กระบี่จงมา - ตอนที่ 1002.1 สิบผู้กล้าแห่งใต้หล้า
สิบผู้กล้าและสี่ตัวสารองแห่งใต้หล้ายุคบรรพกาล ตอนนี้ตัว สารองสองคนต่างก็อยู่ที่นี่ นั่นคือหลี่เซิ่งและอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
จากการแบ่งขอบเขตและตบะน่าจะมีทั้งหมดสามอันดับ อันดับ แรกย่อมต้องเป็ นหลี่เซิง อาจารย์ซานซานจิ่วโหว เจิ้งจวีจง ผู้ฝึกตน ทั้งสามท่านนี้ต่างก็เป็ นขอบเขตสิบสี่
ต่อมาจึงเป็ นอวี๋เสวียน หลวี่เหยียน ป๋ ายจิ่ง เสี่ยวโม่ที่ต่างก็ยัง ไม่ได้ผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่
คนที่อยู่รั้งท้ายสุดแน่นอนว่าต้องเป็ นเฉินผิงอันที่ไม่ใช่แม้กระทั่ง ห้าขอบเขตบน
มีเพียงหลี่ซีเซิ่งเท่านั้นที่สถานะค่อนข้างพิเศษ ยากที่จะแบ่ง ขอบเขตและตบะที่แท้จริงของเขาได้
หากคิดค านวณแค่จากอายุอย่างเดียวก็น่าจะเรียงล าดับเป็ น อาจารย์ซานซานจิ่วโหว เสี่ยวโม่ ป๋ ายจิ่ง หลี่เซิ่ง อวี๋เสวียน หลวี่เห ยียน เจิ้งจวีจง หลี่ซีเซิ่ง เฉินผิงอัน
ในสายตาของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว หลี่ซีเซิ่งในทุกวันนี้ โค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิงในอนาคต กับเจิ้งจวีจงแห่งนคร
จักรพรรดิขาว ฉุนหยางหลวี่เหยียน พวกเขาต่างก็มีหวังที่จะเลื่อนติด อันดับเป็ นสิบผู้กล้าในอนาคต
ดังนั้นไม่ว่าจะนับกันอย่างไร เฉินผิงอันก็ล้วนเป็ นคนที่อยู่อันดับ สุดท้ายเสมอ
เพียงแต่ว่าแม้จะอายุยังไม่มาก ทว่ากลับเคยประสบพบเจอ เรื่องราวมาหลากหลายเฉินผิงอันจึงไม่ถึงขั้นตระหนกลนทาอะไรไม่ ถูก จิตแห่งมรรคานิ่งสงบดุจน้านิ่ง ควรทาอะไรเขาก็จะทาอย่างนั้น
เมื่อเฉินผิงอันได้รับคาเตือนจากเจิ้งจวีจงก็เก็บดวงจิตแต่ละดวง เล็กใหญ่ไม่เท่ากันที่แบ่งกระจายกันออกไปพวกนั้นกลับคืนมา
สายเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่วบ้านตัวเอง “เฉินผิงอัน” ที่เดิมที ก าลังคัดต าราลัทธิเต๋าพลันมีสีหน้าทึ่มทื่อ เปลี่ยนมาเป็ นแข็งค้าง นิ่ง ค้างอยู่ในท่ายกพู่กันเขียนต าราอยู่นาน
ฐานที่ตั้งของกองทัพอวี๋โจวต้าหลี เรือนกายของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ร่ายเวทดาดิน หาถ้าแห่งหนึ่งจากในร่องผนังหินของป่ าร ้างว่างเปล่า ไร ้ผู้คนได้เจอ เรือนกายก็เหมือน “จักจั่นลอกคราบ” ในชั่วพริบตา ถึงกับเป็ นยันต์แทนตัวแผ่นหนึ่ง
ในอาณาเขตของขุนเขาตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป ในเมือง ที่คึกคักแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นใต้อาณัติต้าหลี นักพรตวัย กลางคนที่ไปตั้งแผงดูดวงและช่วยเขียนจดหมายทางบ้านให้กับ ลูกค้ามาหาเงินอยู่ที่นี่ได้พักหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วย
ตรวจสอบชะตาชีวิตคู่ให้กับชายหญิงที่ค่อนข้างแม่นยา นักพรต พเนจรผู้นี้ชอบดื่มเหล้า มักจะยกน้าเต้าบรรจุเหล้าขึ้นดื่มอีกใหญ่ แล้วจู่ๆ หัวก็พลันโขกโต๊ะ นอนหลับส่งเสียงกรนดังลั่น
ผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นคนหนึ่งกาลังชมทัศนียภาพอยู่ในโรงเตี้ยม ตระกูลเซียนของแคว้นชิงซิ่งรีบกลับไปที่ห้องตัวเอง ปิ ดประตูลั่น นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง สองมือวางทับซ ้อนกันไว้บนหน้าท้อง หลับสนิท
ในอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อปีก่อนมีผู้ฝึกลมปราณที่ ไม่ได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในท าเนียบของยอดเขาต่างๆ อาศัยตบะ ขอบเขตสามและเงินทองถึงสามารถสานสัมพันธ ์ เพิ่งได้เป็ นจือเค่อ ของพรรคใต้อาณัติของยอดเขาแห่งหนึ่ง วันนี้ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มี แขกมาเยี่ยมเยือนมานั่งตกปลาที่ริมลาคลอง เมื่อมีปลามางับเหยื่อ กลับยังไม่ยอมยกคันเบ็ดขึ้น
มีเพียงดวงจิตดวงที่เดินทางไกลไปยัง “นอกฟ้ า” “ย้อนทวน กระแสน้าแห่งกาลเวลาหมื่นปี” เท่านั้นที่ควรจะเก็บกลับมาหรือไม่ เฉินผิงอันรู ้สึกล าบากใจและลังเลอยู่เล็กน้อยไม่ใช่ว่าเขาตัดใจไม่ลง เพียงแต่ว่าการทาเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพียงแต่ว่าไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปากถาม เห็นได้ชัดว่าเจิ้งจวีจง อนุมานได้ถึงอะไรบางอย่างจึงใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้อง เรียกดวงจิตนั้นกลับมา หาไม่แล้วจะต้องยกเลิกทุกอย่างกลางคัน ง่าย ที่จะเป็ นการทาลายรากฐานมหามรรคา หากไม่ทันระวังเจ้าในเวลานี้
ก็อย่าว่าแต่จะช่วยเหลืออะไรเลย สามารถกลับจากฟ้ านอกฟ้ าไป รักษาอาการบาดเจ็บที่โรงเรียนได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเอง ก็ไม่อยากให้บุคคลผู้นั้นอาฆาตแค้น แล้วถูกเหวินเซิ่งมาดักขวางรอ ด่าอยู่หน้าบ้าน”
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายเฉิน คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกัน
อีกครั้งเร็วขนาดนี้”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “คารวะผู้อาวุโสฉุนหยาง”
หลังจากนั้นก็ไม่กล้าอิดออดใดๆ เฉินผิงอันรีบเรียกกระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตสองเล่มออกมาทันที ปกคลุมผู้ฝึกตนทุกคนเว้นจากหลี่เซิ่ง และอาจารย์ซานซานจิ่วโหวไว้ภายใน
ตามการประมาณการณ์คร่าวๆ ของเฉินผิงอัน อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็อยู่ห่างจากกายธรรมของหลี่เซิ่งหลายหมื่นลี้ และเมื่ออาศัย ขอบเขตก่อกาเนิดที่มีตอนนี้ อย่างมากสุดก็ประคับประคองฟ้ าดิน เล็กของนกในกรงให้ครอบคลุมอาณาเขตได้แค่พันลี้เท่านั้น
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ผอมแห้งราวกับท่อนฝืน หนวดเคราขาวโพลน ดุจหิมะ สวมชุดคลุมยาวสีม่วงหลวมโพรก เปลือยเท้าเหยียบยืนอยู่ใน ดินแดนไท่ซวี
ชุดคลุมยาวสีม่วงบนร่างของผู้เฒ่าตัวนั้นมีชื่อว่า “จื่อชี่” (ปราณ ม่วง) กับชุดขนนกบนร่างของอวี๋โต้ว ชุด “ชีเหย้า” ที่มีอีกชื่อว่า “ฝ่ า จู่” ของจ้าวเทียนไล่เทียนชื่อแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ รวมไปถึงชุดคลุม
