีหวังเป็นบินทะยาน
ช้ามาก? นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินกับขอบเขตบินทะยานเชียวนะ
ส่วนนักพรตหนุ่มของยอดเขาพาตี้คนนั้น เด็กชายผมขาวคร้านจะพูดให้มากความ ทุกวันนี้จางซานเฟิงขาดแค่เรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานมากพอ ขาดแค่พื้นที่ที่จะสามารถรองรับปณิธานหมัดมรรคกถาส่วนนั้นได้เท่านั้น
หนิงเหยาเอ่ยอีกว่า “สหายที่ไม่ธรรมดามีไม่น้อย แต่อันที่จริงสหายที่เรียบง่ายธรรมดา เฉินผิงอันกลับมีเยอะยิ่งกว่า”
สำหรับเรื่องนี้เด็กชายผมขาวไม่มีความเห็นต่างใดๆ
หนิงเหยามองไปยังจุดที่คนชุดเขียวหายตัวไป “หากเจ้าสำนักหลิวสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้ จะมีครบทั้งโจมตีและป้องกันอย่างมาก”
ครบทั้งโจมตีและป้องกัน โดยเฉพาะคำว่า ‘มาก’
ประโยคนี้เป็นหนิงเหยา และยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่เป็นคนพูด
ในสายตาของนาง ขอบเขตของหลิวจิ่งหลงในเวลานี้ไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งหลายในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย
นครบินทะยานในทุกวันนี้มีคนเริ่มตรวจสอบปฏิทินเหลืองกันแล้ว เรื่องหนึ่งในนั้นก็เกี่ยวข้องกับการคัดเลือก ‘สิบเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตหยกดิบ’
ยกตัวอย่างเช่นคนหนึ่งในนั้นก็มีอู๋เฉิงเพ่ย เพียงแต่ว่าการที่ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ติดอันดับหาใช่เพราะความสามารถในการจับคู่เข่นฆ่าไม่ หลักๆ แล้วต้องยกคุณความชอบให้กับกระบี่บินอันดับต้นที่เหมาะสมกับการลงสนามรบที่สุดของอู๋เฉิงเพ่ยเล่มนั้น ดังนั้นลำดับรายชื่อจึงค่อนไปทางช่วงท้าย
นอกจากนี้อิ่นกวานเฉินผิงอันก็ติดอันดับอย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย บนโต๊ะเหล้าของนครบินทะยานยังมีการโต้เถียงเรื่องนี้กันอย่างดุเดือด ไม่ได้เถียงกันว่าเฉินผิงอันควรติดอันดับหรือไม่ แต่เถียงในเรื่องลำดับสูงต่ำ อิ่นกวาน สิงกวาน เฉวียนฝู่ ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามสายต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง
เด็กชายผมขาวถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ทำไมบรรพบุรุษอิ่นกวานถึงต้องยืนกรานจะลากหลิวจิ่งหลงให้ท่องเที่ยวไปในแผ่นดินกลางด้วยกันให้จงได้?”
ก่อนหน้านี้หนิงเหยาไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้เลยจริงๆ ตอนนี้นางมาลองคิดดูก็ยิ้มเอ่ยว่า “อาจเป็นเพราะอยู่ข้างกายเจ้าสำนักหลิว เขาก็จะสามารถขี้เกียจคิดเรื่องราวหลายๆ อย่างได้?”
การเดินทางไกลในแต่ละครั้งของเฉินผิงอันไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
หากไม่ต้องคอยกังวลถึงความแปรปรวนของวิถีทางโลก ก็ต้องคอยปกป้องคนอื่นอย่างระมัดระวัง
แต่หากข้างกายมีหลิวจิ่งหลงอยู่ด้วย เฉินผิงอันจะสบายใจอย่างมาก แค่สนแต่จะออกกระบี่ออกหมัดเท่านั้น?
