กระบี่จงมา - ตอนที่ 917.2 เรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว
รับฟังเสี่ยวโม่อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ก่อนที่ชุยตงซานจะส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล!”
หลังจากที่เฉินผิงอันรำลึกความหลังกับฉีโซ่วเรียบร้อยแล้วก็ย้อนกลับไปทางเดิมตรงคันนา พบว่าชุยตงซานคล้ายจะพูดคุยกับเสี่ยวโม่ได้ไม่เลว บนใบหน้ามีรอยยิ้ม
กลับไปที่ร้านเหล้าบ้านตัวเองในนครบินทะยานด้วยกัน ได้ยินว่าเถ้าแก่รองไม่เพียงแต่กลับมาแล้ว วันนี้ยังมาเปิดประตูร้านต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง พวกลูกค้าเก่าก็พากันกรูมาที่ร้านทันที คนไม่น้อยต่างก็เร่งรุดขี่กระบี่มาจากนครใต้อาณัติสี่แห่ง ถึงอย่างไรหากไม่ใช่พวกผีขี้เหล้าก็คือชายโสด แน่นอนว่าต้องมีคนที่เป็นทั้งผีขี้เหล้าแล้วก็เป็นชายโสดด้วย เพียงไม่นานผู้คนก็เบียดเสียดแออัดกันอยู่ในร้าน เถ้าแก่รองยังคงชอบไปนั่งยองดื่มเหล้าอยู่ข้างทางเหมือนเดิม ฟังพวกสหายเก่าคุยกันโฉงเฉง แต่ละคนพูดเสียงดัง กลิ่นสุราคลุ้งขึ้นฟ้า แทบไม่ต่างไปจากในปีนั้น เถ้าแก่รองฟังเยอะพูดน้อย เหล้ามื้อนี้อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยที่สุดก็มีหน้าม้าร้านเหล้าไม่น้อยที่เดิมทีปิดบังตัวตนอย่างลึกลับถูกเปิดโปงตัวตนกันก็คราวนี้ ยกตัวอย่างเช่นก่อกำเนิดเฒ่าซ่งโยวเวย
แสงสายัณห์หนาหนัก รอกระทั่งร้านเหล้าถึงเวลาปิดร้าน เฉินผิงอันที่ตอนกลางวันดื่มไปไม่น้อยกลับบอกให้เถาป่านเอาเหล้าทะเลสาบคนใบ้มาหลายๆ ไห จากนั้นให้เฝิงคังเล่อไปบอกพ่อแม่ให้ช่วยทำกับแกล้มอาหารพื้นๆ มาให้โต๊ะหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงถามอย่างประหลาดใจ “ทำอะไรน่ะ? มอมเหล้าข้าจะมีประโยชน์อะไร? อีกอย่างเจ้าก็อ้วกไปสามรอบแล้ว จะดื่มอีกไหวหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างห้าวเหิม “อย่าพูดมาก ดื่มจนกว่าจะเมาพับกันไปข้าง”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันไว้ก่อนนะว่า ใครก็ห้ามยุให้ใครดื่มเหล้า ต้องดื่มด้วยตัวเองเท่านั้น”
เฉินผิงอันตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
เสี่ยวโม่กับชุยตงซานนั่งอยู่บนโต๊ะข้างกัน
เพียงแต่เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มกับเจิ้งต้าเฟิงได้ไม่ถึงสองชามก็มีบุรุษชุดเขียวรูปโฉมเป็นคนหนุ่มเดินมาที่ร้านเหล้าช้าๆ
เจิ้งต้าเฟิงเหลือบมอง จำอีกฝ่ายได้ ดูเหมือนจะเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมือง แซ่อู๋ หลายปีมานี้มาที่ร้านเหล้าหลายครั้ง แต่กลับไม่ใช่ลูกค้าประจำ หากลองเฉลี่ยดู หนึ่งปีก็มาแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่มาจะต้องมาพลิกอ่านป้ายสงบสุขของที่ร้านเสมอ