มังกรสีหมึกของหย่างจื่อ ล้วนเป็ นหนึ่งในสิบชุดคลุมอาคมใหญ่ของ หลายใต้หล้า ชุดคลุมอาคม จื่อชี่” ตัวนี้วาดเป็ นภาพไท่จี๋ที่มีปลา หยินหยางสีขาวและสีด าตรงเอวผู้เฒ่าห้อยน้าเต้าโปร่งแสงไว้ลูกหนึ่ง สามารถมองเห็นภาพงดงามแปลกตาด้านในนั้นได้
แสงดาวพร่างพราว ดวงดาวเป็ นจุดๆ จ านวนนับไม่ถ้วนมา รวมตัวกันกลายเป็ นทางช ้างเผือก คล้ายกับว่าทางช ้างเผือกบน ท้องฟ้ าทั้งสายถูกคัดลอกมาไว้ในนี้
ฝูลู่อวี๋เสวียนเจินเหรินผู้เฒ่าที่เดิมที่ควรผสานมรรคาขอบเขตสิบ สี่อยู่นอกฟ้ า ถูกโลกทั้งใบขนานนามว่าเป็ นผู้ที่ได้ครอบครองสองคา ว่า “ฝูลู่” (ยันต์) แห่งใต้หล้าไปเพียงล าพัง
อวี๋เสวียนดีดนิ้วเบาๆ อยู่สองสามที ตรงจุดเขตแดนของฟ้ าดิน หลายจุดก็มีริ้วปราณวิญญาณกระเพื่อมขึ้นเป็ นระลอก เขาพยักหน้า ยิ้มกล่าวด้วยสายตาเผยแววชื่นชม “ไม่เลวๆรบกวนเฉินอิ่นกวาน แล้ว”
เอ่ยประโยคตามมารยาทไปแล้ว แต่ในใจอวี๋เสวียนก็ยังอด คลางแคลงอยู่ไม่ได้ ถึงอย่างไรอิ่นกวานหนุ่มในทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เฉิน ผิงอันที่ยืมมรรคกถาขอบเขตสิบสี่มาจากลู่เฉินแล้ว ถูกหลี่เซิ่งลาก ให้มาช่วยที่นอกฟ้ า แต่ในความเป็ นจริงแล้วต่อให้ขอบเขตผู้ฝึกยุทธ ของเขาจะเป็ นขอบเขตปลายทาง แต่ถึงอย่างไรขอบเขตของผู้ฝึกตน ก็เป็ นแค่ขอบเขตก่อก าเนิดเท่านั้น จะช่วยอะไรได้? พูดถึงแค่ฟ้ าดิน พันลี้ที่กระบี่บินสร ้างขึ้นมาตอนนี้ จะมีความหมายอะไร?
นี่จึงเป็ นเหตุให้อวี๋เสวียนอดไม่ไหวใช ้เสียงในใจถามหลวี่เหยียน ว่า “สหายฉุนหยาง นี่คือ?”
อันที่จริงเจินเหรินผู้เฒ่ากับนักพรตที่ว่ากันว่าเพิ่งกลับจากใต้ หล้ามืดสลัวมายังไพศาลได้ไม่นานผู้นี้เพิ่งจะเคยเจอกันเป็ นครั้งแรก
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสอวี๋แค่ตั้งตารอดูไปก็พอ”
อวี๋เสวียนจึงได้แต่ข่มกลั้นความสงสัยในใจเอาไว้ พยักหน้ารับ
สร ้างค่ายกลฟ้ าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมา สาหรับผู้ฝึกตนอย่างพวก เขาแล้วไม่ใช่เรื่องเล็กที่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือหรอกหรือ?
แน่นอนว่าเอ่ยประโยคที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ระดับความ ยืดหยุ่นของฟ้ าดินเล็กแห่งนี้ก็ยังอยู่เหนือการคาดการณ์ไปมาก หาก ไม่พูดถึงยันต์ใหญ่ที่เป็ นสมบัติกันกรุทั้งหลายต่อให้อวี๋เสวียนลงมือ ด้วยตัวเอง คาดว่าหากไม่มียันต์ที่ใช ้สาหรับโจมตียี่สิบกว่าแผ่นก็ไม่ แน่ เสมอไปว่าจะทาลายสิ่งกีดขวางแห่งฟ้ าดินนี้ไปได้ จุดที่น่ า หงุดหงิดสาหรับผู้ฝึกกระบี่ก็คือนอกจากหนึ่งกระบี่ทาลายหมื่นอาคม ของผู้ฝึกกระบี่แล้ว ก็เป็ นวิชาอภินิหารประหลาดทั้งหลายของพวก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนี่แหละ
คงไม่ใช่ว่าเหวินเซิ่งปรึกษากับหลี่เซิ่งหวังว่าจะช่วยให้ลูกศิษย์คน สุดท้ายได้รับคุณความชอบมาเพิ่มลงบนสมุดคุณูปการของศาลบุ๋นห รอกนะ?
