กระบี่จงมา - ตอนที่ 1002.2 สิบผู้กล้าแห่งใต้หล้า
เจินเหรินผู้เฒ่าใช ้คากล่าวที่ผ่านการขัดเกลาให้น่าฟังมาแล้ว นี่ แสดงให้เห็นว่าการน ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มมาใช ้ของอิ่นก วานหนุ่มเป็ นเรื่องที่หาได้ยากจนเข้าตาของฝูลู่อวี๋เสวียนแล้วอย่าง แท้จริง
หลวี่เหยียนเอ่ย “ผู้ฝึกตนที่อยู่ที่นี่อย่างพวกเราไม่มีทางเอาไป แพร่งพรายให้คนนอกรู ้อยู่แล้ว หากจะพูดถึงผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่ ท าท่าลับๆ ล่อๆ หมายจะอาศัยการอนุมานมาได้ข้อสรุปอะไรก็ ค่อนข้างยากกระมัง”
อวี๋เสวียนพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ก็จริงนะ แต่เพื่อระมัดระวังไว้ก่อน ข้า จะใช ้วิธีเล็กๆ น้อยๆอย่างการปิ ดประตูและขวางทางก็แล้วกัน จะ ปล่อยให้คนหนุ่มคนหนึ่งต้องเสียเปรียบเพราะเรื่องส่วนรวมแบบนี้ ไม่ได้”
เห็นเพียงว่าอวี๋เสวียนประกบสองนิ้ว “ปาด” ยันต์แผ่นหนึ่งออกมา จากชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมจื่อชี่ จากนั้นยันต์ก็จาแลงเป็ น ปราณสีม่วงกลุ่มหนึ่งที่ล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน พริบตาเดียวก็ บินวนได้หลายรอบ ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไป
ผลคืออวี๋เสวียนเต้นผางสบถด่าทันที ท่านปู่ เจ้าเถอะ ท าอะไรไร ้ ข้อพิถีพิถันเกินไปแล้วลูกหมาบ้านใดถึงได้เหมือนวิญญาณร ้ายตาม
ติดขนาดนี้ ต้องมีความแค้นยิ่งใหญ่ถึงเพียงใดถึงต้องคอยเฝ้ าสังเกต คอยอนุมานเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา?
ครู่หนึ่งต่อมา อวี๋เสวียนก็เริ่มด่าแม่อีก ที่แท้ไม่ใช่แค่กองกาลัง ฝ่ ายเดียวที่แอบลอบสังเกตการด าเนินไปของชะตาชีวิตของเฉินผิง อัน เมื่อเทียบกับฝ่ ายแรกที่อาศัยการชักนาของปรากฏการณ์ ดวงดาวแล้ว วิธีการของฝ่ ายหลังซ่อนเร ้นอาพรางมากยิ่งกว่า แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงในใจประโยคหนึ่งจากสหายฉุนหยาง อวี๋เสวียนจึง พักหน้ารับเบาๆ ยกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น พึมพาสองคาว่า “เปิดทาง” ปราณม่วงจากยันต์สองกลุ่มที่ล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิง อันมีการชักนากับเส้นที่เชื่อมโยงอยู่กับพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของ กองก าลังสองกลุ่มนั้นอยู่ไกลๆ ขณะเดียวกันหลวี่เหยียนก็ยกมือสอง ข้างขึ้น แต่ละข้างประกบสองนิ้ว แยกกันดีดลงบนเส้นยาวสีม่วงสอง เส้นเบาๆ แล้วจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งทีก็มีแสงกระบี่เหมือนสายรุ ้งพุ่ง วาบแล้วหายไป พริบตาเดียวแสงกระบี่สองเส้นที่เล็กเหมือนเส้นเชือก ก็เกิดแรงสะเทือนครีนครั่นดุจเสียงฟ้ าคาราม แยกกันพุ่งไปยังสอง สถานที่ ที่หนึ่งคือทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาล อีกที่ หนึ่งคือหนึ่งในห้านครของใต้หล้ามืดสลัว
