กระบี่จงมา - ตอนที่ 719.2 ทำเอาใต้หล้าไพศาลตกใจสะดุ้งโหยง
พื้นที่มงคลรากบัวแห่งหนึ่งที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้แค่ไม่กี่ปี ตอนแรกก็เป็นเงินเทพเซียนที่เจียงซ่างเจินหามาได้ บวกกับฝนกระหน่ำที่ตกลงมาถึงสามครั้ง อยู่ดีๆ ก็เลื่อนเป็นคอขวดของพื้นที่มงคลระดับกลาง ราวกับว่าหากโยนเงินฝนธัญพืชลงไปอีกหนึ่งเหรียญก็จะกลายเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงได้อย่างไรอย่างนั้น หากเลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นพื้นที่มงคลรากบัวก็จะต้องมีผลประโยชน์มหาศาลที่ยากจะจินตนาการได้ถึง กลายเป็นจุดหักเหที่ทำให้ภูเขาลั่วพั่วเปลี่ยนจากขาดทุนเป็นกำไร
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดเหรียญทองแดงแก่นทองถึงได้มีมูลค่ามากกว่าเงินเทพเซียนสามชนิดอย่างฝนธัญพืช ร้อนน้อยและเกล็ดหิมะ
ไม่เพียงแค่หาได้ยาก อีกทั้งการสร้างขึ้นมาก็ยากยิ่งกว่า แต่เป็นเพราะเดิมทีเหรียญทองแดงแก่นทองก็สามารถนำมาหลอมเป็นปราณวิญญาณฟ้าดินที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดได้ ขณะเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยปราณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
เพียงแต่ว่าพอเว่ยป้อพูดถึงเรื่องที่จะเชิญให้เซียนกระบี่มาบุกเบิกขุนเขาสายน้ำ สร้างหน้าด่านขึ้น หมี่อวี้กลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วนทันใด อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วถูกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์เอ่ยเย้ยหยันว่า ‘อาศัยใบหน้าสังหารศัตรูห้าขอบเขตบน’ หรือ ‘อันดับหนึ่งของเซียนกระบี่หยกดิบ’ อะไรนั่น หมี่อวี้ยังไม่เคยรู้สึกกระอักกระอ่วนเท่านี้มาก่อน
เรื่องที่ถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลดำรงอยู่ด้วยกันจำเป็นต้องให้เซียนกระบี่บุกเบิกเส้นทาง ขณะเดียวกันยังต้องใช้ปราณกระบี่ค้ำยันฟ้าดินให้มั่นคง ดังนั้นการบุกเบิกและสร้างความมั่นคงให้กับใต้หล้าแห่งที่ห้า ทางฝั่งศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจึงต้องเชิญป๋ายเหย่ออกมาจากภูเขา ก็คือหลักการนี้
ปณิธานกระบี่ตื้นลึก เวทกระบี่สูงต่ำ รวมไปถึงปราณวิญญาณมากหรือน้อย ล้วนเป็นการทดสอบสำหรับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งทั้งสิ้น
แม้ว่าก่อนที่หมี่อวี้จะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ การพกกระบี่ปลิดชีพศัตรูของเขายามที่มีตบะเซียนดิน อันที่จริงล้วนถือเป็นคนอำมหิตที่อยู่บนเส้นทางเดียวกับพวกน่าหลันไฉ่ฮ่วน ฉีโซ่ว ถึงขั้นที่ต้องเรียกว่าเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา ดังนั้นอินเฉินผู้นั้นถึงได้มองหมี่อวี้แตกต่างไปจากคนอื่น เพียงแต่ว่าปีนั้นหมี่อวี้ไม่สนใจการที่ถูกอินเฉินมองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากที่หมี่อวี้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว พออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็กลายเป็นว่าไม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปในทันที ถึงขั้นที่ว่ายังอยู่รั้งท้ายในกลุ่มของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอีกด้วย หมี่อวี้จึงเคยเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกับเซียนกระบี่ทรยศเลี่ยจี่ผู้นั้น