หนิงเหยาคิดว่ารอให้เฉินผิงอันกลับมาจะลองปรึกษาเรื่องหนึ่งกับเขาดู ดูว่าจะทำได้หรือไม่
นางอยากจะขอเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่นี่เกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์ ข้อต้องห้ามบนภูเขาของใต้หล้าไพศาล โยนปัญหาให้เขา ให้เขาเป็นคนจัดการก็แล้วกัน
เหอะ ก็ใครบางคนบอกว่าตัวเองเป็นประมุของบ้านนี่นะ
หนิงเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันหน้ามายิ้มพูดกับเผยเฉียน “แม้ปากกวอจู๋จิ่วจะไม่พูดอะไร แต่มองออกว่านางคิดถึงศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างเจ้ามาก หีบไม้ไผ่ใบเล็กที่เจ้าให้นางยืม นางมักจะหยิบมาเช็ดอยู่บ่อยๆ”
ฝั่งของเผยเฉียนเวลานี้กำลังกางสองแขนออกเอาอย่างอาจารย์พ่อ ด้านหนึ่งมีแม่นางน้อยชุดดำห้อยตัวอยู่ อีกด้านหนึ่งคือเด็กชายผมขาว เจ้าฟักแคระทั้งสองกำลังแข่งกันว่ายน้ำ สองขาถีบอยู่กลางอากาศอุตลุด
เผยเฉียนได้ยินชื่อกวอจู๋จิ่วแล้วก็มีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปชั่วขณะ
หลังจากเติบใหญ่มา ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว เผยเฉียนก็มักจะนึกถึงศิษย์น้องหญิงเล็กในนามอย่างกวอจู๋จิ่วอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่คิดถึง นอกจากปวดใจแล้วยังปวดหัวมากด้วย
ตอนเด็กที่เผยเฉียนติดตามห่านขาวใหญ่ไปหาอาจารย์พ่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลคืออยู่ดีๆ กลับมีเด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าศิษย์น้องหญิงเล็กหล่นลงมาจากฟ้า ตอนที่อาจารย์พ่อถามหมัดกับคนอื่นนางมักจะตีฆ้องตีกลองอยู่บนหัวกำแพง ยามที่พูดคุยกับตนก็จะจงใจงอสองเข่าลง เพื่อให้ศีรษะเท่ากับเผยเฉียน หรือไม่นางก็จะเอ่ยประโยคที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี บอกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ ไม่สู้พวกเราไปคุยกันตรงบันไดดีไหม ให้ข้าคอยกระดกก้นคุยกับเจ้าอยู่แบบนี้เหมือนนั่งยองในห้องส้วม ไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย…
ตอนนั้นเผยเฉียนเถียงไม่ชนะกวอจู๋จิ่ว แล้วก็ตามความคิดและหลักการเหตุผลอันบรรเจิดเต็มไปด้วยจินตนาการของกวอจู๋จิ่วไม่ทัน
อีกอย่างเว้นจากอาจารย์พ่อที่เป็นข้อยกเว้นแล้ว ยามที่เผยเฉียนอยู่กับใครก็ตาม นับแต่เล็กมานางก็เป็นคนที่ไม่ยินดีและก็ไม่มีทางที่จะเสียเปรียบใครได้ จนกระทั่งได้พบเจอกับกวอจู๋จิ่ว
ต่อให้ถึงตอนนี้ เผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าตัวเองจนปัญญาจริงๆ
แต่เผยเฉียนดีใจมากที่สงครามในปีนั้น กวอจู๋จิ่วไม่ได้จากไปแล้วไม่หวนกลับคืนมาอีก
ป๋ายโส่วสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเผยเฉียนก็สงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่ากวอจู๋จิ่วคือเทพเซียนจากที่ใดกันแน่
เด็กชายผมขาวปล่อยมือออก พอเท้าสัมผัสพื้นยืนนิ่งแล้วก็มองไปทางป๋ายโส่ว เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าเนิบช้า หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจ้าชื่อป๋ายโส่ว (ผมขาว/หัวขาว) หรือ?”
