กระบี่จงมา - ตอนที่ 587.2 ดื่มเรื่องโสมมในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้น
ลั่วซานเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “คนชั่วก็ควรต้องถูกคนชั่วเคี่ยวเข็ญ เคี่ยวเข็ญจนพวกเขาเสียใจภายหลังที่ทำชั่ว พูดอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงอะไรจริงๆ นั่นแหละ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างจะด่าต่งซานเกิงก็ยังได้ ขอแค่ต่งซานเกิงไม่ถือสาก็พอ แต่หากต่งซานเกิงลงมือ แน่นอนว่าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันผู้นั้นกำลังรอให้คนอื่นไปหาเรื่องเขา หากหวงโจวรู้กาลเทศะ ตอนที่เห็นกระดาษแผ่นแรกก็ควรหยุดแต่พอสมควรได้แล้ว จะใช่สายของเผ่าปีศาจหรือไม่ สำคัญนักหรือ? ตัวเองโง่เขลาก็อย่าโทษหากคนอื่นลงมือหนักเกินไป ส่วนเฉินผิงอันผู้นั้น เขาเห็นตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองกระบี่แล้ว? พูดจาโอ้อวดไม่รู้จักละอาย! ศึกใหญ่ทางทิศใต้คราวหน้า ข้าจะให้คนคอยบันทึกขั้นตอนการต่อสู้ของเฉินผิงอันโดยเฉพาะเลยล่ะ”
จู๋อานพูดหน้าเคร่ง “เรื่องแบบนี้เจ้าลั่วซานพูดให้น้อยหน่อยเถอะ”
เซียนกระบี่หญิงลั่วซานพอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคู่สามีภรรยาของจวนหนิงอยู่บ้าง เพราะในอดีตเคยทะเลาะกันมาก่อน
ส่วนคำพูดประโยคนี้ของลั่วซานก็ไม่ถือว่าเป็นการช่วยพูดแทนเฉินผิงอัน อย่างมากสุดก็แค่โบยไม้ใส่ฝ่ายละห้าสิบที (คือการลงโทษอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นการปฏิบัติเท่าเทียมกันต่อทั้งสองฝ่าย ความหมายคือให้ทั้งสองฝ่ายแบกรับความรับผิดชอบเท่าๆ กัน) เท่านั้น เพียงแต่ว่าไม้ครึ่งหนึ่งนั้นโบยใส่ศพของคนตาย
หวังไจ่มาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เจ็ดแปดปีแล้ว เคยเข้าร่วมศึกใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ไม่ได้เข้าร่วมการเข่นฆ่าสักเท่าไร จะรับหน้าที่คล้ายอาจารย์กระบี่ที่ตรวจตรากองทัพ คอยบันทึกผลงานการต่อสู้ในสนามรบมากกว่า ใต้เท้าอิ่นกวานบอกแล้ว ในเมื่อเป็นวิญญูชน ก็แสดงว่าต้องมีวิชาความรู้อยู่เต็มท้อง อีกทั้งเนื้อหนังยังอ่อนนุ่มบอบบางเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปตีรันฟันแทงกับใครเลย ตอนนั้นหวังไจ่โมโหไม่น้อย แต่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับอริยะลัทธิขงจื๊อแล้วก็ยังไร้ผล
ลั่วซานหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นความเห็นของเซียนกระบี่จู๋อานคืออะไรล่ะ? จะให้เรียกเฉินผิงอันมาถามไหม? เขาคือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ที่วิชากระบี่เลิศล้ำคอยมองอยู่ที่หัวกำแพงเมืองเชียวนะ”
สีหน้าของจู๋อานมืดทะมึน
เพราะตามกฎแล้ว แน่นอนว่าต้องถาม
ทว่าคนหนุ่มผู้นั้นวางตัวได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดก็ล้วนรัดกุมไร้ช่องโหว่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังมีที่พึ่งใหญ่ปานนั้น
หวังไจ่เอ่ย “เหวินเซิ่งไม่ใช่เหวินเซิ่งมานานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ การกระทำก็ควรจะยิ่งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ไม่ควรฆ่าคนตามอำเภอใจ ต่อให้อาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋นมานานแล้วผู้นั้นอยู่ด้วย ข้าก็จะยังพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากเซียนกระบี่ทั้งสองท่านไม่สะดวกจะออกหน้า ก็สามารถยกเรื่องนี้ให้ผู้น้อยเป็นคนไปถามเฉินผิงอันได้”
จู๋อานถาม “สถานที่ที่จะสอบถาม คือที่นี่ หรือว่าจวนหนิง?”
