กระบี่จงมา - ตอนที่ 913.1 ถามกระบี่เช่นนี้
คนทั้งสามออกไปจากนครอู่ขุยด้วยกัน บนหัวกำแพงพลันมีแต่เสียงเป่าปากดังระงม
มีหนิงเหยาอยู่แล้วอย่างไร ก็ยังมีเถ้าแก่รองอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ
ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครบ้างไม่รู้ว่าอยู่นอกจวนหนิง หนิงเหยาไว้หน้าเถ้าแก่รองอย่างมาก ส่วนพอกลับไปจวนหนิงแล้วเถ้าแก่รองจะต้องนั่งคุกเข่าบนกระดานซักผ้าหรือไม่ เกี่ยวผายลมอะไรกับพวกเราด้วย
ระหว่างที่ทะยานลม เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไปดูที่ทะเลสาบฝูเซียนก่อนเถอะ”
ทุกวันนี้นครบินทะยานได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนสองแห่ง ท่าเรือปี้สู่ที่อยู่ในนครปี้สู่ทางเหนือสุด และยังมีตรงตีนเขาภูเขาจื่อฝู่สถานที่ฝึกตนของเติ้งเหลียงก็ได้สร้างท่าเรือไว้บนทะเลสาบฝูเซียน ตั้งชื่อว่าท่าเรือหมีหุน หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ เป็นการค้าที่ทำได้สองทิศทางพอดี
คฤหาสน์หลบร้อน นครปี้สู่ ท่าเรือปี้สู่…
เรื่องของการตั้งชื่อนี่ค่อนข้างจะประหยัดแรงกายแรงใจแล้ว
หนิงเหยาตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ก็คิดชื่อที่ดีกว่านี้ไม่ออก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “หากมีชื่อดีมากเกินไป ก็เลือกได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
หนิงเหยาเหลือบตามองเสี่ยวโม่
เสี่ยวโม่รีบอธิบายทันที “ฮูหยิน การที่คุณชายไม่ได้ไปที่นครบินทะยานทันทีเพราะคุณชายแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจเอาไว้ อีกทั้งยังผสานมรรคากับกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งนั้น อยู่ห่างกันหนึ่งใต้หล้า เป็นเหตุให้ถูกท่วงทำนองที่มองไม่เห็นของอาณาเขตนครบินทะยานผลักไสตามธรรมชาติ ถึงขั้นที่ว่ามองเป็นภัยแฝงที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู หากคุณชายบุ่มบ่ามเข้าไปในนครบินทะยานจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการถามกระบี่”
เสี่ยวโม่กดหมวกบนศีรษะ เอ่ยอย่างละอายใจว่า “เรื่องนี้ก็ต้องโทษที่ชาติกำเนิดของเสี่ยวโม่ มาที่นี่เป็นเพื่อนคุณชายก็เหมือนกับยืนยันสถานะปีศาจใหญ่ของคุณชาย”
หนิงเหยาฟังด้วยความมึนงง
นครบินทะยานจะมีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับผู้ฝึกตนคนหนึ่งเลยหรือ?
เหมือนวิญญาณกระบี่ ‘เทียนเจิน’ กระบี่เซียนที่นางสะพายไว้ในกล่องด้านหลัง?
เพียงแต่ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ทำไมนางถึงไม่รู้เรื่องนี้?
เฉินผิงอันจึงอธิบายด้วยอีกคน ก็เหมือนถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเขาที่เคยฟูมฟักคนจิ๋วควันธูปสีทองคนหนึ่ง ปีนั้นซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวที่เฉินผิงอันสะพายไว้ข้างหลัง สุดท้ายเขานำไปมอบให้กับหยางเหล่าโถว เรื่องประหลาดประเภทนี้ก็เหมือนทารกก่อกำเนิดของผู้ฝึกตน ช่วงเริ่มต้นของการฟักตัว สติปัญญายังไม่เปิดออก ยังไม่เข้าใจอะไร แต่กลับเจ้าอารมณ์ไม่เบา ยากที่จะแยกแยะได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู ดินน้ำของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนของพื้นที่หนึ่ง คนจิ๋วควันธูปของนครบินทะยานผู้นี้ แน่นอนว่ามีแต่จะเจ้าอารมณ์มากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันเอ่ย “เฉินจีน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เขาจงใจไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้าแสดงว่าต้องมีการพิจารณาเป็นของตัวเอง”
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี รู้สึกว่าต่อให้นครบินทะยานมีโชควาสนาเช่นนี้อยู่จริง แต่เวลาสั้นๆ แค่สิบปีก็ไม่น่าจะมีสติปัญญาก่อเกิดได้เร็วถึงเพียงนี้ น่าจะอยู่ในสภาวะเหมือนจำศีลมากกว่า อีกอย่างเฉินผิงอันยังพกป้ายหยกอิ่นกวานมาด้วย สามารถระบุตัวตนของเขาได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ต่อให้ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันหยิบเอาแผ่นหยกบอกสถานะตัวเองออกมาแขวนไว้ที่เอว ไม่อาจพูดได้ว่าไร้ผล แต่ผลลัพธ์กลับไม่มาก ก่อนหน้านี้เขากับเสี่ยวโม่แค่ขยับเข้าใกล้นครบินทะยานก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธในขอบเขตเทพมาเยือนท่านหนึ่งแล้ว และราวกับว่าเขากำลังอธิบายหลักการเหตุผลกับเฉินผิงอันอย่างที่มองไม่เห็น