หอดูดาวที่มีการป้ องกันเข้มงวดแห่งหนึ่งของสกุลลู่สานักหยินห ยางแผ่นดินกลางถูก “สายฟ้ า” เส้นหนึ่งที่พุ่งดิ่งมาเป็ นเส้นตรงผ่า ออกเป็ นสองท่อน
ส่วนเครื่องจาลองปรากฏการณ์ดวงดาวที่ตั้งอยู่ในนครบางแห่ง ของป๋ ายอวี้จิงก็ถูกแสงกระบี่ที่เฉียบคมซึ่งพุ่งมาจากนอกฟ้ าไล่ตาม เบาะแสมาเจอจึงแหลกสลายกลายเป็ นผุยผง เต้ากวานขอบเขตเซียน เหรินคนหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลเครื่องจาลองปรากฏการณ์ดวงดาวนี้ ถูกแรงระเบิดกระเด็นออกมาด้านนอก ไม่เพียงแต่ใบหน้าเปรอะเปื้อน ไปด้วยฝุ่ นชุดคลุมอาคมล้าค่าบนร่างก็ยังเสียหายไปด้วย เขาทั้ง ตกใจทั้งหวาดกลัว โมโหจนกระทืบเท้า หงุดหงิดสุดขีด สมบัติหนักที่ มีระดับขั้นเป็ นอาวุธเซียนชิ้นนี้สามารถซ่อมแซมได้ แต่เบาะแส มากมายเกี่ยวกับอิ่นกวานหนุ่มกลับมิอาจทาซ้าขึ้นมาได้อีก ล้วนถูก ทาลายลงจนสิ้นแล้ว
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณผู้อาวุโสสองท่าน
หลวี่เหยียนผงกศีรษะรับ ไม่ต้องเกรงใจ ถือเสียว่าเป็ นค่ามัดจาที่ จะมอบให้เจ้าส าหรับการปกป้ องมรรคาหลังจากนี้ก็แล้วกัน
อวี๋เสวียนยิ้มเอ่ย “ไม่จาเป็ นต้องขอบคุณ ชีวิตนี้ข้าผู้อาวุโสไม่ ชอบเห็นเล่ห์เพทุบายชั่วร ้ายพวกนี้มากที่สุดแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งยืนเคียงบ่ากับเฉินผิงอันอยู่ในดวงจันทร ์ดวงหนึ่ง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล “ไม่ต้องรีบร ้อน อย่างน้อยที่สุดก็ยังมี เวลาอีกสองเค่อ หลี่เซิ่งถึงจะเริ่มสัมผัสกับใต้หล้าเปลี่ยวร ้างอย่าง แท้จริง”
หลี่ซีเซิ่งยื่นมือชี้ไปยังจุดที่อยู่ห่างไกลมาก “อาจารย์ซานซานจิ่ว โหวกับผู้อาวุโสอวี๋ต่างก็ได้สร ้างภูเขายันต์สามแห่งและแม่น้ายาว ยันต์หนึ่งสายขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าระยะทางยาวไกล เจ้าจึงมองเห็น ได้ไม่ชัดนัก”
อวี๋เสวียนนยิ้มเอ่ย “ข้าก็แค่ทาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สู้ฝีมือยิ่งใหญ่ ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวไม่ได้หรอก เป็ นที่ขบขันของทุกคน เป็ น ที่ขบขันของทุกคนแล้ว”
คราวก่อนที่ไปเยือนฝูเหยาทวีป การต่อสู้ครั้งหนึ่งสิ้นสุดลง ตอน นั้นใช ้ยันต์หลายหมื่นแผ่นไม่หมด คราวนี้กลับหมดสิ้นจริงๆ แล้ว ไม่ เหลือเลยสักแผ่นเดียว
เฉินผิงอันอดไม่ไหวถามว่า “พี่ใหญ่หลี่ ทาไมถึงไม่เรียกผู้ฝึกตน ขอบเขตบินทะยานมากกว่านี้ให้มาช่วยล่ะ?”