หวังไจ่ฟังออกถึงความนัยในคำพูดของเซียนกระบี่ท่านนี้ จึงถอยมาเลือกลำดับรองด้วยการเอ่ยว่า “ข้าสามารถไปเยี่ยมเยือนถึงจวนพวกเขา ไม่ทำให้เฉินผิงอันต้องรู้สึกลำบากใจมากเกินไป”
ลั่วซานกระตุกมุมปาก “แบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าก็กลัวว่าเท้าหน้าของเฉินผิงอันเพิ่งจะมาถึงคฤหาสน์ เท้าหลังของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วก็ตามมาติดๆ แล้ว”
ผังหยวนจี้ถอนหายใจ เก็บกาเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวงโจวจะใช่หมากที่เผ่าปีศาจวางไว้หรือไม่ ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปอาจจะยังสับสน แต่พวกเราจะยังไม่รู้อีกหรือ?”
หวังไจ่เอ่ย “ข้าก็แค่ว่าไปตามเนื้อผ้า หวงโจวผู้นี้มีชื่อเสียงที่ดีอยู่ในตรอกต้าอวี่หลิ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บันทึกการเข่นฆ่าในสนามรบของเขา ข้าได้อ่านมาอย่างละเอียดแล้ว ซึ่งตัวเขาก็คู่ควรกับคำประเมินว่าทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ขอข้าพูดประโยคไม่น่าฟังสักคำ ผู้ฝึกกระบี่อย่างหวงโจวนี้ แม้ว่าขอบเขตจะไม่สูง สังหารศัตรูไปไม่มาก แต่กลับเป็นรากฐานในการหยัดยืนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แม้แต่จะทำให้พอเป็นพิธีสักนิดก็ยังไม่ทำ ข้าก็กล้าแน่ใจเลยว่า มีแต่จะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปหลายคนรู้สึกเสียขวัญกำลังใจ แยกแยะการลงโทษและการให้รางวัลอย่างชัดเจนก็คือกฎเหล็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทำไม เป็นลูกศิษย์ของอริยะ เป็นศิษย์น้องของเซียนกระบี่ใหญ่แล้วก็ร้ายกาจมากนักหรือ?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หวังไจ่ที่มีสีหน้าหนักแน่นก็มองไปยังเซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซาน เวลานี้บนร่างของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อมีพลังอำนาจของคำกล่าวที่ว่าแม้คนนับพันนับหมื่นจะขัดขวาง ข้าก็ยังบุกรุดไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญอยู่
ใต้เท้าอิ่นกวานลืมตาขึ้น มายืนอยู่ริมขอบของเก้าอี้แล้วโยกตัวไปมาหน้าทีหลังทีเหมือนตุ๊กตาล้มลุก นางไม่คิดจะหันไปมองบัณฑิตผู้นั้นแม้แต่น้อย เพียงพูดอย่างเกียจคร้านว่า “คนอย่างหวงโจวผู้นี้ หากในนครมีหนึ่งหมื่นคน ข้าสังหารไปแค่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คงด่าว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว แล้วก็คงต้องลงโทษไม่ให้ข้าดื่มเหล้าไปนานอีกกี่ปีกี่ปีกี่ปี”
หลังจากที่นางเปิดปากพูด
เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซานต่างก็พากันลุกขึ้นยืน
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งท่าเงี่ยหูราวกับรอฟังพระราชโองการอย่างไรอย่างนั้น
ใต้เท้าอิ่นกวานยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังหาวหวอด “เพราะสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง สมองของพวกเจ้าก็เลยกระทบกระเทือนจนใช้การไม่ได้แล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็กินข้าวเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ อย่าเอาแต่ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่แล้วก็ฝึกกระบี่ เพราะง่ายที่จะฝึกจนสมองเสียหาย พวกเจ้ายังถือว่าดี ส่วนคนบางคนที่เรียนหนังสือจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว ข้าคงช่วยไม่ได้หรอก”
สีหน้าของวิญญูชนหวังไจ่เป็นปกติ
ใต้เท้าอิ่นกวานยังคงพยักหน้าพูดอยู่กับตัวเอง “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบเฉินผิงอันผู้นั้น แต่เวลานี้พอเอามาเปรียบเทียบดูกลับรู้สึกว่ามองเขาแล้วสบายตาขึ้นมาก เฮ้อ นี่เพราะอะไรกันนะ? เพราะอะไรกันนะ?”