ก่อนหน้านี้อาจารย์อู๋มาที่ร้านเหล้ามักจะดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่หนึ่งชามหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เพียงแต่ว่าคราวก่อนที่มาคล้ายจะเปลี่ยนมาดื่มเหล้าทะเลสาบคนใบ้ แล้วยังนำกลับไปด้วยหนึ่งไห
การที่เจิ้งต้าเฟิงจดจำได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ก็เพราะกลิ่นอายตำราที่อยู่บนร่างของอีกฝ่ายค่อนข้างพบเห็นได้น้อยในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็เหมือนอย่างตน ต่างก็ถือว่าในท้องมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่าด้วยตัวเอง เพียงแต่อีกฝ่ายไม่โดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่อย่างตนก็เท่านั้น
เสี่ยวโม่หรี่ตามองประเมินแล้วรีบเปลี่ยนโต๊ะนั่งทันที ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย คนผู้นี้ไม่ธรรมดา การกระทำก็ค่อนข้างประหลาด คล้ายกับรู้ว่าข้ารับมือได้ไม่ง่าย แต่กลับยังจงใจทำให้ข้ารู้ว่าตัวเขาไม่ธรรมดา”
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบอกการคาดเดาในใจของตัวเองออกไป “หรือว่าจะเป็นเจ้าตำหนักอู๋ท่านนั้น?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ต้องใช่แน่นอน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เหลือบมองเสี่ยวโม่ ยังจะยิ้มออกอีกไหม?
เสี่ยวโม่รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้หัวเราะคุณชายสักหน่อยนะ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ค้อมกายประสานมือคารวะ
อู๋ซวงเจี้ยงเพียงแค่เขย่ามือคารวะกลับคืน
อู๋ซวงเจี้ยงนั่งลงแล้วก็เอ่ยว่า “ที่โรงเรียนแห่งนั้นใช้นามแฝงว่าอู๋อวี่ ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนมีหลักฐานให้ตรวจสอบได้ หากเจ้าสนใจก็ลองไปเปิดอ่านดู”
ได้ยินนามแฝงนี้ เฉินผิงอันก็พลันพูดไม่ออก (อู๋อวี่ 无言 ที่แปลว่าพูดไม่ออก กับอู๋อวี่ 吴语 นามแฝงของอู๋ซวงเจี้ยงออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนคนละแบบ)
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกอัดอั้นในใจอีกครั้ง ถามว่า “เหมือนกับพี่มู่เม่า เป็นสหายเก่าของเจ้าอีกคนแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันแนะนำให้รู้จักกัน “คือเจ้าตำหนักอู๋แห่งตำนักสุ้ยฉู”
เจิ้งต้าเฟิงพลันกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่า”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มพลางกุมหมัดเอ่ย “หลายปีมานี้ได้ฟังถ้อยคำไพเราะมีรสนิยมมากมายจากอาจารย์เจิ้งเปล่าๆ โดยไม่เคยต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ทุกครั้งสามารถเอามาดื่มแกล้มเหล้าได้พอดี”