หลี่ซีเซิ่งอธิบายด้วยรอยยิ้ม “บางคนช่วยไม่ได้ บางคนกลับปลีก ตัวมาไม่ได้”
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้มเอ่ย “หย่าเซิ่งกับเหวินเซิ่ง และยังมีอาจารย์ ต่งเจ้าลัทธิศาลบุ๋นแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็ นขอบเขตสิบสี่ แต่ถือว่า ผสานมรรคาด้วยดินอวยพร มาช่วยที่นี่กลับง่ายที่จะช่วยให้เสียเรื่อง”
ความนัยในคาพูดประโยคนี้ของอาจารย์ผู้เฒ่าก็คือ ขอบเขตสิบ สี่ที่เลื่อนขั้นจากการผสานมรรคาด้วยดินอวยพรมีพันธนาการมาก
เกินไป ไม่คล่องตัวเท่าผสานมรรคาด้วยวิธีอีกสองอย่างอย่าง “ฟ้ า อ านวย” และ “คนสามัคคี” ยังขาดความหมายบางอย่างไป
ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าของเก้าทวีปในไพศาล แน่นอน ว่าต้องสร ้างความมั่นคงให้กับรากภูเขาชะตาน้าในอาณาเขตการ ปกครองของตน ในความเป็ นจริงแล้วก่อนที่เฉินผิงอันจะถูกลากมา ที่นี่ ซานจวินห้ามหาบรรพตแผ่นดินกลางซึ่งมีโจวโหยวฉายาเทพว่า “ต้าเจี้ยว” เป็ นหนึ่งในนั้น และยังมีสุ่ยจวินแห่งสี่มหาสมุทรอย่างหวังจู หลี่เย่โหว รวมไปถึงกงโหวป๋ อของลาน้าใหญ่ในแต่ละทวีปซึ่งมี ตาแหน่งสูงอย่างพวกเสิ่นหลิน หยางฮวา ต่างก็ได้รับคาสั่งลับจาก ทางศาลบุ๋นหนึ่งฉบับ และพวกเขาเองก็ต้องออกคาสั่งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใต้อาณัติและศาลเทพอภิบาลเมืองในพื้นที่ทั้งหมดว่าจาเป็ นต้อง กลับคืนสู่ต าแหน่งเทพทันทีนั่งประคอง “ร่างทอง” ในศาลให้มั่นคง
ก่อนหน้านี้เจิ้งจวีจงได้เตือนหลี่ซีเซิ่งไปแล้วว่าหากไม่ถึงที่สุด จริงๆ ก็อย่าได้ “ผสานมรรคา” ง่ายๆ เด็ดขาด เมื่อเป็ นเช่นนี้ ศึกของ สามลัทธิที่โค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิงใช ้ “หนึ่งลมปราณ จ าแลงเป็ นตรีวิสุทธิ์” หลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็จะพ่ายแพ้อย่าง สิ้นเชิงแล้ว
นอกฟ้ ามีลมปราณยิ่งใหญ่โอฬารขุมหนึ่งกรูกันมาถึงประหนึ่ง กระแสน้าขึ้นที่ตีกระทบฟ้ า ฟ้ าดินของนกในกรงจึงส่ายไหวตามไป ด้วย
ช่างเป็ นลมฝนภูเขาก าลังจะมาเยือน ลมพัดกระโชกเต็มหอเรือน ที่น่าตะลึงพรึงเพริดคือลมพายุบนฟ้ าอย่างแท้จริง
ถึงกับท าให้เฉินผิงอันรู ้สึกหายใจไม่ออกได้ทันที
ป๋ ายจิ่งเลียนแบบวิธีพูดของหมี่ลี่น้อย รีบตะโกนเสียงดัง “เจ้า ขุนเขา เจ้าขุนเขา เปิดประตู เปิดประตู!”