หมี่อวี้ไม่กล้าพูดอะไรเหลวไหลกับเรื่องที่เกี่ยวพันกับกิจการใหญ่พันปีของภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ในใจนึกเสียดายที่ตอนนั้นป๋ายเหย่มาเป็นแขกบนภูเขาลั่วพั่วแล้วจูเหลี่ยนดันไม่อยู่บนภูเขา
ขนาดหมี่อวี้ยังทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอริยะหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน ต่อให้สามารถเชื่อใจได้ ก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่
ดังนั้นความคิดของเว่ยป้อก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญให้สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่มาช่วยเหลือ
หมี่อวี้ดื่มเหล้าดับทุกข์หนึ่งคำ พอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนว่าตนจะทำอะไรเป็นการเป็นงานไม่สำเร็จเลยสักเรื่อง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “หากเซียนกระบี่จั่วอยู่ก็ดีน่ะสิ”
เว่ยป้อกล่าวอย่างจนใจ “ทุกวันนี้อาจารย์จั่วอยู่ที่ใบถงทวีป รอบทิศล้วนมีแต่ศัตรูแข็งแกร่ง ไม่มีทางปรากฏตัวได้แน่นอน”
ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องวางพักไว้ก่อนชั่วคราว
ถึงอย่างไรก็สามารถรอให้พื้นที่มงคลรากบัวเลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงได้เสียก่อน พื้นที่มงคลกับถ้ำสวรรค์เล็กบ่อโบราณเชื่อมโยงถึงกัน ไม่ใช่กิจเร่งด่วนอะไร
ในเมื่อร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปร้อนใจดีกว่า
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วขยับปากหยับๆ เหล้าดีๆ คราวหน้าจะขอจากเว่ยซานจวินมาอีกสักหลายสิบกา จากนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “มีสหายฉางมิ่งอยู่บนภูเขา ช่างเป็นความโชคดีของภูเขาลั่วพั่วเราจริงๆ”
เหวยเหวินหลงก็ยิ่งตาเป็นประกาย พยักหน้ารับอย่างแรง ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง พอสหายฉางมิ่งมาถึงภูเขาลั่วพั่ว โชคด้านเงินทองของพวกเราก็ดีเยี่ยม ไม่ว่าเรื่องไหนที่ชวนให้ลำบากใจ กลับกลายเป็นว่าสามารถรับมือได้อย่างสบายๆ เหลือแหล่ในทันที…ทำเอาข้าแทบจะดีดลูกคิดไม่เป็นแล้ว!”
เว่ยป้อกล่าว “การประชุมคราวหน้า สามารถเรียกสหายฉางมิ่งมาร่วมด้วยได้”
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยว่า “แน่ใจหรือว่าเชื่อใจนางได้?”
เว่ยป้อกล่าว “ทั้งมีจดหมายลับจากเจ้าขุนเขา และสหายฉางมิ่งก็มีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ ถึงได้ไปเยือนใบถงทวีปมารอบหนึ่งเพื่อขอของแทนตัวจากอาจารย์จั่วมาชิ้นหนึ่ง”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เป็นเพราะคุณชายของข้ากังวลว่าพวกเราจะไม่เชื่อใจสหายฉางมิ่ง ถึงได้ทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเช่นนี้”
หมี่อวี้รู้สึกว่าในที่สุดฟ้าดินเล็กๆ ของตนแม่งก็ได้เวลาปรากฏตัวสักที จึงรีบกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ พูดด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวาว่า “ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน แต่ไหนแต่ไรมาใต้เท้าอิ่นกวานก็คิดคำนวณทุกเรื่องอย่างรอบคอบ นี่เป็นเรื่องที่ทั้งคฤหาสน์หลบร้อนและเรือนชุนฟานต่างก็ให้การยอมรับโดยทั่วกัน คนที่ถูกใต้เท้าอิ่นกวานจัดการกับจิตใจมาก่อน มีใครบ้างที่ไม่ใช่พวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ สุดท้ายแต่ละคนก็ต้องยอมศิโรราบทั้งกายและใจไม่ต่างกัน เป้าหมายในการเล่นงานของใต้เท้าอิ่นกวานมีเพียงแค่หัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ถูกบั่นหล่นลงบนมหาสมุทรซะเมื่อไหร่?!”