เจิ้งต้าเฟิงยังคงยกเท้าเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง วางชามเหล้าลง กุมหมัดคารวะกลับคืน “อาจารย์อู๋ชมเกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ถามว่า “หนังสือบันทึกเหตุการณ์เล่มนั้น?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “เป็นลายมือของข้าเอง แต่ว่าน้ำใจส่วนนี้ที่ข้าติดค้างนครบินทะยาน ข้าได้ใช้คืนให้แล้ว”
ช่วยกำจัดภัยแฝงเล็กๆ สามอย่างให้กับนครบินทะยาน ไม่อย่างนั้นการขยับขยายพื้นที่ของนครบินทะยาน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องถูกถ่วงเวลาไปอีกสามสิบห้าสิบปี
ไม่ใช่แผนการของป๋ายอวี้จิง เต๋าเหล่าเอ้อดูแคลนที่จะทำเช่นนี้ ส่วนลูกศิษย์ปิดสำนักของมรรคาจารย์เต๋า นักพรตหนุ่มที่มีฉายาว่า ‘ซานชิง’ คุณสมบัติการฝึกตนแน่นอนว่าต้องดีมาก แต่เขาไม่มีสมองเช่นนี้ แล้วก็ไม่มีความกล้าหาญในส่วนนี้
อย่าได้ประเมินสายตาอันยาวไกลและวิธีการอันละเอียดรอบคอบบางอย่างของสำนักจ้งเหิงเด็ดขาดเชียว
มักจะมีคนบางส่วนที่บางทีในกระเป๋าเงินอาจมีเงินอยู่แค่ไม่กี่แดง แต่กลับกล้าคิดเรื่องที่จะเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งฟ้าดิน
คนธรรมดากล้าคิดเช่นนี้ ถือว่าเป็นจินตนาการเพ้อฝัน แต่มักจะมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่คิดได้ แล้วก็ทำได้สำเร็จด้วย
แต่อู๋ซวงเจี้ยงไม่มีอารมณ์แล้วก็ไม่มีหน้าที่ที่ต้องมาเปิดเผยเรื่องนี้แก่เฉินผิงอัน
ทุกวันนี้มีแค่นครบินทะยานที่เลือกจะใช้หนังสือบันทึกเหตุการณ์เล่มใหม่นี้ แต่หากว่าในอนาคตตลอดทั้งใต้หล้าห้าสีใช้ตำราเล่มนี้ร่วมกัน แพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นอู๋ซวงเจี้ยงก็ย่อมมีวิธีที่จะชดเชยน้ำใจครั้งที่สอง
เสี่ยวโม่ไปหยิบชามและตะเกียบมาชุดหนึ่ง มอบให้กับอู๋ซวงเจี้ยง
อู๋ซวงเจี้ยงผงกศีรษะยิ้มให้ “ยินดีต้อนรับเจ้าไปเป็นแขกที่ตำหนักสุ้ยฉูใต้หล้ามืดสลัววันหน้า”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ต้องดูที่ความต้องการของคุณชาย”
ชุยตงซานยกชามเหล้ามาที่โต๊ะ นั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเสี่ยวโม่ นั่งลงตรงข้ามกับอู๋ซวงเจี้ยงพอดี หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ได้พบเจ้าตำหนักอู๋จริงๆ”
อู๋ซวงเจี้ยงพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “เป็นวาสนาที่นำพา”
ชุยตงซานจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้าตำหนักอู๋ก็คือเจ้าตำหนักอู๋ จิตวิญญาณผสานรวมกับโลกอันกว้างใหญ่ เชื่อมโยงทะลุไปนอกฟ้าดิน ทุกวันนี้เข้าใจฟ้าดินทุกแห่งกระจ่างชัดราวกับฝ่ามือของตัวเอง”
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “เรื่องบางอย่างไม่ใช่ว่ามีแค่โจวมี่กับซิ่วหู่เท่านั้นที่ทำได้ แล้วคนอื่นจะทำไม่ได้”
ชุยตงซานยิ้มถาม “คิดดูแล้วทางฝั่งของดินแดนพุทธะสุขาวดี เจ้าตำหนักอู๋ก็น่าจะมีร่างจำแลงบางร่างที่รอให้วันใดวันหนึ่งสติปัญญาเปิดออกอยู่ด้วยกระมัง?”
