กระบี่จงมา - ตอนที่ 917.4 เรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ขอบคุณนักพรตซุนที่รักและเอ็นดู”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันถามเสี่ยวโม่ว่า “ในบรรดาผู้ฝึกตนกลุ่มของพวกเจ้าที่ถูกป๋ายเจ๋อปลุกขึ้นมา ไม่ทราบว่าความสามารถในการเข่นฆ่าของสหายโม่เซิงอยู่ในอันดับที่เท่าไร?”
เสี่ยวโม่ตอบอย่างจริงใจ “พลังพิฆาต การป้องกัน วิชาการหลบหนี เสี่ยวโม่ล้วนไม่ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด แต่ลำดับรายชื่อในแต่ละด้านล้วนถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นเหตุให้หากจะต้องจับคู่เข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ล้วนสามาถรักษาตัวรอดได้ นอกจากคนสองสามคนแล้ว ขอแค่ไม่มีคนอื่นมาขัดขวางก็ล้วนสามารถสังหารได้”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ “เสี่ยวโม่คือคนที่ปีนั้นเคยหมักเหล้าร่วมกับเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวและเคยถามกระบี่กับหยวนเซียงสินะ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างเขินอาย “เรื่องในอดีต ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
เจิ้งต้าเฟิงรีบยกชามเหล้าขึ้น “ข้อนี้เสี่ยวโม่เหมือนข้า มิน่าเล่าถึงได้ถูกชะตากันนัก”
ล้วนเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันนี่นะ ลูกผู้ชายไม่พูดถึงความกล้าหาญในวันวาน เรื่องสกปรกโสมมในอดีตไม่มีค่าพอให้โอ้อวด
เสี่ยวโม่หันหน้าไปหาเจิ้งต้าเฟิง สองมือชูชามเหล้าขึ้นกระดกดื่มรวดเดียวหมด
เฉินผิงอันถาม “ตำหนักสุ้ยฉูมีเหรียญทองแดงแก่นทองที่เหลือใช้บ้างหรือไม่?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “มีอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ทราบว่า ‘มีอยู่บ้าง’ ของเจ้าตำหนักอู๋คือเท่าไรหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงตอบ “จะมากหรือน้อยล้วนไม่มีความหมาย ถึงอย่างไรก็ไม่ให้เจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่น้ำไกลมิอาจดับกระหายใกล้ได้ นกในกรงกระบี่บินเล่มนั้นของเจ้า หากคิดจะสร้างเค้าโครงของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งขึ้นมาก็ต้องมาขอเหรียญทองแดงแก่นทองของตำหนักสุ้ยฉูหรือ? ทำไม คิดจะให้ข้าเอาหัวโหม่งใต้หล้าห้าสีออกไปหรืออย่างไร?”
เฉินผิงอันยังไม่ถอดใจ “จะปรึกษากันสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
ส่วนเรื่องที่ว่าอู๋ซวงเจี้ยง ‘เข้าใจดุจฝ่ามือ’ ของตัวเองถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ตอนอยู่คฤหาสน์หลบร้อนและตอนที่คุยเล่นกับเกาเหย่โหวในจวนเฉวียนฝู่ รวมไปถึงตอนรำลึกความหลังกับฉีโซ่ว ดูเหมือนว่าอู๋ซวงเจี้ยงจะรู้ชัดเจนดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเดาแล้ว ถึงอย่างไรก็เดาไม่ออก
และแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ต่อให้ถูกตนสร้างขึ้นมาได้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่ส่วนเดียว ในอนาคตก็ยังต้องการ ‘น้ำเป็น’ ที่มีต้นกำเนิดไม่ขาดสายเช่นกัน ใช้สิ่งนี้มาเพิ่มระดับน้ำ ถึงขั้นที่ว่าขยับขยายท้องน้ำ พูดง่ายๆ ก็คือ ในอนาคตจันทร์กลางบ่อจะสามารถจำแลงกระบี่บินหนึ่งล้านเล่ม นกในกรงก็สามารถสร้างแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งขึ้นมาสายหนึ่งได้เช่นกัน วิชาอภินิหารหลายอย่างของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มช่วยเหลือกันและกัน และเมื่อเฉินผิงอันกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ถ้าอย่างนั้นยามเจอกับอู๋โจวหรือไม่ก็ป๋ายโอ่วที่ใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่ต้องหันเลี้ยวเผ่นหนีโดยไม่ทันได้พูดได้จา อย่างน้อยที่สุดก็มีต้นทุนซึ่งเป็นเรี่ยวแรงในการสู้รบแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เว้นไว้เถอะ”
เฉินผิงอันซักถาม “มีประโยชน์ต่อตำหนักสุ้ยฉูหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า ให้คำตอบแบบขอไปที “ก็เหมือนกับหน้าผาสังหารมังกรนั่นแหละ ไม่มีประโยชน์ที่แท้จริงอะไร ก็แค่เก็บไว้แล้วน่ามอง ของที่ขายง่ายซื้อยาก ใครเล่าจะรังเกียจว่ามีมากไป”
เฉินผิงอันรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย
“ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าชีวิตนี้เจ้าไม่มีทางเป็นชุยฉานได้ หากเป็นเขา ป่านนี้คงทำการค้ากับศาลบุ๋นไปนานแล้ว เศษชิ้นส่วนร่างทอง ที่ใดในโลกมนุษย์ที่มีมากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เมื่อสงครามใหญ่บังเกิดขึ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในแต่ละสถานที่ไม่ได้มีขาเสียหน่อย จะหนีไปไหนได้ ก็แค่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง มีอะไรให้ต้องลำบากใจเล่า?”
“ไม่ตอบตกลงซ่งเหอเป็นราชครูต้าหลีคนใหม่ก็ถือว่าเจ้าเฉินผิงอันรู้จักตัวเองอยู่บ้าง”
เจิ้งต้าเฟิงฟังด้วยความเบิกบานใจ
อู๋ซวงเจี้ยงไม่เห็นเป็นสำคัญ “โลกมนุษย์เป็นเช่นนี้ แล้วนอกฟ้าล่ะ? เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าเช่นนี้จะพูดประโยคว่าข้าจะทำอะไรก็เรื่องของข้าให้สมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวได้อย่างไร”
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มพัดลมกระพือไฟ “เฉินผิงอันมีเรื่องที่เฉินผิงอันทำอย่างชุยเฉิงหรืออู๋ซวงเจี้ยงไม่ได้ อู๋ซวงเจี้ยงก็มีเรื่องที่อู๋ซวงเจี้ยงทำอย่างเฉินผิงอันไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มน้อยๆ “ข้าก็แค่บอกว่าเฉินผิงอันมิอาจเป็นซิ่วหู่ได้ ไม่ได้บอกว่าข้าเป็นซิ่วหู่หรืออิ่นกวานได้เสียหน่อย คนละเรื่องกัน ไม่ขัดแย้งกัน อาจารย์เจิ้งไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลมาปฏิเสธเหตุผล”
เจิ้งต้าเฟิงรีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ รับมือได้ค่อนข้างยากอยู่นะ จึงโยกหัวไปทางชุยตงซาน ความหมายคือตาเจ้าบ้าง
ชุยตงซานเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “เคยสู้แล้ว สู้ไม่ได้”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าตำหนักอู๋เตรียมจะไปจากนครบินทะยานแล้วหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “กลับไปดูที่นั่นสักหน่อย มีคนรุ่นเยาว์ที่คุณสมบัติพอใช้ได้อยู่หลายคนที่จำเป็นต้องให้ข้าไปชี้แนะด้านการฝึกตนด้วยตัวเอง อีกทั้งข้ายังรับปากซุนไหวจงไว้ด้วยว่าจะช่วยปกป้องมรรคาให้กับนักพรตหญิงแห่งอารามเสวียนตู เนื่องจากนางคือเสาคานของอารามเสวียนตูในอนาคต ข้าจึงต้องทำตามสัญญา”
กลับ?