เหวยเหวินหลงก้มหน้าดื่มเหล้า ในที่สุดเซียนกระบี่หมี่ก็ยืดอกตรงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้ว ไม่ง่ายเลยจริงๆ
จูเหลี่ยนชูจอกเหล้า “มาดื่มกับเซียนกระบี่หมี่สองจอก หนึ่งจอกถือเป็นสุราเลี้ยงต้อนรับ อีกหนึ่งถือว่าดื่มเพื่อคุณชายของข้า เพื่อใต้เท้าอิ่นกวานของเซียนกระบี่หมี่”
หมี่อวี้รีบรินเหล้าเต็มจอกแล้วดื่มหมดก่อนใคร จากนั้นก็เทอีกจอก เพียงแต่ว่าเทได้แค่ครึ่งจอกเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรการประชุมในวันนี้ก็มีเพียงเขาที่พูดน้อย ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ดื่มเหล้าให้มากหน่อยแล้ว
จูเหลี่ยนที่ชูจอกขึ้นเรียบร้อยแล้วรีบหันมาบ่นทันที “พี่เว่ย เหล้าล่ะ? ให้เซียนกระบี่หมี่ดื่มได้แค่ครึ่งจอก มันเข้าท่าแล้วหรือ?”
เว่ยป้อเหล่ตามองเขา เจ้าพ่อครัวเฒ่าตัวดี นี่คงคิดคำนวณไว้เรียบร้อยแล้วสินะ? ดังนั้นบนโต๊ะจึงมีเหล้าหมักตระกูลเซียนเพิ่มมาอีกสี่กา
จูเหลี่ยนเอ่ยว่า “เว่ยซานจวินมีหน้าเก็บเงินค่าเหล้า ข้าก็มีหน้าไม่จ่าย!”
เหวยเหวินหลงพลันค้นพบว่าพอ ‘พ่อครัวเฒ่า’ ผู้นี้มาถึงภูเขาลั่วพั่ว ขนบธรรมเนียมก็เปลี่ยนไปเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยได้อีกเท่าตัว เหมือนกับปีนั้นที่อยู่เรือนชุนฟาน ช่วงเวลาที่มีเพียงตน เยี่ยนหมิง และน่าหลันไฉ่ฮ่วนอยู่ในห้องคิดบัญชี บรรยากาศย่อมอุดอู้ชวนอึดอัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้หมี่อวี้เองก็นั่งเหม่ออยู่บนธรณีประตูด้วย ทว่ามีเพียงอิ่นกวานหนุ่มปรากฏตัวเท่านั้น ทุกอย่างถึงจะต่างออกไปทันที อันที่จริงอิ่นกวานไม่เคยจงใจพูดจาแบบใด เพียงแค่พูดคุยไปตามธรรมชาติ ทำเรื่องที่เป็นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จเท่านั้น เหวยเหวินหลงไม่คิดจะเลียนแบบอิ่นกวาน เพราะเรียนรู้เอามาไม่ได้
จูเหลี่ยนเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าจะไปเจอกับสหายฉางมิ่งก่อน คุยกันก่อนสักสองสามคำ แล้วค่อยตัดสินใจว่าการประชุมคราวหน้าควรจะเรียกนางมาด้วยหรือไม่”
เรื่องที่สี่คือเว่ยป้อหยิบเอาม้วนภาพวาดสามม้วนออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบกลับคืนให้จูเหลี่ยน
ส่วนเรื่องวงในของเรื่องนี้ เว่ยป้อไม่คิดจะพูดกับเหวยเหวินหลงมากเกินความจำเป็น
ใครได้ครอบครองม้วนภาพทั้งสามก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นได้ครอบครองชีวิตและมหามรรคาของคนทั้งสามในภาพวาดอย่างหลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนและสุยโย่วเปียน
ภาพทั้งสามนี้จูเหลี่ยนเป็นฝ่ายนำไปมอบให้เว่ยป้อก่อนที่ตัวเองจะเดินทางไปยังนครลมเย็น ให้เว่ยซานจวินช่วยจับตามองความผิดปกติของม้วนภาพ หลีกเลี่ยงไม่ให้มีใครบางคนตายไปแล้วเป็นนานก็ยังไม่กลับคืนมา
เฉินผิงอันยินดีจะเชื่อใจจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนก็ย่อมไม่ทำให้ความเชื่อใจที่คุณชายของตนมีให้ต้องสูญเปล่า