ร่างจริงของอู๋ซวงเจี้ยงน่าจะยังท่องอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เชื่อมโยงถึงกัน ไม่ว่าอู๋ซวงเจี้ยงเดินทางไกลไปเยือนที่แห่งใด ทุกหนแห่งที่สายตามองไปเห็น เทวบุตรมารนอกโลกที่อยู่ในร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลง หรือก็คือ ‘คงโหว’ ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ คนและเรื่องราวทุกอย่าง นางก็ล้วนมองเห็นประหนึ่งเห็นมากับตาตัวเอง
เห็นว่าอู๋ซวงเจี้ยงแสร้งทำเป็นใบ้หูหนวก ชุยตงซานก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน พลันเอ่ยว่า “คำว่า ‘มาจากอวตังสกธรรมธาตุ จากไปเป็นต้าหลัวเทียน’ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ เจ้าตำหนักอู๋ช่างมีวิธีการที่ยิ่งใหญ่ มีวิธีการที่ดีเยี่ยมจริงๆ”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วหวาดผวาพรั่นพรึง
อาจารย์เคยพูดถึงเรื่องการออกจากด่านของอู๋ซวงเจี้ยง ตอนนั้นเจ้าตำหนักอู๋ปรากฏตัวที่อารามเสวียนตูใหญ่ ไปพบนักพรตซุนและป๋ายเหย่ บรรยากาศหลังจากที่เพิ่งจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ของอู๋ซวงเจี้ยง อาจารย์ให้คำวิจารณ์ว่า ‘มีความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ’
ก่อนหน้านี้อยู่ที่จวนหนิง เฉินผิงอันเห็นตราประทับที่ทำมาจากหยกซวงเจี้ยงพวกนั้นยังเข้าใจผิดคิดไปว่าอู๋ซวงเจี้ยงแค่แบ่งดวงจิตเมล็ดงาดวงหนึ่งออกมา อาศัยโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยและภูเขาห้อยหัวมาซ่อนตัวอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่นานแล้ว ที่แท้นอกจากที่นี่แล้ว อู่ซวงเจี้ยงยังดึงดวงจิตดวงหนึ่งไปอยู่ที่ดินแดนพุทธะสุขาวดีด้วย?
ไม่เห็นความสำคัญของการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งต้องมีมรรคกถาสูงถึงเพียงใด มีคุณสมบัติด้านการฝึกตนดีถึงเพียงใด มีความมั่นใจในตัวเองในระดับที่เกินจริงถึงเพียงใด ถึงได้กล้าเสี่ยงอันตรายลงมือทำเรื่องเช่นนี้?
มิน่าเล่า?!
เฉินผิงอันพลันหน้าซีดขาวไปทันที รีบก้มหน้าลงดื่มเหล้า
อู๋ซวงเจี้ยงดื่มเหล้าหนึ่งคำ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่ามีแค่เจ้าลัทธิใหญ่กับฉีจิ้งชุนที่ทำได้ แล้วข้าอู๋ซวงเจี้ยงจะทำไม่ได้เสียหน่อย ก็คือการลอกเลียนแบบที่เรียบง่ายที่สุดอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ เปิดขุนเขายาก แต่ขอแค่มีคนเดินนำไปบนเส้นทางสายหนึ่งก่อน ถึงอย่างไรการเดินขึ้นภูเขาก็ง่ายกว่าเดิมเยอะมากแล้ว ก็แค่เดินตามไปข้างหลังก็พอ”
ชุยตงซานเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ถูก เจ้าลงมือเร็วกว่า เดินไปเร็วกว่า”
ฉีจิ้งชุนเพิ่งจะลงมือทำเรื่องนี้ตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู พยายามจะหลอมรวมรากฐานความรู้ของสามลัทธิให้เป็นสำนักเดียว
ส่วนเจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงท่านนั้น อายุจริงมาก อายุขัยในการฝึกตนยาวนาน บางทีอาจจะคิดถึงเส้นทางกว้างใหญ่ที่ไม่เคยมีใครเดินมาก่อนเส้นนี้ได้นานแล้ว แต่ ‘สามคน’ ที่มีหลี่ซีเซิ่งเป็นหนึ่งในนั้นลงมือทำอย่างจริงจังกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังมากแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “ในนี้ยังมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง แน่นอนข้าต้องรู้ว่านั่นคือมหามรรคาที่สูงและไกลมาก แต่ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะปูทางเอง ดังนั้นจึงคอยเฝ้ารออยู่ที่ตีนเขามาโดยตลอด รอให้คนขึ้นไปเปิดทางให้ก่อน ก็เหมือนตราประทับชิ้นนั้นที่ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรามอบให้กับเกาเหย่โหว แค่ต้องทำไปตามกฎเกณฑ์ ย่อมผ่อนคลายกว่าเยอะมาก ส่วนบนคันนา ใต้เท้าอิ่นกวานยกตัวอย่างกับฉีโซ่ว พูดถึงการกลบทับ ข้าคงไม่กล้าคาดหวัง จะว่าไปแล้วข้าก็แค่…ซ่อมแซมรูรั่วบนหลังคา อย่างมากสุดก็แค่ก่ออิฐ คนรุ่นก่อนก่อกำแพงที่แน่นหนาขึ้นมา คนรุ่นหลังเพิ่มอิฐแตกหรือหญ้าแฝกลงไปด้านบนก็ไม่เป็นไร สามารถบังลมบังฝนได้เหมือนกัน ข้าไม่มีความมั่นใจและความสามารถพอที่จะอาศัยสิ่งนี้มาพิสูจน์มหามรรคา แล้วนับประสาอะไรกับที่ปณิธานของข้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องเดินบนเส้นทางนี้ให้เหนื่อยยากตัวเองเกินไป”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนกับการหลอมกระบี่เซียนจำลองสี่เล่มนั้นขึ้นมา ล้วนเป็นการเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาเป็นของตน!”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “งั้นเจ้าก็ลองทำดูบ้างสิ?”