หากเปลี่ยนมาเป็ นคนอื่น อวี๋เสวียนยังกังวลว่าเป็ นการใช ้ใจคน ถ่อยไปวัดใจวิญญูชนหรือไม่ แต่พอเปลี่ยนมาเป็ นซิ่วไฉเฒ่า อวี๋ เสวียนรู ้สึกว่าไม่ได้ใส่ความอีกฝ่ ายจริงๆ เกรงว่าต่อให้ยืนคุมเชิงอยู่ กับซิ่วไฉเฒ่าก็หนีไม่พ้นว่าอีกฝ่ ายต้องพูดท านองว่า ใช่แล้วอย่างไร หากไม่ยอม เจ้าก็มาตีข้าสิ
เฉินผิงอันกล่าว “ขอให้ทุกท่านโปรดปลดปล่อยพลังจิตออกไป เล็กน้อย ตรวจสอบดูพื้นที่ประกอบพิธีกรรมในเวลาปกติที่ตัวเองใช ้ หลอมลมปราณ”
เจิ้งจวีจงเป็ นคนแรกที่นิมิตถึงหอแก้วใสแห่งนครจักรพรรดิขาว
หลวี่เหยียนนิมิตภาพศาลหลวี่กงที่อยู่ใกล้กับศาลเทพลาคลอง เฝินเหอในอาณาเขตของแคว้นเมิ่งเหลียงตามมาติดๆ
อวี๋เสวียนนิมิตภาพยอดเขาเถียนจินที่ตั้งของสานักดั้งเดิม สถานที่แห่งนี้เคยเป็ นสถานที่ที่ผู้เฒ่าเลือกเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม และพื้นที่ก่อตั้งสานักในช่วงแรกเริ่มสุด
เสี่ยวโม่นิมิตถึงพื้นที่ประกอบพิธีกรรมซึ่งเป็ นสถานที่ที่สร ้างขึ้น อย่างค่อนข้างจะขอไปที นั่นคือกระท่อมหลังหนึ่งบนชายหาดลั่วเป่าที่ ในอดีตเคยใช ้เป็ นสถานที่หมักเหล้า
ส่วนป๋ ายจิ่งนั้นไม่เกรงใจกันอย่างยิ่ง สิ่งที่นางนิมิตถึงคือดวง ตะวันร ้อนแรงเจิดจ้าดวงหนึ่ง
ภาพนิมิตในใจของผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาเหล่านี้ เนื่องจากจงใจ ไม่ร่ายตราผนึก ปลดปล่อยพลังจิตกันออกไปอย่างเต็มที่ เป็ นเหตุให้ “จาแลงออกมา” เป็ นเค้าโครงที่ชัดเจนในฟ้ าดินเล็ก
แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็ นนิมิตที่เป็ นภาพลวงตาอยู่ดี
ตอนนี้อวี๋เสวียนไม่รู ้ว่าเฉินผิงอันคิดจะท าอะไรกันแน่ ก็เหมือน
อย่างที่สหายฉุนหยางบอก แค่ตั้งตารอดูไปก็พอ
จากนั้นเฉินผิงอันก็บังคับจันทร ์กลางบ่อกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต “เล่มนั้น” ให้คล้ายกับจิตรกรเอกที่เชี่ยวชาญในการวาดภาพลายเส้น ขาวดาที่สุดในโลก ส่วนพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่ผู้ฝึ กตนเหล่านั้น นิมิตขึ้นมาก็คล้ายกับเป็ นต้นฉบับของแต่ละภาพ ประหนึ่งเทียบอักษร “เสียดายที่ปราณกระบี่ห่าง” ซึ่งเฉินผิงอันได้มาจากหอชิงฝูชิ้นนั้น แค่ต้องใช ้วิธีวาดแบบสองตะขอแล้วเติมหมึกในลายเส้นให้เต็ม เหมือนลอกลายมาจากภาพผลงานจริงเท่านั้น นี่จึงเป็ นเหตุให้ ใกล้เคียงกับต้นฉบับที่เป็ นของจริงมากที่สุด
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเฉินผิงอัน นกในกรงที่เป็ น หนึ่งในนั้นก็คือฟ้ าดินที่ว่างเปล่าเหมือนเนื้อหนังมังสาภายนอกของ มนุษย์