เฉินผิงอันรีบสร ้างความมั่นคงให้กับเรือนกายและจิตวิญญาณ แสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยินข้าผู้อาวุโสไม่สนิทกับเจ้าสักหน่อย
หลี่ซีเซิ่งยิ้มเอ่ย “โอกาสหาได้ยาก สามารถเปิดประตูจวนบาน หนึ่งให้กับฟ้ าดินอย่างเหมาะสมได้จริง จงรับปราณวิญญาณเข้ามา ไว้ข้างในอย่างสบายใจ อีกทั้งนอกจากปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์แล้ว ก็ยังมีกลิ่นอายแห่งมรรคายุคบรรพกาลที่ล้อมวนอยู่ที่ม่านฟ้ าด้วย เพราะถูกใต้หล้าเปลี่ยวร ้างหอบหุ้มพามาถึงจึงต้องหลุดจาก พันธนาการของมหามรรคาแห่งฟ้ าดินพุ่งนามาโจมตีก่อน ซึ่งก็ซ่อน อยู่ในกระแสมรรคกถาที่โหมชัดสาดครั้งนี้ ไม่สู้เจ้ารับไว้ทั้งหมดก่อน หลังจากนี้หวนกลับไปยังไพศาลก็สามารถค่อยๆ สาวเส้นไหมออกมา ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน น้าขึ้นที่คล้ายคลึงกันนี้คิดดู แล้วก็น่าจะมีอีกสองครั้ง”
นอกจากความระมัดระวังรอบคอบแล้ว หยุดเมื่อพอสมควรก็เป็ น นิสัยการกระทาที่เฉินผิงอันเคยชินมาโดยตลอด
เฉินผิงอันเปิดประตูบานใหญ่ออกทันที ฟ้ าดินนกในกรงก็คล้าย กระเป๋ าที่เปิ ดอ้าตรง หน้าประตูมีลักษณะคล้ายลาโพงซึ่งทาให้ สามารถรองรับกระแสน้าขึ้นของปราณวิญญาณมาได้มากกว่าเดิม “ท้องน้า” ในเส้นทางน้าที่อยู่ในระยะร ้อยลึกว่าหลังจากนั้นคล้าย แจกันใบเล็กที่ปากแคบท้องป่ องซึ่งวางนอนลงบนพื้น เป็ นเหตุให้ กระแสปราณวิญญาณเข้าไปง่ายถอยออกยาก นอกจากนี้ท้องน้า ช่วงหนึ่งก็ยกขึ้นสูง เป็ นเหตุให้กระแสน้าเคลื่อนจากไกลมาใกล้ น้า พุ่งเข้าไปในท้องน้าของแจกัน กระแสน้าผลักดันกัน เสียงน้าดุจเสียง ฟ้ าผ่า ลูกคลื่นแต่ละชั้นทับซ ้อนกัน เฉินผิงอันเอาสิ่งที่เพิ่งเรียนมาใช ้ ในทันที เลียนแบบหลี่ซีเซิ่งด้วยการวาดยันต์อักษร “ลม” ขึ้นมาสิบ กว่าแผ่น โยนไว้นอกประตู เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์กองวาโยสิบกว่าองค์ ช่วยกันใช ้ลมโหมพัดเป่าให้กระแสน้าขึ้นโหมแรงกว่าเดิม
ฝูลู่อวี๋เสวียนอดไม่ไหวเอ่ยว่า “สหายฉุนหยาง ข้าคิดไปเองหรือ ไร ท าไมจู่ๆ เฉินอิ่นกวานถึงดูมีชีวิตชีวา บุคลิกราวกับเปลี่ยนไปเป็ น คนละคนเลย”
หลวี่เหยียนตอบไม่ตรงคาถาม “เฉินผิงอันร่ายใช ้วิชานี้เพราะอิง ตามหลักการการก่อเกิดน้าขึ้นของแม่น้าเฉียนถังเงื่อนไขฟ้ าดิน กระแสลม ชัยภูมิ น้าไหล ล้วนสอดคล้องต้องกัน ไปทั้งหมด”
พูดง่ายๆ ก็คือภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพ บรรยากาศความมั่นคงของฟ้ าดิน นี่แทบจะเป็ นวิธีที่ดีที่สุดที่เฉินผิง
อันสามารถเปิดประตูรับเอาปราณวิญญาณกระแสน้าขึ้นมาได้มาก ที่สุดแล้ว
ป๋ ายจิ่งรีบหันหน้าไปมองเสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านข้างกระท่อม “บนพื้น” “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ช่วยพูดจาเป็ นธรรมแทนข้ากับเจ้าขุนเขาหน่อยสิ ในต าราบอกไว้แล้วนะว่า สวรรค์มอบให้ไม่ยอมรับไว้กลับจะโดนลง ทัณฑ์ โอกาสพลาดไปแล้วก็จะไม่หวนคืนมาอีกนะ”
ถึงอย่างไรเสี่ยวโม่ก็เป็ นคนที่เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามแล้ว จึง ช่วยหั่นราคาให้ “คุณชายจะแบ่งส่วนแบ่งกับเจ้าแปดต่อสอง หากเจ้า ตอบตกลง คุณชายถึงจะยอม”
แม้ว่าป๋ ายจิ่งจะกลับคืนสู่รูปโฉมที่แท้จริงแล้ว แต่ดูเหมือนว่านิสัย ก็ยังคงเป็ นเด็กสาวเซี่ยโก่วผู้นั้นอยู่เหมือนเดิม เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เชือดหมูหรือไร?! ท าไมพวกเจ้าสองคนไม่ช่วยกันแย่งไปเลยเล่า?”
สาหรับผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาอย่างเจิ้งจวีจง อวี๋เสวียน หลวี่เห ยียนแล้ว จานวนถ้าสถิตที่บุกเบิกไว้ในร่างและปราณวิญญาณที่เก็บ สะสมไว้ในช่องโพรงได้ไปถึงระดับอิ่มหนานานแล้ว นี่จึงเป็ นเหตุให้ กระแสปราณวิญญาณที่ถาโถมเหมือนน้าขึ้นครั้งนี้ค่อนข้างจะเป็ น เหมือนซี่โครงไก่ เสี่ยวโม่เป็ นผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้น สมบูรณ์แบบก็มีสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารอย่างเจิ้งจวีจงที่เนื่องจาก สร ้างวีรกรรมที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อนได้สาเร็จ คนคนเดียวเป็ น
สองขอบเขตสิบสี่ การฝึกตนจึงไม่ต้องการปราณวิญญาณมานาน แล้ว
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ป๋ ายจิ่งเท่านั้นที่นางใช ้ชีวิตอย่างมีการวางแผน ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันยังไม่ได้ถูกเรียกมา นางก็หยิบเอาสมบัติ อาคมสารพัดอย่างกองใหญ่ออกมาเริ่มเก็บสะสมปราณวิญญาณแล้ว หลังจากน้าขึ้นสองรอบผ่านไป ผลเก็บเกี่ยวก็สมบูรณ์อย่างยิ่งเพราะ ถึงอย่างไรกระแสน้าใหญ่นอกฟ้ าที่มาจากการที่ใต้หล้าสองแห่งพุ่ง ชนปะทะกันนี้ก็ไม่ใช่ความมหัศจรรย์และโอกาสที่ผู้ฝึกตนขอบเขต บินทะยานคนหนึ่งทะยานลมมาถึงนอกฟ้ าแล้วจะสามารถพบเจอได้ ง่ายๆ
ส่วนเรื่องที่ว่าทาไมป๋ ายจิ่งจึงไม่พุ่งออกไปจากฟ้ าดินแห่งนี้ โดยตรง แน่นอนว่าเป็ นเพราะสถานการณ์ของส่วนรวมส าคัญกว่า ผลเก็บเกี่ยวจากปราณวิญญาณเหล่านี้เป็ นแค่กับแกล้มจานเล็กๆ จานหนึ่งเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรงิ้วฉากสาคัญก็ยังรออยู่เบื้องหลัง
เฉินผิงอันเหลือบมองมาทางป๋ ายจิ่งอยู่หลายที ประมาณการณ์ ถึงปริมาณความจุที่สมบัติกองโตพวกนั้นของนางจะสามารถบรรจุ ปราณวิญญาณน้าขึ้นได้เพิ่มเติม ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “แบ่งกันห้าต่อ ห้า เป็ นอย่างไร?”
“ได้เลยๆ ยุติธรรมดีมาก!”
ป๋ ายจิ่งหัวเราะฮ่าๆ เรือนกายพุ่งทะยานไปยังปากแจกันที่เป็ น ประตูใหญ่อย่างว่องไวราวสายฟ้ าแลบ สมบัติหลายสิบชิ้นร่วงกราวลง มาราวกับบุปผาที่นางฟ้ าโปรยปรายกระจายออกไปสี่ด้านแล้วเริ่มสูบ ปราณวิญญาณมาเหมือนมังกรสูบน้า
อวี๋เสวียนจุ๊ปากกล่าว “สหายฉุนหยาง เจ้าดูสิ ผู้ฝึ กกระบี่ดีแค่ ไหน ไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไรแค่ส่งกระบี่ออกไปครั้งเดียวก็พอ อย่าง มากสุดหนึ่งกระบี่ไม่พอก็ส่งกระบี่ไปเพิ่มอีกหน่อย แต่พวกเราสอง คนน่ะต่างก็เป็ นช่างซ่อมและมีชะตาชีวิตที่ยากลาบาก”
ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกป๋ ายจิ่ง เสี่ยวโม่ ไม่เหมือนเขาอวี๋เสวียนกับ สหายฉุนหยางที่ยังต้อง “โยกย้ายกองก าลัง” มาจากพวกวัตถุแห่ง ชะตาชีวิตทั้งหลายจริงๆ การจัดขบวนสู้รบให้กับปราณวิญญาณใน ฟ้ าดินเล็กร่างมนุ ษย์จ าเป็ นต้องมีการปรับแก้ ใคร่ครวญถึง รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ยาวเป็ นพรวนอย่างตั้งใจ เพราะผู้ฝึ ก ลมปราณที่นอกเหนือจากผู้ฝึ กกระบี่เวลาที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทา ระหว่างที่ฝึกบาเพ็ญตนกับปิดด่าน รวมไปถึงตอนที่เข่นฆ่าประลอง เวทคาถากับผู้อื่น สภาพการณ์สามอย่างนี้ ฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ แห่งเดียวกันก็จะมีภาพบรรยากาศที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง พูด ถึงแค่ผู้ฝึกลมปราณที่มีตบะอย่างอวี๋เสวียนก็ยังต้องอาศัยน าวัตถุแห่ง ชะตาชีวิตที่ไม่ได้ใช ้และยันต์ที่ใช ้คู่กับถ้าสถิตแต่ละแห่งซึ่งจะต้อง แตกต่างกันไปมาสร ้างค่ายกลที่แตกต่างกันอยู่ในร่างกาย
ขณะเดียวกันก็ต้องสร ้างความมั่นคงให้กับเนื้อนังมังสาและจิต วิญญาณด้วย
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร
เพราะเขาเป็ นนักพรตก็จริง แต่กลับพอจะเป็ นเวทกระบี่อยู่บ้าง สองสามบท
อีกทั้งเส้นทางการสร ้างโอสถของหลวี่เหยียนก็กล้าพูดว่าไม่ เหมือนกับผู้ฝึกตนคนใดบนโลกใบนี้
เฉินผิงอันเป็ นฝ่ายเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไปเป็ นแขกที่หอสยบปีศาจ ของใบถงทวีป ฟังสหายชิงถงเล่าถึงสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้ายุคบรรพ กาล รวมไปถึงตัวสารอง ดูเหมือนว่าจะมีทั้งสิ้นสิบสี่ท่าน ตอนนั้น สหายชิงถงกลับเอ่ยรายชื่อมาแค่ส่วนเดียว เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋จะช่วย ไขข้อข้องใจให้ข้าได้หรือไม่?”
อวี๋เสวียนถามอย่างประหลาดใจ “ซิ่วไฉเฒ่ามีความรู ้มากขนาด นั้น เขาไม่เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “เวลาปกติอาจารย์มักจะชอบพูดถึงเรื่อง การศึกษาวิชาความรู ้ ตอนที่อยู่ด้วยกันจึงไม่ค่อยคุยเรื่องทานองนี้”
อวี๋เสวียนสะอึกอึ้งไปทันใด
ดีนักนะ คนหนึ่งไม่มีโอกาสก็มักจะสร ้างโอกาสมาเยินยอลูกศิษย์ คนหนึ่งคว้าโอกาสได้ก็รีบเอ่ยยกยออาจารย์ของตัวเองทันที ก็ไม่
แปลกหรอกที่พวกเจ้าเป็ นอาจารย์และศิษย์กันไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ก็ไม่เข้าประตูบานเดียวกันจริงๆ
อวี๋เสวียนชี้ไปที่เสี่ยวโม่ผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาซึ่งอยู่ตรง ตีนเขา” “อายุขัยในการฝึกตนของเขาก็มากพอ อีกทั้งยังเป็ นผู้ติดตามของ เฉินอิ่นกวาน จะไม่เคยเล่าเรื่องในปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่เขาเคยเห็น
มากับตา เคยได้ยินมากับหูให้ฟังบ้างเลยหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ ช่วยอธิบายว่า “คุณชายของข้าตั้งใจฝึกตนอยู่ ทุกวัน อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการศึกษาหาความรู้ ไม่ค่อยชอบแบ่งสมาธิ มาสนใจเรื่องราวในอดีต ข้าเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก”
เฉินผิงอันกลับอึ้งตะลึง มองไปทางเสี่ยวโม่ ใช่สิ ทาไมถึงคิด ไม่ได้ว่าต้องถามเสี่ยวโม่นะ?
