กระบี่จงมา - ตอนที่ 1001.2 ขบวนการสู้รบ
“ซู่เซี่ย หากตัดเนื้อหาด้านท้ายคาว่า “ถือยันต์วิเศษ” กับ “สอง ห้อยตกลงสู่ล่างภูเขา” จะเหมาะสมกว่าหรือไม่? เพราะถึงอย่างไรก็ เป็ นเนื้อหาของนักเรียนประถม ดูเหมือนจะไม่เหมาะที่จะสัมผัสกับ ภาษาตระกูลเซียนที่เต็มไปด้วยความประหลาดมหัศจรรย์เร็วเกินไป หรือไม่”
จ้าวซู่เซี่ยกล่าว “อาจารย์ ข้าคิดว่าไม่ได้เป็ นปัญหามากนัก ถึง อย่างไรข้าก็ได้ยินเรื่องเล่าลือทานองว่าผีภูเขา ลิงน้า แล้วก็พวก ปี ศาจจิ้งจอกมาตั้งแต่เด็กแล้ว บางทีอาจจะไม่ได้ต่างไปจากยันต์ วิเศษหรือยาม่วงทองอะไรเลยด้วยซ้า”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองพิจารณาดูอีก หน่อย”
ตลอดทางที่เดินกันมานี้จ้าวซู่เซี่ยฝึ กท่าหมัดเดินนิ่งหกก้าว พร ้อมกับท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ตลอด ทุกวันตอนนอนหลับก็จะฝึกท่า นอนเขียนชิว ท่าที่นอนก็มีข้อพิถีพิถันด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ฝึกหมัดอยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ อันที่จริงไม่ต้อง ให้อาจารย์เปิดปากตัวของจ้าวซู่เซี่ยเองก็ตระหนักได้ถึงปัญหาที่ใหญ่ อย่างมากแล้ว หมัดเขย่าขุนเขายังดี แต่กระบวนท่าม้าเหล็กเหล็ก ทะลวงขบวนรบ ไอเมฆเหนือบึงใหญ่ เทพตีกลองสายฟ้ า…ซึ่งเป็ นสุด
ยอดวิชาของอาจารย์ชุยพวกนี้ ดูเหมือนว่าพออาจารย์กับศิษย์พี่ หญิงเรียนรู ้มาก็สามารถฝึ กกระบวนท่าหมัดพวกนี้ได้อย่าง คล่องแคล่วมาก แต่จ้าวซู่เซี่ยกลับเรียนได้ช ้ามาก ช ้าจนจ้าวซู่เซี่ย เองรู ้สึกล าบากใจนิดๆ แล้ว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ปีนั้นข้าเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปโชค ดีได้พบกับผู้ที่เรียบเรียงต าราหมัดเขย่าขุนเขา ผู้ฝึกยุทธขอบเขต ปลายทางของราชวงศ์ต้าจ้วน กู้โย่วผู้อาวุโสกู้ตอนนั้นเขาไม่ได้บอก กล่าวสถานะของตัวเอง ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ การพบเจอบน ถนนแคบครั้งนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีผู้อาวุโสกู้ก็จะถามหมัดกับข้า ตอนหลัง ถึงได้รู ้ถึงความตั้งใจของผู้อาวุโสท่านนี้ คือเขาอยากจะลองชั่ง น้าหนักดูว่าข้าเรียนรู ้แก่นของตาราหมัดไปได้กี่มากน้อยแล้ว ส่วน ขั้นตอนและผลลัพธ ์จากการถามหมัดนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง ถือ ว่ารับหมัดไว้ได้อย่างถูไถ ไม่ได้ท าให้ผู้อาวุโสผิดหวังเกินไป ภายหลัง ข้าเดินทางไปร่วมกับผู้อาวุโสกู้ระยะทางหนึ่ง แล้วก็เพราะแค่เรื่องเรื่อง หนึ่ง ผู้อาวุโสถึงได้ต้องหันมามองข้าเสียใหม่”