อันที่จริงบนมือของเว่ยป้อยังมีม้วนภาพที่สี่ ถือเป็น ‘วัตถุแห่งชะตาชีวิต’ ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจูเหลี่ยน ขณะเดียวกันก็เป็น ‘ตะเกียงต่อชีวิต’ ของเขาด้วย
ซึ่งม้วนภาพนี้เป็นเฉินผิงอันที่มอบให้เว่ยป้อก่อนที่จะออกเดินทางไกล เก็บไว้ในคลังซานจวินของภูเขาพีอวิ๋น อีกทั้งแรกเริ่มเขาก็ได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนทั้งสองแล้ว
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เชื่อใจจูเหลี่ยน เพียงแต่ว่ากฎก็คือกฎ นี่คือข้อแรก ข้อที่สองก็คือทำเช่นนี้กับจูเหลี่ยนจะไม่สามารถอธิบายกับอีกสามคนที่เหลือได้ การที่ม้วนภาพของคนทั้งสามอยู่ในมือของจูเหลี่ยน นั่นเป็นเพราะจูเหลี่ยนคือผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่ว ส่วนอีกสามคนที่เหลือมีสถานะแตกต่างออกไป ม้วนภาพของจูเหลี่ยนจึงจำเป็นต้องอยู่ในมือของเฉินผิงอันผู้เป็นเจ้าขุนเขา บนภูเขาลั่วพั่ว ต่างคนต่างมีมหามรรคา ใกล้ชิดห่างเหินมีความต่าง นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ว่าไม่ควรทำให้เกินกว่าเหตุ ยกตัวอย่างเช่นแน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องลำเอียงเข้าข้างแม่นางน้อยสามคนอย่างเผยเฉียน หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยมากกว่า สำหรับเฉินยวนจี หยวนไหล หยวนเป่าย่อมห่างเหินกว่าเล็กน้อย ทว่ากฎภูเขาสำหรับการสืบทอดบนภูเขาลั่วพั่วทั้งหมด มีเป็นกรอบเป็นข้อ หลักการเหตุผลแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ตายตัว ยกตัวอย่างเช่นในอนาคตหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับการมอบโชควาสนา การแบ่งวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินและการที่ผู้อาวุโสลงภูเขาไปปกป้องมรรคาให้แก่เด็กรุ่นหลัง ทุกอย่างล้วนอิงตามกฎของภูเขา เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลั่วพั่วเป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขา ก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้
เรื่องที่ห้า ถึงจะเป็นเรื่องของการย้ายแคว้นหูนครลมเย็นมาที่นี่ ควรจะต้องเอาไปจัดวางไว้ที่ได้
จูเหลี่ยนบอกให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างเต็มที่
อันที่จริงหมี่อวี้นั้นทำหน้าที่ดื่มเหล้ารับฟังอยู่ด้านข้าง คร้านจะใช้สมอง ต่อให้ฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าใช้ความคิดในหัวก็ดูเหมือนว่าหัวสมองของเขาจะแล่นไม่ดีเท่าอาจารย์จูเหลี่ยนและซานจวินใหญ่เว่ย คิดไปคิดมาก็อย่าอวดเก่งจะดีกว่า
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัดเลยนะ
ในอนาคตเมื่อใต้หล้าสงบสุข วิถีทางโลกไม่วุ่นวายอีกต่อไปแล้ว ภูเขาลั่วพั่วเริ่มลงมือทำเรื่องบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ นั่นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาอันดีงามที่ข้าหมี่อวี้จะได้แสดงฝีมือ สร้างคุณความชอบสร้างกิจการได้อย่างเต็มที่!
สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันเป็นกลุ่ม ถึงเวลานั้นค่อยลากเอาซานจวินเว่ยป้อ ผู้ถวายงานโจวเฝยและยังมีลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวานอย่างชุยตงซานมาทำด้วยกัน!
ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับบุญคุณความแค้นระหว่างภูเขาลั่วพั่วและสกุลซ่งต้าหลี แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยป้อก็มักพูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมาเสมอ เขาบอกความเห็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่ากลัวนครลมเย็น กลัวสวี่หุนผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหยกดิบอะไรนั่น แต่เป็นเพราะคิดจะงัดข้อกับนครลมเย็นด้วยอารมณ์ ไม่มีความหมายใด ไม่อย่างนั้นหากคิดจะตีฆ้องร้องป่าวเฉลิมฉลองที่ได้แคว้นหูมา เอามันไปตั้งรกรากไว้บนภูเขาใต้อาณัติลูกใดของภูเขาลั่วพั่ว จะเป็นภูเขาฮุยเหมิงหรือภูเขาหวงหู ทำไมจะทำไม่ได้เล่า? กลัวว่าสวี่หุนจะตามมาเอาเรื่องถึงหน้าบ้านจริงๆ หรือ? เล่นงานให้เจ้านครสวี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ไม่กี่วันหน้าบวมจมูกเขียวกลับบ้าน จะมีความหมายอะไร ทุกวันนี้สถานการณ์วุ่นวายถึงเพียงนี้ ในทางส่วนตัววางแผนอย่างไรคือเรื่องหนึ่ง ภายนอกขัดแย้งกันเองกลับไม่ค่อยเหมาะสม หรือว่าจะเลียนแบบภูเขาตะวันเที่ยงที่ไปถามกระบี่กับสวนลมฟ้า?
จูเหลี่ยนถูมือพยักหน้า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าเว่ยซานจวินมองการณ์ไกล มีมาดของปัญญาชน สวรรค์ย่อมโปรดปราน…
หมี่อวี้ผิดหวังนิดๆ แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก ได้แต่ดื่มเหล้าแล้วก็ดื่มเหล้า
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าของภูเขาตะวันเที่ยงที่ปิดด่านไปร้อยปีกว่าจะฝึกได้ขอบเขตหยกดิบก็ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งโหยงไปรอบหนึ่งแล้ว มารดามันเถอะ ตอนนี้ดันมามีใต้เท้าเจ้านครห้าขอบเขตบนที่พลังพิฆาตโดดเด่นอีกหรือ?
หมี่อวี้ควักเมล็ดแตงกำมือหนึ่งออกมาตามจิตใต้สำนึก พอเห็นว่าจูเหลี่ยนและเว่ยป้อต่างก็หันมามองเขา หมี่อวี้จึงหดมือกลับไปในชายแขนเสื้อ คิดไม่ถึงว่าจะโดนจูเหลี่ยนด่าขำๆ แล้วซานจวินยังเอ่ยคล้อยตาม หมี่อวี้ถึงได้แบ่งเมล็ดแตงให้กับอีกสามคน ทุกวันนี้แม้แต่เหวยเหวินหลงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นแล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้เหวยเหวินหลงไม่มีงานอดิเรกเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่มิอาจต้านทานหมี่ลี่น้อยที่ติดตามหน่วนซู่ไปเก็บกวาดเช็ดถูห้องบัญชีในแต่ละครั้งได้ หมี่ลี่น้อยไม่ได้ข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยพลการ ทุกครั้งเพียงแค่ยืนพูดประโยคหนึ่งอยู่หน้าประตู เถ้าแก่เหวยเหนื่อยหรือไม่ แทะเมล็ดแตงสักหน่อยไหม? พอถึงภายหลัง จำนวนครั้งเพิ่มมากเข้า เหวยเหวินหลงก็รู้สึกอดใจไม่ไหว คิดไม่ถึงว่าพอได้แทะไปครั้งหนึ่งกลับติดใจ หลังจากนั้นทุกค่ำคืนที่ผู้คนพากันนอนหลับไปหมดแล้ว เมล็ดแตงคู่กับเหล้าก็ให้รสชาติที่แตกต่างไปอีกแบบ