ชุยตงซานยกชายแขนเสื้อขึ้น ยื่นนิ้วชี้ไปที่อู๋ซวงเจี้ยง “เจ้าอย่ามาพูดยุข้านะ ข้าอายุน้อย เจ้าอารมณ์ กำลังเป็นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและความสามารถ ทำอะไรมักสนแต่หัวไม่สนบั้นท้าย ทนรับวิธียั่วยุให้เกิดความฮึกเหิมไม่ได้ที่สุดแล้ว”
ก่อนหน้านี้อยู่บนเรือราตรีลำนั้น อาจารย์ถูกเจ้าอู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้เฝ้าตอรอกระต่าย
ตอนนั้นคนสี่คนร่วมมือกัน บังเอิญยิ่งนัก ตอนนี้ก็มีสี่คนเหมือนกัน แต่แค่เปลี่ยนจากโจวอันดับหนึ่งมาเป็นผู้ถวายงานเสี่ยวโม่ก็เท่านั้น
พอจะสู้ได้!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ยังอยู่ในนครบินทะยาน หากอาจารย์แม่เลือกจะออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง จุ๊ๆ
อู๋ซวงเจี้ยงมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ “ข้าคนนี้ก็มีแค่ขอบเขตหยกดิบ ไยต้องระดมกำลังใหญ่โตเช่นนี้ด้วยเล่า แค่ชุยตงซานคนเดียวก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ชุยตงซาน “ให้ความเคารพเจ้าตำหนักอู๋หน่อย”
เจิ้งต้าเฟิงยุให้ดื่มเหล้า “น้องชุยเร็วเข้า รีบยกเลย”
ชุยตงซานจึงได้แต่ดื่มเหล้าหมดชาม
อู๋ซวงเจี้ยงแกว่งชามเหล้าเบาๆ เอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่า “ครั้งนี้เป็นฝ่ายมาหาเจ้าด้วยตัวเอง เพราะไม่ต้องการให้ผู้พิทักษ์มรรคาครึ่งตัวของนางที่มองดูเหมือนพัฒนารุดหน้าไปบนเส้นทางการฝึกตนอย่างห้าวหาญ แต่อยู่ดีไม่ว่าดีกลับต้องสะดุดล้มหัวทิ่มภายในเวลาหนึ่งร้อยปี ปกป้องมรรคาไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าเดือดร้อนให้นางลงมือทำเรื่องต่างๆ ด้วยอารมณ์ นางใจอ่อนที่สุด สมมติว่ามีวันนั้นจริงๆ นางย่อมไม่มีทางวางตัวอยู่นอกเหนือสถานการณ์เป็นแน่ ถึงเวลานั้นข้าค่อยมาแตกหักกับเจ้า จะมีความหมายตรงไหน เป็นเรื่องที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องหนึ่งอย่างชัดเจน ถึงเวลาที่ต้องคอยจับตามองผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่และผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่มีความหวังจะเลื่อนขอบเขตเหล่านั้นแล้ว”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าอะไร เป็นเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ หากไม่ทันระวังก็จะกลายมาเป็นคนตรงหน้า”
“ยกตัวอย่างเช่นข้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แม้จะบอกว่าอันที่จริงตนมีความกังวลที่คล้ายคลึงกันนี้มานานแล้ว ได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงมากมายหลังเกิด ‘อุบัติภัย’ มาแล้ว จะไม่ยอมให้มีเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ก่อนแล้วค่อยตามมาด้วยอู๋ซวงเจี้ยงบนเรือราตรี จากนั้นวันใดวันหนึ่งก็มีใครมาปรากฎตัวอีกเด็ดขาด เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เรื่องเดิมไม่ควรทำซ้ำสามครั้ง!