จ้าวซู่เซี่ยถามอย่างใคร่รู ้“คือเรื่องที่อาจารย์ขยันฝึกหมัดหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ ค าว่าขยันค่อนข้างจะคลุมเครือ ฝึก หมัดเป็ นได้จิตวิญญาณมา ฝึกหมัดตายก็มีแต่เส้นเอ็นและกระดูก ที่ว่างเปล่า ทว่าทั้งสองอย่างนี้ต่างก็ถือว่าขยันทั้งคู่ ผู้ฝึกยุทธในใต้ หล้าที่ฝึกหมัดโดยทนกับความยากลาบากได้มีมากมายดุจขนวัว แต่ หากไม่รู ้วิธีที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมัดนอก ส่วนใหญ่จะ
กลายเป็ นว่าเชิญเทพไม่ส าเร็จกลับกลายเป็ นเรียกผีมาแทน พอถึงวัย กลางคนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็จะมีแต่โรคร ้ายทิ้งไว้เต็มไปหมด ผู้อาวุโส กู้คุยเรื่องการฝึ กหมัดกับข้า พูดไปถึงกระบวนท่าฟ้ าดิน ข้าเสนอ ความเห็นของตัวเองออกไป บอกว่าจะสามารถเอาท่าเดินหกก้าว ท่า ยืนเจี้ยนหลูและท่าฟ้ าดิน สามท่านี้มารวมให้เป็ นหนึ่งได้หรือไม่ ตอน นั้นแม้ว่าสีหน้าของผู้อาวุโสกู้จะราบเรียบ แต่ก็ยากจะปกปิดแววตก ตะลึงในดวงตาไว้ได้”
จ้าวซู่เซี่ยถามอย่างสงสัย “อาจารย์ หมายความว่าอย่างไร? ข้า สามารถเรียนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ต้องเรียนได้อยู่แล้ว อาจารย์พูดชัดเจนขนาดนี้แล้วเจ้ายังคิดถึงความเชื่อมโยงไม่ออกอีก หรือ? ซู่เซี่ยอ่า คุณสมบัติไม่ได้เรื่อง ความสามารถในการท าความ เข้าใจก็มีไม่มากพอนะ”
เฉินผิงอันเห็นว่าอีกฝ่ ายยังหัวทึบก็ได้แต่แบฝ่ ามือข้างหนึ่ง ออกไปแล้วพลิกหมุนเบาๆ
จ้าวซู่เซี่ยคิดตามอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อน จะพยักหน้ารับหนักๆที่แท้ก็เป็ นอย่างนี้นี่เอง!
เห็นเพียงว่าจ้าวซู่เซี่ยปล่อยหมัดออกไปในท่าเดิน แล้วพลิกตัว กลับหัวกลับเท้า ฝ่ ามือยันพื้น ใช ้มือข้างเดียวทาท่าเจี้ยนหลู และยัง
ท่องคาถาวิชาหมัดของท่าฟ้ าดิน ลมปราณที่แท้จริงไหลรินไปทั่วเส้น ชีพจรนับร ้อย เดินนิ่งหกก้าวไปด้วยท่า “กระโดดดึ๋งๆๆ
เฉินผิงอันกลั้นขา “ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูเปลี่ยนมาเป็ นมือเดียว รสชาติออกจะผิดแปลกไปสักหน่อย ไม่สู้เจ้าลองเอาหัวยันพื้น ใช ้หัว เดินแทนมือซ ้าย ตอนเรียนแรกๆ ก็จะยากหน่อยแต่พอนานเข้าก็จะรู ้
ถึงความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่แล้ว” จ้าวซู่เซี่ยทดลองตามวิธีที่อาจารย์บอกจริงๆ
ระหว่างทางเดินผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งบังเอิญเจอกลุ่มคนที่ออกมา เดินตอนกลางคืนพอดี เฉินผิงอันรีบยกเท้าเตะให้จ้าวซู่เซี่ยพลิกตัว กลับมาเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “อย่าเดือดร ้อนให้อาจารย์ ถูกคนมองเป็ นคนโง่ไปด้วย”
จ้าวซู่เซี่ยลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่มีเต็มหัวและเต็มร่าง สีหน้าอ่อนใจ