จันทร ์ในบ่ออีกเล่มหนึ่งกลับเหมือนกระบี่บินขนาดเล็กจานวนสี่ แสนกว่าเล่มที่จาแลงมาจากกระบี่เล่มเดียว สร ้างขึ้นมาเป็ นเส้นเอ็น กระดูกและเส้นชีพจรของเนื้อหนังมังสาฟ้ าดินแห่งนี้ พื้นฐานโครงร่าง
เหมือนการตั้งเสาคานให้กับบ้าน คล้ายกับช่วยเติมเต็มเลือดเนื้อและ กระดูกให้กับร่างมนุษย์นี้ให้เติม
เห็นเพียงว่าหอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาวที่บนหลังคาปูเต็ม ไปด้วยกระเบื้องแก้วใสสีเขียวมรกตมาปรากฏอยู่รอบใต้ฝ่ าเท้าของ เจิ้งจวีจงก่อน พริบตาเดียวก็ผุดผงาดขึ้นมาเส้นใยสีทองจ านวนนับ ไม่ถ้วนเริ่มขยายแผ่ลามออกไปด้านบน และเส้นสีทองทุกเส้นก็คือร่าง แยกของกระบี่บินที่แบ่งแยกออกมาจากจันทร ์กลางบ่อ หอแก้วใสที่สูง ถึงเก้าชั้นแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็ นเสาคานแกะสลัก ชายคาที่แขวน กระพรวน กรอบป้ ายกลอนคู่…ถึงขั้นที่ว่าแม้
กระทั่งร่องรอยที่ไม่สะดุดตาบนเสาซึ่งผ่านการเสียดสีขัดเกลา จากกาลเวลามายาวนานรวมไปถึงรอยแตกเล็กน้อยบนกรอบป้ ายที่ ผ่านลมพัดแดดส่องมาหลายพันปี ทุกจุดล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน …แต่จุดที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริงนั้นยังคงเป็ นเมื่อเจิ้งจวีจงเปิดใช ้ค่าย กลนี้ หอแก้วใสกลับเหมือนสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาที่ได้รับคาสั่ง อีกทั้ง ระหว่างนี้เส้นสีทองที่ผ่านการปรับเปลี่ยนรายละเอียดอย่างต่อเนื่องก็ สามารถท าการซ่อมแซมและชดเชยรูโหว่บนมรรคกถาทั้งหลายได้ ด้วยตัวเอง อีกทั้งจุดที่ “ผสานมรรคา” พันหมื่นจุด หอแก้วใสสีทองก็ เปลี่ยนมาเป็ นสีสันที่แท้จริงในเสี้ยววินาที
และเมื่อเส้นสีทองสองเส้นที่ยังคงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เชื่อมโยงต่อ กันในเสี้ยววินาที
ค่ายกลพลันกลายเป็ น “หนึ่ง”
หอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาวคล้ายกับ….หรือควรจะพูดว่า “ก็คือ’ ถูกเฉินผิงอันย้ายเข้ามาไว้ในนกในกรงที่อยู่นอกฟ้ าแห่งนี้
เจิ้งจวีจงตบราวรั้วเบาๆ พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ใช ้ได้”
ป๋ ายจิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ ทาเสียงขึ้นจมูก “แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?!”
นางอดไม่ไหวเอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “นี่มันวิปริตเกินไปหน่อย แล้วไหม!”