เสี่ยวโม่มีสีหน้าเป็ นปกติ แต่ในใจกลับยิ่งสงสัย เขายังนึกว่า คุณชายของตนก็แค่อยากพูดคุยตีสนิทกับฝูลู่อวี๋เสวียนเท่านั้น ไม่ เคยสนใจรายชื่อของสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้ามาก่อนแต่ดูท่าแล้วจะไม่ได้ เป็ นอย่างที่เขาคิด?
แต่กลับเป็ นเจิ้งจวีที่ช่วยตอบข้อสงสัยในใจเฉินผิงอันอีกครั้ง “เนื่องจากเกี่ยวพันกับนามของสิบผู้กล้ายุคบรรพกาล ชิงถงแห่งหอ สยบปีศาจจึงไม่กล้าพูดมาก กังวลว่าจะเกิดปัญหาที่ไม่จาเป็ น เจ้าไม่ ถามเสี่ยวโม่ที่อยู่ข้างกายก็เกิดจากจิตใต้สานึกอย่างหนึ่ง เพราะส่วน
ลึกในใจของเจ้ารู ้ดีว่าเสี่ยวโม่อาจมีผลกรรมเกี่ยวพันกับพวกเขา หลายคนที่อยู่ในกลุ่มนี้”
อวี๋เสวียนไม่ได้คิดลึกอะไร ในเมื่ออิ่นกวานหนุ่มขอความรู ้จากใจ จริงก็ใช ้ความเป็ นผู้อาวุโสชี้แนะเด็กรุ่นหลัง หัวเราะร่าถามว่า “สิบผู้ กล้าและสี่ตัวสารอง ชิงถงบอกชื่อใครกับเจ้าแล้วบ้าง?”
อีกอย่างคราวก่อนที่ซิ่วไฉเฒ่ามาดื่มเหล้ากับตนก็พูดจาอย่าง จริงใจมากแล้ว ล้วนเป็ นคาพูดตรงไปตรงมาที่พี่น้องกันเองจะพูดคุย กัน ยกตัวอย่างเช่นซิ่วไฉเฒ่าโน้มน้าวอวี๋เสวียนอย่างวังดีว่า พี่อวี๋เส วียนในฐานะที่พี่ต้องได้เป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอนแล้ว เข้ากับคนอื่นได้ง่ายเป็ นเรื่องดี ประเสริฐยิ่งแล้ว แต่หากว่าเข้ากับคน อื่นได้ง่ายเกินไปก็จะไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว จะมากจะน้อยก็ควรจะ วางมาดที่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ควรมีบ้าง ดังนั้นการประชุมศาลบุ๋นค รั้งหน้าจาไว้ว่าต้องเสียงดังสักหน่อย หรือไม่เวลาท่องเที่ยวในทวีป แห่งใด ระหว่างที่เดินอยู่บนถนน เจอกับขอบเขตบินทะยานที่เกลียด ขี้หน้า พี่ใหญ่อวี๋ก็เหล่ตามองไป ต่อให้เปิดปากเอ่ยแค่ประโยคเดียวก็ ยังไม่ถือว่าเผด็จการมากพอ…
“สิบผู้กล้าในใต้หล้ามีบรรพจารย์สามลัทธิ ปรมาจารย์มหา ปราชญ์ มรรคาจารย์เต๋าพระพุทธเจ้า และยังมีปฐมบรรพบุรุษของ ส านักการทหาร “นักพรต” คนแรกของโลก ผู้น าด้านวิถีกระบี่ สหาย ชิงถงพูดถึงแค่หกท่านนี้ ยังขาดไปอีกสี่ท่าน”
เฉินผิงอันตอบ “ตัวสารองสี่ท่านบอกมาหมดแล้ว มีเซียนกระบี่ ใหญ่ผู้อาวุโส หลี่เซิ่งอาจารย์ป๋ ายเจ๋อ อาจารย์ซานซานจิ่วโหว”
สิบผู้กล้าแห่งยุคบรรพกาลไม่มีการเรียงล าดับก่อนหลัง
“นักพรต” คนแรกของโลก นครเซียนจานของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ก็จาแลงมาจากปิ่นเต๋าของนักพรตผู้นี้ คนเฝ้ าประตูของภูเขาลั่วพั่ว ในทุกวันนี้คือ “นักพรตเซียนเว่ย” ที่บนศีรษะปักปิ่นไม้
ผู้น าแห่งวิถีกระบี่ ไม่ทราบชื่อแซ่