เฉินผิงอันหยิบเมล็ดแตงกามือหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ แบ่ง ให้จ้าวซู่เซี่ยครึ่งหนึ่งแทะเมล็ดแตงยิ้มเอ่ยว่า “ตอนแรกที่อยู่ในชั้น สองของเรือนไม้ไผ่ ยามที่ผู้อาวุโสชุยพูดถึงต าราหมัดเขย่าขุนเขา ค าพูดเต็มไปด้วยความดูแคลน อะไรที่บอกว่ากลิ่นคาวดินเต็มเปี่ยม กระบวนท่าในตาราหมัดมีแต่อะไรเละเทะ พูดจาไม่กลัวลิ้นขาด ภายหลังรอให้ข้าได้เจอกับผู้อาวุโสกู้ เขาก็บอกว่าผู้อาวุโสชุยไม่มี ความสามารถในการสอนหมัดมากพอ หากเปลี่ยนเขามาเป็ นคน
สอน รับรองว่าข้าจะต้องฝ่ าทะลุขอบเขตด้วยคาว่าแข็งแกร่งที่สุดทุก ครั้งแน่นอน”
จ้าวซู่เซี่ยฟัง “ประสบการณ์ในยุทธภพ” ที่ล้าค่าอย่างถึงที่สุด แม้ว่าอาจารย์จะพูดง่ายๆ สบายๆ ถึงขั้นที่ว่ามีอารมณ์ขันแฝงอยู่ แต่ กลับท าให้จ้าวซู่เซี่ยรู ้สึกจิตใจใฝ่หาเป็ นอย่างยิ่ง
อยู่ดีๆ จ้าวซู่เซี่ยก็นึกถึงบทนาของตาราหมัดขึ้นมาจึงถามอย่าง ใคร่รู ้ว่า “อาจารย์เคยเจอบรรพจารย์ของสามลัทธิหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “ปรมาจารย์มหาปราชญ์และมรรคา จารย์เต๋าล้วนเคยเจอมาก่อน แล้วก็เคยคุยกันด้วย”
จ้าวซู่เซี่ยไม่ถามมากอีก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีข้อห้ามอะไรหรอก ปรมาจารย์มหา ปราชญ์คือบัณฑิตที่มีเรือนกายสูงใหญ่ก าย า ความประทับใจแรก ของข้าในเวลานั้นก็คือ “แค่มองก็รู ้แล้วว่าเป็ นคนที่เคยท่องยุทธภพ มาก่อน” มรรคาจารย์เต๋าตัวจริงไม่เหมือนกับรูปลักษณ์ที่วาดไว้ใน ภาพเหมือนของใต้หล้ามืดสลัว อันที่จริงยังมีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่ม”
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มถาม “อาจารย์เคยเจอผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง มาแล้วหลายคนกระมัง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากไม่นับพวกคนที่เคยเจอไกลๆ และคนที่รู ้จักเพียงผิวเผิน อันที่จริงก็ไม่ถือว่ามีเยอะนัก ไม่เกินสองมือ นับกระมัง”
เฉินผิงอันผงกปลายคางไปทางป่าไม้ฝั่งตรงข้ามของลาธาร เอ่ย เตือนว่า “ซูเซี่ย เจ้าลองมองป่าไผ่แถบนี้สิว่ามีหน่อไม้อยู่บ้างหรือไม่ เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะแสดงฝีมือทาอาหารจานหนึ่งให้เจ้าชิม กับข้าวที่ เจ้าทาไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ บอกตามตรงก็คือได้แค่กินได้เท่านั้น”
จ้าวซู่เซี่ยเห็นว่ารอบด้านไร ้ผู้คนจึงดีดปลายเท้าทะยานผ่านล า ธาร ไปหาหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิในป่ าไผ่ เพียงไม่นานก็หักหน่อไม้ กลับมาเต็มอ้อมอก
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ไปเด็ดผักขมป่ ากาใหญ่ในร่อง คันนามา และยังมีต้นหอมป่ าอีกหนึ่งกามือ ผักชนิดนี้เอาไปผัดกับ พริกและเต้าเจี้ยว กินเป็ นกับแกล้มก็สุดยอดไปเลย