นางชี้ไปที่ลั่วซาน “ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”
ลั่วซานยิ้มกล่าว “เพราะคืนนี้พระจันทร์สวย”
ใต้เท้าอิ่นกวานพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
หวังไจ่ยืนนิ่งไม่ขยับ
ใต้เท้าอิ่นกวานรู้สึกนับถือหนังหน้าของพวกบัณฑิตเหล่านี้จริงๆ จึงหันไปขยิบตาให้จู๋อาน ฝ่ายหลังจึงเริ่มหาข้ออ้างพาหวังไจ่ออกไปจากห้องโถงที่ปรึกษางานทันที
และลั่วซานก็พาผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นจากมาด้วย
จึงเหลือแค่อาจารย์และศิษย์สองคน
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “อาจารย์ สายของหย่าเซิ่งเกลียดชังสายของเหวินเซิ่งขนาดนี้เลยหรือ?”
ใต้เท้าอิ่นกวานกวักมือเรียก ผังหยวนจี้จึงเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ไท่ซือตัวนั้น ผลกลับถูกใต้เท้าอิ่นกวานจับแก้มแล้วบิดเต็มแรง “หยวนจี้ เจ้านี่แหละที่ถือว่าฝึกกระบี่จนหัวสมองเลอะเลือนมากที่สุด!”
ยามอยู่กับอาจารย์สองคน ผังหยวนจี้ก็ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาสลัดหลุดจากมือเล็กๆ ของใต้เท้าอิ่นกวาน นวดคลึงแก้มของตัวเองแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “อาจารย์โปรดไขข้อข้องใจให้ด้วย”
ใต้เท้าอิ่นกวานเหลือกตามองบน “เหตุใดข้าถึงได้มีลูกศิษย์โง่ๆ แบบนี้ได้นะ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหวังไจ่กำลังตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเฉินผิงอัน? เขากำลังจับพวกเรามัดรวมกันเพื่อให้ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเฉินผิงอันต่างหาก เรื่องง่ายๆ แค่นี้เจ้าก็ยังมองไม่ออกอีกหรือ? แต่ข้าจะไม่ให้เขาสมใจหวังหรอก ถึงอย่างไรเฉินผิงอันผู้นั้นก็เป็นพวกฉลาดทันคน เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”
ผังหยวนจี้ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้ารับ ขณะเดียวกันก็อดเดือดดาลไม่ได้ เจ้าหวังไจ่ผู้นี้ถึงขั้นกล้าใช้อุบายกับอาจารย์ของตนเชียวหรือ?
ใต้เท้าอิ่นกวานโบกมือ “นี่จะนับเป็นอะไรได้ เห็นได้ชัดว่าหวังไจ่กำลังสงสัยตระกูลต่ง แล้วก็สงสัยข้าด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือ นอกจากเฉินชิงตูและอริยะของสามฝ่ายที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้แล้ว ไม่ว่าตระกูลใหญ่ตระกูลใด หวังไจ่ก็รู้สึกกังขาทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นใต้เท้าอิ่นกวานอย่างข้า หวังไจ่ก็สงสัยเหมือนกัน เจ้าคิดว่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่แพ้ให้ข้าคนนั้นเป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันหรือไร หลังจากที่ตัวเองต้องคอตกไปจากที่นี่ จะยัดคนโง่คนหนึ่งเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อให้ตัวเองขายหน้าอีกครั้งหรือ?”