จากนั้นก็เป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเสี่ยวโม่ เฉินผิงอันก็ ยังคงสร ้างได้อย่างราบรื่นคล่องมือ
เจิ้งจวีจงจงใจนิมิตหอแก้วใสขึ้นมาก่อน อันที่จริงได้เท่ากับว่า เป็ นการถ่ายทอดมรรคาอย่างที่มองไม่เห็น ช่วยตรวจสอบชดเชยช่อง โหว่ให้กับเฉินผิงอัน
จุดที่เป็ นกุญแจสาคัญที่สุดคือในหอแก้วใสไม่มี “สิ่งมีชีวิต’ ใดๆ อยู่ ระดับความยากจึงไม่มาก
ส่วนศาลหลวี่กงที่ถูกสร ้างขึ้นแห่งนั้น เฉินผิงอันก็ยิ่งทาได้อย่าง คล่องมือ ราวกับว่าแค่กวักมือเรียกก็ได้มา
หลวี่เหยียนที่ถือแส้สะพายกระบี่ยืนอยู่ท่ามกลางร่มต้นหยางต้น หลิวริมบ่อของสระน้านอกศาล มองไปยังปลาแหวกว่ายที่กัดกินดอก หยางและแมลงในน้าซึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้าเป็ นอาหาร นักพรตฉุนห
ยางท่านนี้ลูบหนวดพยักหน้า ความเร็วในการพัฒนาด้านมรรคกถา ของเฉินผิงอันน่าชื่นชมมากจริงๆ
ต่อมาก็เป็ นยอดเขาเถียนจินของอวี๋เสวียนที่ยิ่งมี ‘ชีวิตชีวา” เพราะไม่เพียงแต่มีพืชพรรณดอกไม้ยุคโบราณอยู่เต็มทั่วทั้งภูเขา แม้แต่สัตว์วิเศษที่ป้ วนเปี้ยนอยู่นอกภูเขาก็ยังปรากฏขึ้นพร ้อมกัน
ด้วย
สิ่งปลูกสร ้างทั้งหลายและหินน้าพุ “สิ่งไร ้ชีวิต” ประเภทนี้ เฉินผิง อันจาแลง “ความจริง” และ “การจาแลงรูปโฉมที่แท้จริง” ของพวกมัน ออกมาได้อย่างไม่มีติดขัด แต่การปรากฏของพืชพรรณและสัตว์ที่มี ชีวิตเหล่านั้น นี่หมายความว่าในฟ้ าดินแห่งนี้นอกจากความเป็ นจริง แล้วก็ยังมีชีวิตด้วย
นี่ก็คือคุณความชอบจากการ “ช่วยเหลือ” ที่หลี่ซีเซิ่งได้กล่าวถึง ก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากที่เฉินผิงอันเรียกนกในกรงออกมา รวมไปถึงก่อนจะ สร ้างพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแต่ละแห่งขึ้นมาในจันทร ์กลางบ่อ หลี่ซี เซิ่งก็ไม่เคยอยู่นิ่งเฉย เห็นเพียงว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เรียกได้ว่าไร ้ ชื่อเสียงในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ของถ้าสวรรค์หลีจูผู้นี้เหยียบย่างอยู่ ท่ามกลางความว่างเปล่า เดินท่องอยู่เหนือหมื่นสรรพสิ่ง ก็เหมือนคา ชมของลู่เฉินที่บอกว่า “ดินแดนไร ้คน คนไร ้ดินแดน” ทะยานลมได้ โดยไม่ต้องมีที่พึ่ง บนบ่าแบกมหามรรคาท่องแดนไท่ซวี…อีกทั้งดู เหมือนว่าหลี่ซีเซิ่งจะสามารถมองเมินขีดจากัดของฟ้ าดินนกในกรง
ไปได้ราวกับว่าได้มุ่งเข้าสู่ความว่างเปล่า ไม่ถูกฟ้ าดินกักขัง…เรือน กายเข้าออกในฟ้ าดินของค่ายกลกระบี่ได้อย่างมีอิสระ หลี่ซีเซิ่งคีบ ยันต์ออกมาจากชายแขนเสื้อไม่หยุด ส่วนใหญ่เป็ นยันต์อักษรเดียวที่ หาได้ยากยิ่ง และในยันต์ทุกแผ่นก็เขียนอักษรไว้แค่คาเดียวเช่นภูเขา น้า เมฆ ฝน สายฟ้ า เป็ นต้น แต่ละคาล้วนเป็ นคาที่มีความหมาย ยิ่งใหญ่มาก ช่วยสร ้างความมั่นคงให้กับเส้นชายแดนสองฝั่งในและ นอกค่ายกลใหญ่ของนกในกรงแห่งนี้ในเวลาเดียวกัน
มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏขึ้นมาในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแต่ละ แห่งเท่านั้นที่ในเรื่อง “เล็ก” นี้ แม้จะบอกว่าหลี่ซีเซิ่งกับเฉินผิงอันมี การแบ่งหลักกับรองกันอีกครั้ง แต่ฝ่ ายหลังกลับไม่ได้ถูกทิ้งไว้ข้าง นอกอย่างสิ้นเชิง
ผลลัพธ ์ในท้ายที่สุดก็คือในฟ้ าดินของนกในกรงมีฟ้ าดินเล็กเพิ่ม มาอีกหลายแห่ง
เสี่ยวโม่ทอดถอนใจอยู่นาน อารมณ์ซับซ ้อนอย่างยิ่ง
เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานคุณชายเพิ่งจะพูดถึงเรื่อง “สี่ชั้น” กับ ตน อันที่จริงกุญแจสาคัญของชั้นที่สองก็คือความสาคัญในสาคัญ อีกที ต้องอาศัยการเผาผลาญยันต์จ านวนนับไม่ถ้วนมาเติมเต็มหลุม ที่เหมือนไร ้ก้นแห่งหนึ่ง สุดท้ายบรรลุถึงขอบเขตใหญ่บางอย่าง มี ความงดงามของขอบเขตปลายทางที่บอกว่า “น้ายาวถึงฟ้ ากาหนด ขอบเขต” ภูเขามั่นคงหยั่งลึกลงดินมิเสื่อมถอย” ฟ้ ากับดิน ภูเขา สายน้าแอบอิงกัน เมื่ออยู่ในนี้ห้าธาตุเคลื่อนโคจร ตะวันและจันทรา
ลอยขึ้นตกลง ยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลของสี่ฤดูกาลในหนึ่งปี สลับ ผลัดเปลี่ยน มหามรรคาเกิดเป็ นวงโคจรไม่หยุดนิ่ง ก่อเกิดมิดับสูญ
และบัณฑิตแซ่หลี่ผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถทาได้ถึงขอบเขต ของขั้นนี้มานานแล้ว
ผู้ฝึ กตนในอีกหมื่นปี ให้หลังมากไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ ระดับ การศึกษาและการเดินขึ้นสู่ที่สูงในคาว่า “ศาสตร ์” ไม่ใช่สิ่งที่คนของ เมื่อหมื่นปีก่อนจะเทียบได้จริงๆ
ส่วนป๋ ายจิ่งเวลานี้ก็นั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ขนาดย่อส่วน ตะวันดวง นี้ใหญ่เท่าแค่ภูเขาเท่านั้น และเหมือนการ ยืมใช ้” อย่างหนึ่งของเฉิน ผิงอันมากกว่า กับพื้นที่ประกอบพิธีกรรมบรรพกาลที่ป๋ ายจิ่งนิมิต ขึ้นมาก็แค่เหมือนจะใช่แต่ความจริงไม่ใช่
ส าหรับการท าอย่างลวกๆ ขอไปทีของเจ้าขุนเขาบ้านตน ป๋ ายจิ่ง ก็คร ้านจะถือสาอะไร
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ
อวี๋เสวียนยืนอยู่บนยอดเขาเถียนจิน กระแอมสองสามที ใช ้เสียง ในใจเอ่ยชมว่า “คนหนุ่มสาวในยุคสมัยนี้ร ้ายกาจจริงๆ”
คนรุ่นหลังน่ากลัว คนรุ่นหลังน่ากลัวจริงๆ คราวหน้าที่เจอกับซิ่ว ไฉเฒ่า หากอีกฝ่ ายยังพยายามเปลี่ยนวิธีมาชมลูกศิษย์คนสุดท้าย ของตัวเองทางอ้อมอีก อวี๋เสวียนคิดไว้แล้วว่าจะเออออตามไปสักสอง สามประโยค ไม่ต้องรู ้สึกฝืนใจอีก
สีหน้าของอวี๋เสวียนพลันเปลี่ยนมาเป็ นปั้นยาก “การเดินบนมหา มรรคาเพียงลาพังที่เดิมทีควรเก็บซ่อนเป็ นวิชากันกรุไม่แพร่งพราย บอกแก่ใครเช่นนี้ กลับเอาออกมาเปิดเผยแบบนี้น่ะหรือ? วันหน้าหาก เฉินผิงอันต้องถามกระบี่กับคนอื่นอีกจะทาอย่างไร? ไม่ใช่ว่าต้องเสีย โอกาสได้เปรียบไปหรอกหรือ?”