เดินกลับไปที่หมู่บ้านหยวนโถวด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะ ว่าไปแล้วก็แปลกนักขนาดปลากุ้ยเหม็นยังรู ้สึกว่าอร่อย แต่มีแค่ กับข้าวอย่างหน่อไม้ผัดน้ามันเท่านั้นที่กินไม่ลง”
จ้าวซู่เซี่ยกล่าว “อาจารย์ หน่อไม้ผัดน้ามันอร่อยมากเลยนะ แต่ ข้าไม่ชินกับต้นทูนผัดไข่”
หลังจากเผาภูเขาไปแล้ว ปีหน้าผักกูดต้องเจริญงอกงามแน่นอน เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ต้องรอให้เป็ นหลังเทศกาลชิงหมิงถึง จะขึ้นเขาไปเก็บมาได้ ไปจุดธูปเช่นไหว้บรรพบุรุษที่หน้าหลุมศพ หรือไม่ก็ไปที่ไร่ชา ตอนกลับบ้านต้องไม่มีทางกลับมามือเปล่าแน่ กลับไปถึงที่โรงเรียน จ้าวซู่เซี่ยยิ้มเอ่ย “อาจารย์ อาจารย์เฝิ งและ
อาจารย์หานของหมู่บ้านอู๋ซี ช่วงนี้คงต้องมาหาเรื่องอาจารย์แน่นอน เลย”
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ให้พวกเขาแสดง ฝี มือได้เต็มที่เลย จะประลองบทกวีหรือเขียนกลอนคู่ อาจารย์ก็ไม่ กลัวอยู่แล้ว”
โรงเรียนที่เรียบง่ายแห่งนี้มีแค่บ้านดินเหนียวที่เอาไว้ใช ้เป็ น ห้องเรียนหลังเดียวเท่านั้นนอกจากนี้ก็มีกระท่อมอีกสองหลัง หลัง หนึ่งเอาไว้ให้อาจารย์สอนหนังสือพักผ่อน อีกหลังหนึ่งเอาไว้เป็ น ห้องครัวและเก็บของจุกจิก
จ้าวซู่เซี่ยจึงมาปูที่นอนอยู่ในห้องครัว เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะ ให้อาจารย์และลูกศิษย์พักอยู่กระท่อมหลังเดียวกัน เพียงแต่จ้าวซู่เซี่ย ไม่ยอม บอกว่านับแต่เด็กมาตัวเองก็มีวาสนากับห้องครัว
บ้านดินเหนียวมีมาแต่เดิมอยู่แล้ว แค่ว่าไม่เคยมีคนอยู่อาศัยมา นานแล้ว เฉินผิงอันจึงเช่าคนอื่นมาอีกที ส่วนกระท่อมเล็กสองหลัง นั้นเพิ่งสร ้างขึ้นใหม่ ตอนนี้ในโรงเรียนมีเด็กนักเรียนแค่แปดคน ส่วน ใหญ่ยังสวมกางเกงเปิดก้นกันอยู่
เมื่อโรงเรียนถูกก่อตั้งขึ้น หนึ่งดูจากลักษณะท่าทางของอาจารย์ สอนหนังสือที่มีชื่อว่าเฉินจี้ผู้นั้นแล้ว อายุสามสิบกว่าๆ ถึงอย่างไรก็ ไม่ใช่พวกคนมุทะลุบุ่มบ่ามที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้านมทาอะไรไม่ น่าเชื่อถือ เก็บกวาดได้อย่างสะอาดเอี่ยม เหมือนอาจารย์ที่ในท้องมี
น้าหมึกอยู่หลายจินจริงๆ สองคนผู้นี้ค่อนข้างเข้าใจพูด ก่อนจะเปิด โรงเรียนได้แวะเวียนไปตามหมู่บ้านทั้งสองแห่ง อีกทั้งยังถือว่าพอจะ เข้าใจกฎเกณฑ์อยู่บ้าง ไม่ได้ไป “ขุดมุมกาแพง” ที่หมู่บ้านอู๋ซี ข้อ สุดท้ายแล้วก็เป็ นหตุผลที่สาคัญที่สุดก็คือเก็บเงินน้อย! เมื่อเทียบกับ โรงเรียนของหมู่บ้านอู๋ซีแล้วน้อยกว่าเกือบครึ่ง
อีกทั้งอาจารย์คนนี้ยังรับปากกับทางหมู่บ้านว่า หากเป็ นช่วงที่ ต้องท านา พวกเด็กๆสามารถหยุดเรียนได้ เขาถึงขั้นสามารถไปช่วย ท านาได้ด้วย
เพื่อแย่งการค้า ไอ้หมอนี่ก็ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ไร ้อารยธรรมน่า อับอายสิ้นดี!