ผังหยวนจี้ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เรื่องพวกนี้ข้าไม่เชี่ยวชาญเลย”
ใต้เท้าอิ่นกวานยกสองมือทำมุทรากระบี่แล้วโบกสะบัดส่งเดช พลางเอ่ยว่า “เจ้าจะเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ไปทำไม? เจ้าก็คือใต้เท้าอิ่นกวานคนถัดไปแน่นอนอยู่แล้ว ออกกระบี่สวบๆๆ พรวดๆๆ แล้วสามารถฆ่าคนตายได้ก็พอแล้ว”
ผังหยวนจี้กล่าว “ทีอาจารย์ยังเชี่ยวชาญมากเลยไม่ใช่หรือ?”
นางเอ่ย “ก็ข้าคืออาจารย์ของเจ้านี่นา”
ผังหยวนจี้พยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
ใต้เท้าอิ่นกวานยกเท้าขึ้นถีบ “เจ้าคนหน้าด้าน พูดจาเลียนแบบข้ารึ? เอาเงินมา! หรือจะเอาเหล้ามาใช้หนี้แทนก็ได้!”
ผังหยวนจี้โยนเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งไปให้ ใต้เท้าอิ่นกวานจึงเก็บไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ นางแอบสะสมเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อยเหมือนมดย้ายรัง ตอนนี้นางไม่สามารถดื่มได้ แต่นางสามารถเก็บไว้ก่อนได้นี่นา
……
ช่วงปลายปี หนิงเหยาถามเฉินผิงอันว่าทำไมถึงไม่เตรียมกลอนคู่ ภาพเทพทวารบาล ปีนั้นตอนที่อยู่ในเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจู หนิงเหยาเดินผ่านเรือนหลังต่างๆ แล้วก็ให้รู้สึกว่ามีกลิ่นอายความเป็นมงคลอย่างยิ่ง จึงคิดถึงความรู้สึกนั้นขึ้นมา
เฉินผิงอันยิ้มถามว่า แล้วที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีของพวกนี้ขายด้วยหรือ? หนิงเหยาจึงบอกว่าเจ้าก็สามารถเขียนเอง วาดเองได้นี่นา
เฉินผิงอันจึงบอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ไม่จำเป็นต้องจงใจพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้
หนิงเหยาจึงเริ่มมีโทสะเล็กน้อย บอกว่าจะไปสนทำไมว่าพวกเขาคิดอะไร
เฉินผิงอันกลับบอกว่าต้องสนสิ
หนิงเหยาจึงเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว เฉินผิงอันจึงอธิบายเหตุผลให้นางฟังอย่างละเอียด สุดท้ายบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เขายังอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกนาน ไม่แน่ว่าวันหน้าเขาอาจมีโอกาสได้ขายกลอนคู่ปีใหม่ ภาพเทพทวารบาลก็ได้ ก็เหมือนอย่างที่ทุกวันนี้ร้านเหล้าน้อยใหญ่ในนครล้วนมีความเคยชินในการแขวนคำโคลงคู่หน้าร้าน
หนิงเหยาถึงได้ยอมปล่อยตามใจเขา
เมื่อรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้ว เฉินผิงอันก็ต้องไปที่หัวกำแพงเมืองกระบี่อีกรอบเพื่อไปฝึกกระบี่กับศิษย์พี่จั่วโย่ว
คราวนี้เขาฉลาดแล้ว พกเอาขวดกระเบื้องยาทาไปด้วย คิดว่าจะจัดการกับอาการบาดเจ็บตั้งแต่ที่หัวกำแพงเมืองเสียเลย เวลาคนอื่นเห็นจะได้ไม่ต้องรู้สึกตกใจ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นช่วงวันปีใหม่แล้ว เพียงแต่ว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต กลางดึกหนิงเหยาที่ฝึกตนในศาลาของแท่นสังหารมังกรเสร็จ รอคอยอยู่นานก็ยังไม่เห็นคนมาหา จึงไปที่หัวกำแพงเมือง นางถึงได้เห็นว่าเฉินผิงอันที่นอนคว่ำกำลังพันแผลให้กับตัวเองอยู่ห่างจากจั่วโย่วไปสิบก้าว คาดว่าก่อนหน้านั้นคงบาดเจ็บไม่น้อยเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นด้วยความเคยชินในการหล่อหลอมเรือนกายในระดับที่รุนแรงเหมือนใกล้ตายของเฉินผิงอันแล้ว ป่านนี้ก็คงบังคับเรือยันต์กลับจวนเหยาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปแล้ว
หนิงเหยานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน หันหน้ามาขึงตาใส่จั่วโย่วแล้วพูดตำหนิว่า “นี่มันช่วงวันปีใหม่นะ!”