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปเงียบๆ หนึ่งอึก
ในฐานะหนึ่งในกองกำลังลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัว นักพรตสามคนซึ่งมีนักพรตของตำหนักสุ้ยฉูเป็นหนึ่งในนั้นได้จับมือกันเร่งเดินทางมายังใต้หล้าห้าสี ตำหนักสุ้ยฉูอยู่ทางทิศตะวันออก วาดวงกลมเป็นรัศมีของอาณาเขตขุนเขาสายน้ำ กับภูเขาใต้อาณัติที่อารามเสวียนตูมาสร้างไว้ในใต้หล้าห้าสีก็ตั้งอยู่หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ของกองกำลังป๋ายอวี้จิงพอดี
ก็เหมือนกับ ไม่ใช่เหมือนกับอะไรแล้ว แต่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเราสองบ้านจงใจทำให้ป๋ายอวี้จิงของพวกเจ้าสะอิดสะเอียน
จะไม่ยอมให้ป๋ายอวี้จิง ‘เดินทางเก่า’ กลายเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวอย่างในใต้หล้ามืดสลัวอีกแน่นอน
ผู้ฝึกตนที่กล้างัดข้อกับป๋ายอวี้จิงอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวก็มีแค่อู๋ซวงเจี้ยงกับนักพรตซุนแล้ว
ผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูขึ้นชื่อว่าไม่กลัวตาย
สายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าของอารามเสวียนตูนั้นเป็นที่รู้กันว่าชอบต่อยตี หรือพูดให้ถูกก็คือชอบรุมตี
อู๋ซวงเจี้ยงลุกขึ้นยืน เตรียมจะจากไปแล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ขออวยพรให้อาจารย์อู๋เดินทางราบรื่น”
การค้าขายไม่สำเร็จ มิตรภาพยังคงอยู่
อู๋ซวงเจี้ยงมองอิ่นกวานหนุ่มที่มองดูเหมือนสะอึกอึ้งอยู่ตลอดเวลาผู้นี้ เหอะ เจ้าคนเลว ตอนนี้ต้องคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะตีสนิทกับเหวยเซ่ออย่างไรแน่นอน
นี่คือข้อดีที่เก็บงำได้อย่างมิดชิดของเฉินผิงอัน มีสะพานเดินข้ามสะพาน มีถนนเดินบนถนน ใต้ฝ่าเท้าไร้เส้นทางก็ลุยลำธารข้ามขุนเขา
แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่วันนี้อู๋ซวงเจี้ยงเลือกจะเป็นฝ่ายปรากฏตัวโดยที่ไม่ใช่แค่จากไปอย่างเงียบเชียบ
คนผู้หนึ่งพกกระบี่บินทะยานมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าไพศาล
คนผู้หนึ่งยอมให้ศาลบุ๋นหักคุณูปการอย่างไม่เสียดายเพื่อเร่งรุดเดินทางมายังใต้หล้าห้าสี
คู่รักเทพเซียนที่เป็นเช่นนี้ ทำให้คนนอกที่ได้มองแค่แวบเดียวก็ยังรู้สึกว่างดงามมากอยู่ดี
คู่รักที่สวรรค์สรรสร้าง คนมีรักได้ครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
อู๋ซวงเจี้ยงอารมณ์ไม่เลว
เขาจึงเปลี่ยนใจ หยิบเศษเงินก้อนหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ ถามว่า “นี่คืออะไร?”