อาจารย์สองคนที่จ้าวซู่เซี่ยพูดถึง คนหนึ่งคือถงเซิงผู้เฒ่าที่ หมู่บ้านอู๋ซีจ้างมาด้วยเงินก้อนใหญ่ มีชื่อว่าเฝิ งหย่วนถิง และยังมี อาจารย์สอนหนังสืออีกคนหนึ่งที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในอ าเภอสู้ยอัน บ้างเล็กน้อย หานว่อ นามอวิ๋นเฉิง แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีต าแหน่ง แต่ก็เคยสอนคนจนกลายเป็ นซิ่วไฉมาแล้วหลายคน เรียกได้ว่าเป็ น นักปราชญ์ในท้องถิ่นที่น่าเลื่อมใสคนหนึ่ง อาจารย์ผู้เฒ่าหานท่านนี้ ทุกวันนี้เปิดคาบเรียนอยู่ในตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งของหมู่บ้านอู๋ซี เฝิงหย่วนถิงอยู่กับหานว่อก็ไม่เคยโงหัวได้ มีแค่บางครั้งที่จะมาดื่ม เหล้าร่วมกันบ้าง รอกระทั่งมีโรงเรียนมาเปิดใหม่ที่ตีนสันเขาแห่งนั้น เฝิงหย่วนถิงก็มักจะเลี้ยงเหล้าหานว่อบ่อยๆ เขาเคยอ่าน “ต าราพิชัย ยุทธ” มาหลายเล่ม หากกระท าการบุ่มบ่ามจะไปละเมิดข้อห้ามของ
ส านักการทหารเข้า จึงรู ้สึกว่าควรไปหยั่งเชิงให้รู ้ก่อนว่าอีกฝ่ ายมี ความสามารถจริงหรือไม่ แล้วค่อยคิดหากลยุทธในการรับมือ ค าว่า ตาราพิชัยยุทธอันที่จริงก็คือนิยายเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร ์ ความรุ่งเรืองร่ารวยของแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเท่านั้น หานว่อเกลี้ยกล่อม เขาว่าไม่มีความจ าเป็ นจะต้องไปถือสาหาความอาจารย์สอนหนังสือ ในหมู่บ้านเล็กๆ คนหนึ่ง ในเมื่อเป็ นเพื่อนร่วมอาชีพก็ควรปรองดอง กันไว้จะดีกว่า ปากของเฝิงหย่วนถิงพูดเออออไม่หยุดก็จริง แต่ในใจ กลับนินทาดังขรม ตนไม่ได้คิดจะไปแย่งเด็กนักเรียนประถมไม่กี่คน นั้นสักหน่อย นี่ก็เป็ นแค่เรื่องของหน้าตาเท่านั้น หากบัณฑิตไม่ ต้องการหน้าตาแล้วไซร ้ยังจะเป็ นบัณฑิตไปเพื่ออะไร ทุกครั้งที่ โรงเรียนของตนมีนักเรียนหายไปคนหนึ่ง ก็เท่ากับเฝิงหย่วนถิงถูกตบ บ้องหูครั้งหนึ่ง เป็ นสิ่งที่มิอาจทนได้เลย
หากไม่เป็ นเพราะทุกวันนี้ตามกฎของต้าหลี การเปิดโรงเรียน ส่วนตัวในท้องถิ่นล้วนจาเป็ นต้องรายงานให้ทางที่ว่าการอาเภอทราบ แล้วยังต้องขอให้เซี่ยนเจี้ยวอวี๋มาตรวจสอบความรู ้ของผู้สอนด้วย ตัวเอง เขาก็คงหาเรื่องใส่ร ้ายเจ้าหมอนั่นไปแล้ว จะต้องเอาเรื่องไป ฟ้ องทางการให้เจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นได้เห็นดีกันบ้าง
เฉินผิงอันกล่าว “ซู่เซี่ย รอให้เจ้าฝ่ าทะลุขอบเขตข้าจะถ่ายทอด คาถาโคจรลมปราณบทหนึ่งให้เจ้า แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะกับ เจ้า เตรียมใจไว้ก่อนเลยว่าอาจจะเรียนไม่ส าเร็จ”
นั่นคือบทปราณกระบี่สิบแปดหยุด
จ้าวซู่เซี่ยพยักหน้า เอ่ยขอตัวลากับอาจารย์ ไปปูผ้านอนที่พื้น ห้องครัว ฝึกท่านอนเชียนชิว ควบคุมลมหายใจ เพียงไม่นานก็หลับ สนิท
มาถึงที่นี่จ้าวซู่เซี่ยเริ่มค้นพบเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง มีอยู่หลาย ครั้งที่เรียกอาจารย์เรียกอยู่หลายที อาจารย์กลับไม่มีปฏิกิริยา ตอบสนอง สุดท้ายเขาต้องเดินไปหา เฉินผิงอันถึงจะยิ้มเอ่ยขออภัย บอกว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้ยิน หลังจากนั้นมาจ้าวซู่เซี่ยก็ต้องเดินไปหยุด อยู่ตรงหน้าอาจารย์ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับเขาทุกครั้ง