ป๋ายโส่วลูบศีรษะพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มทะเล้น ราวกับกำลังบอกว่าแม่นางน้อยเจ้าจะชื่อป๋ายโส่วก็ได้นะ
เด็กชายผมขาวพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าเหมือนคนแก่ว่า “ชื่อดีความหมายดี ผมขาวกลับคืนปลูกหมื่นสน ฝนพรำร่วงหล่นอ่อนโยนเพียงไม่นานก็หยุดตก”
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างตกตะลึง “เป็นแม่นางตัวน้อยๆ อายุไม่มาก แต่ความรู้กลับไม่น้อยเลยนะ”
เด็กชายผมขาวเบ้ปาก เดี๋ยวต้องขอยืมสมุดเปล่าๆ มาจากหมี่ลี่น้อยสักเล่มแล้ว
เผยเฉียนสะพายหีบไม้ไผ่ กอดไม้เท้าเดินป่า ยืนอยู่ข้างรั้ว ทอดสายตามองไปไกล มองก้อนเมฆขาวที่อยู่ห่างไกลบนฟ้าสีครามสูง
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ท่านปู่ชุยสอนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ เคยกล่าวว่าอาจารย์พ่อผายลมสุนัขของเจ้าคนนั้น คุณสมบัติในการเรียนวรยุทธห่วยมาก แล้วยังกล้าเกียจคร้านในการฝึกหมัด แบ่งสมาธิไปฝึกฝนเวทกระบี่อะไรให้เหนื่อยยาก วรยุทธบนร่างของข้าผู้อาวุโสนี้ แค่อาศัยเฉินผิงอันคนเดียวให้มาช่วยสร้างศักดิ์ศรีหน้าตา เกินครึ่งคงไม่ต้องหวัง ยากมากเลยละ ดังนั้นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ของเขาก็อย่าอยู่นิ่งเฉย ไม่อาจเกียจคร้านได้ ผู้ฝึกยุทธฝึกหมัดสอดคล้องกับการศึกษาหาวิชาความรู้ เรียบง่ายมาก ก็แค่เน้นย้ำในคำว่า ‘สามวันล้วนมานะหมั่นเพียร’ เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้! ดังนั้นหลังจากเจ้าเผยเฉียนออกไปจากเรือนไม้ไผ่แล้วก็ต้องมีแรงใจเล็กๆ เฮือกนั้นอยู่ตลอดเวลา วันหน้าต้องสอนให้ผู้ฝึกยุทธของไพศาลได้รู้ว่าอะไรคือ…หมัดแห่งใต้หล้ามาจากภูเขาลั่วพั่ว!
ได้พบเจอกับอาจารย์พ่อ ชีวิตของนางก็เหมือนฤดูหนาวที่อากาศเย็นหนาวเหน็บมีคนมอบวสันต์ฤดูมาให้จากบนฟ้า
หนิงเหยาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเผยเฉียน ใช้ปราณกระบี่สร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมา ถามเบาๆ ว่า “ในเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว นี่เป็นเรื่องดี ทำไมถึงไม่บอกอาจารย์พ่อของเจ้า?”
เผยเฉียนเขินอาย เอ่ยอย่างคนใจฝ่อว่า “อาจารย์พ่อบอกว่าตะกละกินมากย่อมเคี้ยวไม่ละเอียด อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ที่ดีในการฝึกกระบี่อะไร”
ดังนั้นหลายปีมานี้เผยเฉียนจึงไม่เคยฝึกกระบี่ คอยยึดมั่นในคำมั่นสัญญาของตัวเองกับท่านปู่ชุยอยู่ตลอด สามวันล้วนมานะหมั่นเพียร ฝึกหมัดไม่อาจเสียสมาธิวอกแวก เพราะถึงอย่างไรวิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้นก็เป็นแค่การเล่นสนุกตอนเด็กเท่านั้น ไม่อาจเอาจริงเอาจังได้
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยังไม่บอกเรื่องนี้กับอาจารย์พ่อเจ้าก็แล้วกัน”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
หนิงเหยาถาม “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเจ้า ตั้งชื่อไว้แล้วหรือยัง?”
เผยเฉียนหน้าแดงก่ำ ส่ายหน้า เพียงแต่เมื่อจิตเคลื่อนไหวก็เรียกกระบี่บินเล่มหนึ่งออกมาหยุดลอยอยู่ระหว่างนางกับหนิงเหยา ยาวประมาณสามชุ่น ฉายประกายคมกริบ
อันที่จริงมีชื่อแล้ว เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่กล้าบอกกับอาจารย์แม่เท่านั้น
ภายใต้การชักนำจากดวงจิตของเผยเฉียน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เดิมทีมีเล่มเดียวก็พลันแบ่งออกเป็นเจ็ดเล่ม เพียงแต่ว่าเล็กบางกว่าเดิม สีสันแตกต่างกันไป
หนิงเหยาเพ่งสายตามองก่อนพยักหน้าเอ่ยชมเชยว่า “สามารถอยู่ในอันดับหนึ่งของคฤหาสน์หลบร้อนได้เลย”
หนิงเหยาเอ่ยเตือนว่า “วันหน้ายามที่ต่อสู้กับคนอื่นอย่าเรียกกระบี่บินเล่มนี้ออกมาง่ายๆ”
เผยเฉียนพยักหน้าตอบตกลง
จากนั้นเผยเฉียนก็มีท่าทางลังเล
หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
เผยเฉียนจึงปลุกความกล้าถามว่า “อาจารย์แม่ เมื่อไหร่จะจัดงานเลี้ยงหรือ?”
หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ “เจ้าหมายถึงหลิวเสี้ยนหยางกับอวี๋เชี่ยนเยว่หรือ ยังไม่รู้เวลาที่แน่ชัด เจ้าลองถามอาจารย์พ่อของเจ้าดูสิ”
เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ได้ ข้าจะไปถามอาจารย์พ่อ!”