“เงิน”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “เส้นทางทำเงิน นอกจากคำพูดแล้วก็เป็นของสิ่งนี้ที่ไหลเวียนไม่หยุดนิ่งมากที่สุดในใต้หล้า”
อู๋ซวงเจี้ยงถาม “สองทวีปอย่างใบถงและฝูเหยา แคว้นน้อยใหญ่หลายร้อยแห่ง ในอดีตมีภาษีที่นาและภาษีต่างๆ อย่างไร รวมแล้วมีเท่าไร เคยเปิดอ่านสมุดบัญชีที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋นมาแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คัดลอกมาไว้หนึ่งฉบับ”
อู๋ซวงเจี้ยงผงกศีรษะ คนฉลาดแค่แนะนำเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้ง ไม่เสียแรงที่วันนี้ตนเปิดเผยความจริงและความลับสวรรค์มากหน่อยโดยไม่กังวลว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน “แทนที่จะวิ่งเต้นไปทั่วให้เหนื่อยยาก เลือกๆ หาๆ เผาผลาญความสัมพันธ์ควันธูปจนหมดสิ้น ไปขอร้องให้คนอื่นพยักหน้าตอบตกลงขายเหรียญทองแดงแก่นทองให้กับเจ้า ไม่สู้หาจุดเชื่อมต่อสำคัญสักหนึ่งถึงสองจุด ปัญหายากย่อมได้รับการคลี่คลายไปเอง เป็นผ้าห่อบุญที่ทำการค้าก็ดี หรือทำการค้ากับหลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีปก็ช่าง ค่าใช้จ่ายของเจ้า ราคาที่เจ้าต้องจ่าย ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่น้อย”
“เงินเทพเซียนสามชนิดบนภูเขาอย่างเกล็ดหิมะ ร้อนน้อย ฝนธัญพืช เงินเหรียญทองแดงแก่นทองล่างภูเขา บวกกับตั๋วเงินในโรงรับเงินแห่งต่างๆ ผู้คนเบียดเสียดกันแออัด ล้วนเป็นการช่วยเหลือกันและกัน สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือคำว่าเงินนั่นเอง”
เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีป อาจารย์ฟ่านแห่งสำนักการค้า ถือเป็นคนสองคนที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้าไพศาลแล้ว กองทัพยังไม่ทันเคลื่อนพล เสบียงต้องเคลื่อนพลก่อน เมื่อเสียงกลองรบรัวดัง ทองหมื่นตำลึงก็ไหลหายไป
ทำไมอาจารย์ฟ่านถึงไม่แย่งชิงตำหนักเศรษฐีอันดับหนึ่งจากหลิวจวี้เป่า? เพราะอาจารย์ฟ่านไม่สนใจแม้แต่น้อย หลิวจวี้เป่าแค่หาเงินอย่างเดียว รากฐานมหามรรคาของอาจารย์ฟ่านกลับกว้างขวางยิ่งกว่าหลิวจวี้เป่า การหาเงินและการใช้เงินของคนในใต้หล้า ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นที่ตั้งมหามรรคาของสำนักการค้า เมื่อเทียบกับเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวที่มีความสามารถหาเงินเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ใครสูงใครต่ำ? หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้าจะสนใจชื่อเสียงจอมปลอมมากกว่าหรือ?”
“ดังนั้นคนที่เจ้าต้องไปหาจริงๆ ต้องเป็นบรรพจารย์สำนักการค้าถึงจะถูก เพราะในบางเรื่อง เขามีการไขว่คว้าหาผลประโยชน์เช่นเดียวกับเจ้า อาคเนย์ใบถง ทักษินาตยทวีป หรดีฝูเหยาทวีป ขุนเขาสายน้ำสามทวีป บนภูเขาล่างภูเขาล้วนแสวงหาความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่มั่นคง เพื่อให้เส้นทางการเงินแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศ หากว่าเส้นทางการเงินสามารถเหนือกว่าในอดีต หากเปลี่ยนข้ามาเป็นอาจารย์ฟ่านก็ยินดีเป็นฝ่ายประคองส่งเหรียญทองแดงแก่นทองให้เจ้าด้วยสองมือ ต่อให้เทียบกับตอนก่อนสงคราม ถึงอย่างไรอาจารย์ฟ่านท่านนี้ก็ต้องการอาศัยการกระทำนี้มาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ เจ้าคิดว่าการค้าครั้งนี้ รอให้ทั้งสองฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยแล้วจะเป็นเจ้าที่ขอร้องเขา หรือเป็นเขาที่ขอร้องเจ้า? ต่อให้ไม่พูดว่าใครขอร้องใคร ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันก็น่าจะพอทำได้”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ
อู๋ซวงเจี้ยงมองเด็กหนุ่มชุดขาวแวบหนึ่ง คล้ายจะถามเรื่องหนึ่งว่า ทำไมถึงไม่เตือนอาจารย์ของเจ้า?