แต่เฉินผิงอันก็จำต้องยอมรับว่าหากวันนี้อู๋ซวงเจี้ยงไม่ปรากฏตัว ระดับการให้ความสำคัญของตนคงอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก อย่างน้อยที่สุดในสายตาของอู๋ซวงเจี้ยงก็ไม่มีทางพอแน่นอน
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มถาม “เฉินผิงอัน นอกจากข้าแล้ว เจ้าคงไม่ได้คิดว่าผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดพวกนั้นขอบเขตหยุดชะงักอยู่ที่พันปีหลายพันปี ทุกวันก็เลยเอาแต่เหม่อลอยหรอกกระมัง?”
ชุยตงซานตบโต๊ะ พูดขัดคอขึ้นมาว่า “เสี่ยวโม่ของพวกเราก็นอนหลับอยู่นะ!”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ พยักหน้า ให้การสนับสนุนดีเยี่ยม “ฝันหวานมาหมื่นปี นอนจนเต็มอิ่มเลยล่ะ”
อู๋ซวงเจี้ยงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยว่า “หมื่นปีที่ผ่านมา ระดับความสูงและระดับความลึกของมรรคกถาบนโลกไม่ได้รับการยกระดับที่ก้าวกระโดดไปทีละหลายขั้นบันไดใหญ่ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เรื่องของความรู้ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นกฎเกณฑ์ตายตัวของเมธีร้อยสำนักอย่างแท้จริง ส่วนรั้วตัวอักษรที่ใหญ่ยิ่งกว่าก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แต่เมื่อจิตแห่งมรรคาและนิสัยใจคอของมนุษย์ผสานรวมกันอย่างต่อเนื่อง ความกว้างและความแคบของมรรคกถาที่สิ่งนี้นำมาจึงไม่ใช่สิ่งที่เมื่อหมื่นปีก่อนจะเทียบได้ติด”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “อยู่ข้างกายคุณชายก็พอจะได้เปิดหูเปิดตาบ้างแล้ว แล้วก็คิดบางอย่างได้ ก็แค่ไม่ได้จับจุดแล้วชี้สาระสำคัญได้อย่างกระชับเรียบง่ายเฉกเช่นเจ้าตำหนักอู๋”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเจ็บปวดใจ “เสี่ยวโม่ นี่เจ้าจะสวามิภักดิ์ต่อศัตรูแล้วหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างเขินอาย ตนก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า แต่กระนั้นก็ยังยกชามเหล้าขึ้นมาคล้ายจะต้องการขออภัย
เฉินผิงอันขอความรู้อย่างถ่อมตัว “นอกจากผู้ฝึกตนใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมริมลำคลองซึ่งข้าเคยเจอมาก่อนแล้ว ทุกวันนี้ยังมีขอบเขตบินทะยานคนใดอีกที่มีหวังว่าจะข้ามธรณีประตูไปได้?”
อู๋ซวงเจี้ยงจึงทำการ ‘ชี้แนะ’ เฉินผิงอันไปทีละเรื่อง
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่
หากไม่พูดถึงผู้ฝึกตนใหญ่ที่ผสานมรรคากับดินอำนวยอย่างหย่าเซิ่ง เหวินเซิ่ง
เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าผู้นี้หายตัวไปไม่รู้ร่องรอย
นอกจากหลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อยู่บนถนนฝูลู่ถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ยังรวมไปถึงโจวลี่นักพรตของสำนักโองการเทพที่ไปดูแลคัมภีร์เต๋าของสำนักชิงเสวียน คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ตอนนี้ยังคงเป็นปริศนา
——