……
การประชุมของศาลบุ๋นสิ้นสุดลง ผู้ฝึกตนแยกย้ายกันจากไป
บนเรือข้ามทวีปของสกุลหลิวธวัลทวีปมีคนนอกเพิ่มเข้ามา หวังฟู่ซู่ผู้ฝึกยุทธเฒ่าของอุตรกุรุทวีป ก่อนหน้านี้ได้ต่อสู้กับอู๋ซูอริยะบู๊แห่งใบถงทวีปไปรอบหนึ่ง ถือว่าเสมอกัน
หวังฟู่ซู่รู้สึกว่าไม่มีหน้ากลับไปยังอุตรกุรุทวีป เขาก็เลยติดตามคู่อาจารย์และศิษย์ของศาลเหลยกงไปที่ธวัลทวีปด้วย ถึงอย่างไรอยู่บนเรือข้ามทวีปของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวลำนี้ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องกินอยู่ ไม่ต้องใช้เงิน
มารดามันเถอะ ชาวยุทธของอุตรกุรุทวีปอย่างพวกเรา ออกจากบ้านต้องอาศัยเงินด้วยหรือ? อาศัยแค่สหายเท่านั้นแหละ!
อีกอย่างอยู่กับแม่นางอาเซียงที่บอบบางมิอาจต้านลมแรง หวังฟู่ซู่ก็สามารถกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงแค่ใบหน้านั้น เรือนกายนั้นของหลิ่วสุ้ยอวี๋ มองแล้วสบายตาสบายใจอย่างมาก
หากตนอ่อนเยาว์กว่านี้สักสองสามร้อยปี รูปโฉมจะแย่ไปกว่าเพ่ยอาเซียงได้อย่างไร มีแต่จะดียิ่งกว่า มีกลิ่นอายของบุรุษมากกว่า คาดว่าแม่นางน้อยอย่างหลิวสุ้ยอวี๋ต้องถึงขั้นละสายตาไปมองที่อื่นไม่ได้เลยด้วย
หลังจากหวังฟู่ซู่ขึ้นเรือมาก็ไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็น เขาอัดอั้นมากจริงๆ การถามหมัดระหว่างตนกับอู๋ซูมีคนดูที่มีน้ำหนักแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง
เมื่อเทียบกับ ‘การช่วงชิงแห่งเขียวและขาว’ ‘ศึกแห่งเฉาและเฉิน’ ที่ตีกันจากสวนกงเต๋อไปถึงลานกว้างศาลบุ๋น แล้วค่อยไปตีกันบนฟ้าแล้ว
ไม่อาจเปรียบเทียบได้เลย
หนึ่งเพราะการประชุมของศาลบุ๋นสิ้นสุดลง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ต่างแยกย้ายกันไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายตีกันช้าไปหน่อย สถานที่ก็เลือกได้ไม่เสียสติเหมือนคนหนุ่มสองคนนั้น
นอกจากนี้หวังฟู่ซู่และอู๋ซูผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสองท่านนี้ เมื่อเทียบกับเฉาสือและเฉินผิงอันที่ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ แล้วก็อายุมากไปสักหน่อย
คนสามคนในห้องต่างเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หวังฟู่ซู่เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ต่อให้ข้าผู้อาวุโสต่อยอู๋ซูตาย ก็คงไม่มีชื่อเสียงเลื่องลือเท่าเฉินผิงอันที่แค่ต่อยให้เฉาสือหน้าบวม น่าโมโหจริงๆ! หากรู้อย่างนี้แต่แรกคงถามหมัดกับเจ้าเด็กนั่นที่สวนกงเต๋อสักครั้งแล้ว”
ยามดื่มเหล้า หลิ่วสุ้ยอวี๋ยกขานั่งไขว่ห้าง ปลายเท้ากระดกงอนเผยให้เห็นรองเท้าปักลายจะหลุดมิหลุดแหล่คู่นั้น นางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เป็นผู้เยาว์ที่ตาบอดหรือผู้อาวุโสที่สมองเลอะเลือนกันแน่ ไม่ใช่ว่าอู๋ซูเกือบจะต่อยท่านให้ตายหรอกหรือ?”
หวังฟู่ซู่ตบที่เท้าแขนเก้าอี้ เป่าหนวดถลึงตา “หากสู้กันสุดชีวิตจริงๆ ก็ต้องตายกันทั้งสองคน”
คำพูดประโยคนี้ของผู้ฝึกยุทธเฒ่ากลับไม่ได้คุยโว
——