ชุยตงซานรู้สึกจนใจเป็นทบทวี เจ้าตะพาบเฒ่าได้สร้างด่านน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนไว้ให้กับตน อีกทั้งจุดที่เขาลงมืออย่างอำมหิตไร้ปราณีที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าเขาสามารถทำให้ตนมองข้ามคำศัพท์สำคัญบนเส้นสายบางเส้นไปได้ ดังนั้นสมองของตนในทุกวันนี้จึงใช้งานไม่ค่อยได้ดีเท่าไรเลยจริงๆ
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ เอ่ยชื่นชมประโยคหนึ่งว่า “ซิ่วหู่ร้ายกาจ”
จงใจทำให้ชุยตงซานลำบากใจ การกระทำนี้ฉลาดที่สุด เพื่อให้ทั้งอาจารย์และศิษย์สองคนต่างก็ไม่ต้องเดินไปบนทางสายเก่า ต่างคนต่างพิสูจน์มรรคาของตัวเองไป
อู๋ซวงเจี้ยงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “เจิ้งจวีจงให้ข้านำความมาบอกเจ้า หนึ่งในสามขุนนางของกำแพงเมืองปราณกระบี่อาจจะเคยไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมาก่อน ส่วนที่ว่าคนผู้นี้ได้ออกไปจากเมืองเล็กหรือไม่ บอกได้ยาก หากไม่ผิดไปจากที่คาด ยังเคยรับหน้าที่เป็นฮุนเจ่อ (คนเฝ้าประตู) ด้วย ปีนั้นหนิงเหยาออกจากบ้านไปท่องไพศาลเพียงลำพัง การที่นางเลือกถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นปลายทางใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หร่วนฉงที่เป็นคนหลอมกระบี่แค่คนเดียว เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพอ”
ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากถาม แต่เจิ้งต้าเฟิงก็ยังเป็นฝ่ายเอ่ยปาก พูดด้วยสีหน้าจนใจว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ นะ อาจารย์ไม่เคยพูดถึงมาก่อน”
ในความเป็นจริงแล้ว ในอดีตหากหยางเหล่าโถวจะเปิดปากพูดคุยกับลูกศิษย์อย่างเจิ้งต้าเฟิงบ้างเป็นบางครั้ง ประโยคหนึ่งต้องไม่มีทางเกินสิบคำแน่นอน!
สุดท้ายอู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ยว่า “อย่าได้รู้สึกหวาดกลัวเพียงแค่เพราะสามารถเจอผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ได้อย่างง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ทุกคนที่เป็นอย่างข้า คนบางส่วนเป็นพวกที่โชคดีจริงๆ หากจะพูดถึงสติปัญญาและฝีมือนอกเหนือจากขอบเขตแล้ว อันที่จริงล้วนมิอาจเอาออกหน้าออกตาได้ ก็แค่ว่าสวรรค์ประทานข้าวถ้วยหนึ่งให้กินเท่านั้น กินอิ่มแล้ว มีเรี่ยวแรงแล้วก็รู้สึกว่าไร้ศัตรูทัดทานในใต้หล้านี้แล้ว รอไปเถอะ รอกระทั่ง…”
รอกระทั่งบรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคา
“ขอบเขตสิบสี่บางส่วนที่ฝึกอบรมจิตใจได้ไม่ดีพอ ได้ลิ้มรสหวานมาก่อนแล้ว แต่ไม่นานก็ต้องเจอกับความขมขื่นใหญ่หลวง”
ห่านขาวใหญ่ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ โมโหนัก ถูกเจ้าหมอนี่แสร้งทำเป็นยอดฝีมือใส่อีกแล้ว