จั่วโย่วอัดอั้นอยู่นาน กว่าจะพยักหน้าเอ่ยว่า “คราวหน้าจะระวัง”
เฉินผิงอันแอบหัวเราะชอบใจ
สุดท้ายจั่วโย่วเอ่ย “เคยมีมหาปราชญ์ถามคำถามสวรรค์อยู่ริมแม่น้ำ ทิ้งคำถามไว้ให้กับคนรุ่นหลังหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามข้อ ภายหลังมีบัณฑิตคนหนึ่งตอบคำถามหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามข้อของมหาปราชญ์อยู่ในห้องหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าสามารถลองไปทำความเข้าใจดูได้”
เฉินผิงอันรับปาก เกี่ยวกับเรื่องการซื้อหนังสือ สามารถให้เฉินซานชิวช่วยเหลือได้ เจ้าหมอนี่ชอบเก็บสะสมหนังสืออยู่แล้ว
เฉินผิงอันหยิบเรือยันต์ออกมา หนิงเหยาเป็นคนบังคับ เดินทางกลับไปที่จวนหนิงด้วยกัน
แต่ละครอบครัวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีการกินอาหารมื้อวันสิ้นปี แต่ในจวนเหยาแห่งนี้ วันนั้นเฉินผิงอันเข้าครัวด้วยตัวเอง ทำอาหารมากมายเต็มโต๊ะ
สหายก็ต้องมีสหายเป็นของตัวเอง
นอกจากต่งฮว่าฝูที่ค่อนข้างจะเก็บตัวสันโดษ ไม่มีคนวัยเดียวกันที่คุยกันรู้เรื่องเท่าไรแล้ว เยี่ยนจั๋วก็มีภูเขาเล็กๆ อีกลูกหนึ่งเป็นของตัวเอง เฉินซานชิวที่มีมิตรสหายกว้างขวางก็ยิ่งมีภูเขามากกว่า
ในช่วงเดือนหนึ่ง วันนี้เฉินซานชิวพาเพื่อนรักสามคนของตัวเองไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง
คนทั้งสี่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน คนหนึ่งคือลูกหลานแซ่ใหญ่นามว่าฟ่านต้าเช่อ ดื่มเหล้าจนเมามาย ตีโพยตีพายจะเป็นจะตาย น้ำมูกน้ำตาไหลนองเต็มหน้า
เฉินซานชิวก็ระอาใจมากเหมือนกัน ชายหนุ่มหญิงสาวอีกสองคนที่เหลือซึ่งมีชาติกำเนิดไม่ต่างจากฟ่านต้าเช่อก็จนปัญญา แล้วนับประสาอะไรกับที่ชายหญิงคู่นี้ก็คือคู่รักกัน อยู่บนโต๊ะเหล้าวันนี้พวกเขาไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก เพราะสตรีในดวงใจของฟ่านต้าเช่อฐานะไม่เหมาะสมคู่ควรกัน ตระกูลของฟ่านต้าเช่อเหนือกว่า แต่คิดไม่ถึงว่ากลับยังถูกสตรีผู้นั้นทิ้งไปหาลูกหลานตระกูลใหญ่อีกคน ตอนนี้ก็น่าจะเริ่มพูดคุยเรื่องการแต่งงานกันแล้ว เรื่องนี้พวกสหายของเฉินซานชิวก็รับมือไม่ทันเหมือนกัน ต่างก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสตรีขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีชื่อว่าอวี๋เชี่ยผู้นั้นถึงได้ทิ้งฟ่านต้าเช่อ หันไปอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่นแทน
ตัวฟ่านต้าเช่อเองก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงดื่มจนเมาเละ พูดจาไม่รู้เรื่อง
เห็นเฉินผิงอัน ฟ่านต้าเช่อก็ตะโกนเสียงดัง “โอ้ นี่มันเถ้าแก่รองของพวกเราไม่ใช่หรือ นานๆ จะโผล่มาสักที มาดื่มเหล้าด้วยกัน ดื่มเหล้า!”