ก่อนหน้านี้ฟังรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับแคว้นหู ภูตจิ้งจอกที่ขอบเขตต่างกันมีอยู่หลายตน ถ้ำสถิตตระกูลเซียนที่ระดับขั้นไม่เท่ากันก็มีอยู่หลายแห่ง เหวยเหวินหลงที่นับนิ้วคิดคำนวณไปพร้อมกับคิดเลขในใจอยู่ตลอดเวลาหยุดความเคลื่อนไหวบนมือลง พลันเอ่ยว่า “ตามลักษณะนิสัยของใต้เท้าอิ่นกวาน เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะต้องถามความเห็นของเพ่ยเซียงก่อน หากมีความเห็นต่างกัน ทั้งสองฝ่ายก็ต้องอธิบายเหตุผลกันให้ชัดเจนเสียก่อน ไม่ว่าจะผลได้ผลเสียก็ล้วนต้องถกกันให้กระจ่าง แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
อันที่จริงทั้งสองต่างก็กำลังรอคอยประโยคนี้อยู่
เหวยเหวินหลงไม่ได้ทำให้คนผิดหวัง
หากท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ดูแลเรื่องเงินทองคนหนึ่งเอาแต่จับจ้องเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่ตลอดเวลา ฟ้าดินกว้างใหญ่แต่เงินใหญ่ที่สุด อยู่บนภูเขาลูกอื่นบางทีอาจเหมาะสมอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วกลับยังคงไม่เพียงพอ
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีถามว่า “เทพแห่งโชคลาภเหวย ถ้าอย่างนั้นเกี่ยวกับเรื่องของยันต์หนังจิ้งจอกที่ทำเงินได้ดีที่สุดของแคว้นหู ตามความเห็นเจ้าควรจะจัดการอย่างไรเล่า?”
เหวยเหวินหลงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ขยับปากทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “เจ้าแสดงความคิดเห็นในใจออกมาได้เต็มที่ คำพูดที่ถูกต้อง คำพูดที่ดี คำพูดที่โง่เขลาหรือคำพูดที่ผิด ล้วนพูดได้หมด กลัวก็แต่ว่าใจคนมีหนังท้องกั้นอยู่ นานวันเข้าจะทำให้เส้นทางบนใจคนเกิดทางแยกทำให้ต้องเดินกันไปคนละทางแล้ว”
เหวยเหวินหลงถึงขั้นมีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก
หมี่อวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เหวยเหวินหลงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “สกุลสวี่นครลมเย็นแสวงหาความร่ำรวยโดยไม่สนใจเรื่องคุณธรรม แน่นอนว่าไม่ควรเอาอย่าง แต่หากภูเขาลั่วพั่วของพวกเราเดินไปบนทางสุดโต่งอีกทางหนึ่ง จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแน่หรือ? ดังนั้นตามความเห็นของข้า ต้นกำเนิดของวัสดุในการทำยันต์หนังจิ้งจอกสามารถลดจำนวนลงได้ แต่ไม่ควรจะตัดขาดไปในทันทีเพียงแค่หวังช่วงชิงชื่อเสียงของความมีคุณธรรมมาจากเพ่ยเซียงเจ้าแคว้นหูรวมไปถึงภูตจิ้งจอกทุกตนของที่นั่น เพราะหากทำเช่นนี้ ใจคนจะต้อง…ได้คืบแล้วเอาศอก! จะชอบใช้สัจจะคุณธรรมมากดภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา! จุดยืนของเพ่ยเซียงก่อกำเนิด ถึงอย่างไรก็คือจุดยืนของแคว้นหู ไม่ช้าก็เร็วเมื่อผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์หนาหู เพ่ยเซียงผู้นั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเปลี่ยนจากความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณซึ่งเป็นปลายทางด้านหนึ่ง ค่อยๆ เดินไปสู่ปลายอีกด้านหนึ่ง กลายเป็นคนเนรคุณไม่รู้คุณคน! ความอาฆาตแค้นในใจของนางจะทำให้นางเกลียดชังภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่น้อยไปกว่าที่เคยเกลียดนครลมเย็นเลย!”