แต่เห็นแก่ที่เจ้าหมอนี่มุ่งมาดปรารถนาที่จะจัดการกับเต๋าเหล่าเอ้อผู้นั้น เขาจึงได้แต่ยอมๆ ไป
ตอนอยู่บนเรือราตรี อันที่จริงชุยตงซานและเจียงซ่างเจินที่ต่อให้จะรู้วิธีผสานมรรคาของอู๋ซวงเจี้ยง ซึ่งเรียกได้ว่า…ช่างคิดไม่ซ้ำใคร
แต่คนทั้งสองแอบกระซิบกระซาบกันเป็นการส่วนตัวก็ยังคงไม่รู้สึกว่าอู๋ซวงเจี้ยงจะสามารถตัดสินเป็นตายกับอวี๋โต้วได้จริงๆ รอกระทั่งวันนี้ชุยตงซานรู้ความจริงเพิ่มขึ้นจากเดิม ไม่แน่ว่าอาจมีหวังก็เป็นได้
อู๋ซวงเจี้ยงมองเห็นสุราที่เหลืออยู่ในชามเล็กน้อยก็ยกชามเหล้าชูขึ้นสูง คล้ายเอ่ยประโยคอวยพรไร้เสียงประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ยืนดื่มเหล้าจนหมด
ชุยตงซานยืดเอวตรง กระดกดื่มหมดในรวดเดียว เจิ้งต้าเฟิงกับเสี่ยวโม่ก็ทำเช่นเดียวกัน
ก่อนจะดื่มเหล้า เจิ้งต้าเฟิงยิ้มเอ่ยว่า “สหายเก่าสหายใหม่ สุราดีหลายชามพบปะกันด้วยความยินดี”
เสี่ยวโม่ไม่ได้เอ่ยอะไร บนสมุดบัญชีเล่มเล็กบางเล่มมีชื่อของนักพรตหญิงอู๋โจวเพิ่มมาอีกชื่อหนึ่ง
ต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีแล้วจริงๆ หมื่นปีกว่ามาแล้ว จะปล่อยให้มีธรณีประตูหนึ่งกั้นขวางเอาไว้แบบนี้ไม่ได้
ชุยตงซานสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ข้าผู้อาวุโสต้องตั้งใจฝึกตนให้ดีแล้ว!
ตอนแรกก็ถูกเจิ้งจวีจงทำให้โมโหอัดอั้นจนเกิดบาดเจ็บภายใน วันนี้ดันถูกอู๋ซวงเจี้ยงแสร้งทำตัวเป็นยอดฝีมือบรรลุมรรคามาพูดใส่อีก
ดื่มสุราอวยพรให้สายลมตะวันออก ฟังเสียงปราณกระบี่เหมือนเสียงมังกรร้องคำรามในป่าใหญ่ มองแสงกระบี่ประหนึ่งบุปผาเบ่งบาน ใต้หล้าอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
เฉินผิงอันหยิบเหล้าทะเลสาบคนใบ้ไหหนึ่งที่ยังไม่ถูกแกะผนึกขึ้นมาจากบนโต๊ะ ยื่นส่งให้กับอู๋ซวงเจี้ยง
อู๋ซวงเจี้ยงถึงกับไม่ปฏิเสธ ยิ้มรับเอาไว้แล้ว “ช่วยนำความไปบอกแทนข้า วันหน้าก็ช่วยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหมี่ลี่น้อยแทนข้าด้วย”
เพราะอยากมีลูกสาวที่เป็นเช่นนี้จริงๆ ใสซื่อ น่ารักน่าเอ็นดู
แม่นางน้อยชอบกะพริบตาปริบๆ เอียงศีรษะ ราวกับกำลังบอกว่าหัวกบาลเล็กๆ ของข้าเฉลียวฉลาดมากเลยนะ
ใครบ้างจะไม่ชอบ
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะเสียงดัง หน้าตาของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วเราช่างใหญ่โตจริงๆ
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่มีปัญหา”
อู๋ซวงเจี้ยงหิ้วกาเหล้าเดินออกไปสองก้าวก็หมุนตัวกลับมา ยิ้มเอ่ยกับพวกเฉินผิงอันว่า “เรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว ค่อยพบเจอกันใหม่ในยุทธภพ”
——