โปรดหยุดเท้า กล้าเข้าใกล้ ก็คือการถามหมัด
นี่หมายความว่าหากเฉินผิงอันบุกเข้าไปในนครบินทะยานก็เท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่งแล้ว
มีเสี่ยวโม่อยู่ข้างกาย เข้าไปในนครบินทะยานย่อมไม่เป็นปัญหา แต่เฉินผิงอันจะตัดใจลดทอนสติปัญญาของ ‘นครบินทะยาน’ สักเศษเสี้ยวได้อย่างไร
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าจะ ‘อยู่ให้คุ้นเคย’ แถวๆ บริเวณโดยรอบนครบินทะยานไปก่อน แล้วค่อยไปหาหนิงเหยาที่นครบินทะยาน อีกทั้งยังต้องบอกกล่าวตั้งแต่อยู่นอกเมือง อธิบายให้ชัดเจน แล้วค่อยหาวิธีใหม่ที่รับประกันว่าจะไม่ทำให้คนจิ๋วควันธูปของนครบินทะยานที่ยังอยู่ในสภาวะภาพมายาล่องลอยได้รับบาดเจ็บ เฉินผิงอันถึงจะเข้าไปในนครบินทะยาน
พอดีกับที่สามารถอาศัยมุมมองของคนต่างถิ่นคนหนึ่งเลือกสถานที่สามแห่ง ดูว่าจะสามารถช่วยตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ให้กับนครบินทะยานในจุดที่เล็กละเอียดได้หรือไม่ มีทั้งนครอู่ขุยของสายสิงกวานเมื่อครู่นี้ แล้วก็มีทั้งนครปี้สู่ของสายอิ่นกวาน รวมไปถึงท่าเรือหมีหุนของสายเฉวียนฝู่ที่ต้องแวะไปดูสักหน่อย
หนิงเหยากระจ่างแจ้ง มิน่าเล่าก่อนหน้านี้จิตของนางถึงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถึงได้ขี่กระบี่ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ สำรวจไปทั่วทิศ และเพียงไม่นานก็สังเกตเห็นเงาร่างของเสี่ยวโม่
หนิงเหยาถามเสียงอ่อนโยน “ทำไมไม่บอกแต่แรก”
หากรู้แต่แรกว่าเป็นอย่างนี้ นางก็คงไม่ปรากฏตัวที่หน้าประตูนครอู่ขุยโดยตรงแล้ว ไม่แน่ว่าตัวเองอาจทำลายแผนการดีๆ บางอย่างของเขาไปแล้วด้วย
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “รอข้ากลับคืนสู่ขอบเขตหยกดิบใหม่อีกครั้ง สถานการณ์ก็จะดีกว่านี้มาก หากวันใดเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน แล้วค่อยมานครบินทะยานก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งยากมากที่จะสยบชื่อจริงของเผ่าปีศาจไว้ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ที่มีผู้ฝึกตนบรรพกาล ‘อายุ’ พอๆ กับเสี่ยวโม่ปรากฏตัวขึ้นมาหลายคน ในบรรดานั้นมีชื่อจริงของปีศาจใหญ่สามตนที่ปีนั้นคนเย็บผ้าเหนี่ยนซินช่วยปะชุนชื่อจริงให้กับเฉินผิงอัน
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วันก็จะเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของใต้หล้าไพศาลแล้ว แล้วก็เหมาะกับการฟื้นคืนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดของคุณชายพอดี โดยทั่วไปแล้วควรจะอยู่ในลานประกอบพิธีบนภูเขาเซียนตูสร้างความมั่นคงให้ขอบเขตต่อไป ดังนั้นเดินทางมาใต้หล้าห้าสีครั้งนี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหันของคุณชาย เสี่ยวโม่ขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่”
อาศัยบทขอฝนบนป้ายศิลาเก่าแก่ของลำคลองม่ายเหอ เรื่องของการสร้างโอสถทองและเลื่อนเป็นก่อกำเนิด สำหรับเฉินผิงอันแล้วเขาคุ้นเคยจนเกิดเป็นความชำนาญมานานแล้ว
หนิงเหยาเหลือบมองเฉินผิงอัน ร้องรับเข้าคู่กันดีไม่ขาดตอนเช่นนี้ ก่อนจะมาพวกเจ้าเคยตั้งใจซ้อมกันมาก่อนหรือไม่?
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างน้อยใจ “ฟ้าดินเป็นพยาน”
หนิงเหยาถาม “เป็นเรื่องดีใช่ไหม? มีเรื่องอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษ หรือมีข้อเสียที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่?”
เฉินผิงอันใช้หมัดทุบฝ่ามือ สีหน้าสดใสแช่มชื่น พยักหน้ายิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องดี ทั้งยังเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าด้วย ไม่มีภัยแฝงอะไรทิ้งไว้ ถึงขั้นที่ว่าไม่มีข้อเสียใหญ่อะไร มีแค่ข้อดีอย่างเดียวเลยจริงๆ เป็นโชควาสนายิ่งใหญ่บนมหามรรคาที่เหล่านักพรตของป๋ายอวี้จิงอ้อนวอนร้องขอก็ยังไม่ได้มาครอง!”
อันที่จริงถูกนครบินทะยานผลักไสเช่นนี้ สำหรับเฉินผิงอันแล้ว แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่สำหรับตลอดทั้งนครบินทะยานแล้วกลับเป็นเรื่องดีอย่างมากเรื่องหนึ่ง
เพราะนี่หมายความว่านครบินทะยานไม่เพียงแต่กลมกลืนกับใต้หล้าห้าสีอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่ว่ายังได้รับการยอมรับจากมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนี้ ได้รับความโปรดปรานบางอย่างที่ ‘ฟ้าดินดูแลเป็นพิเศษ’
ไม่เหมือนกับป๋ายอวี้จิงและลัทธิพุทธแดนสุขาวดีที่มีเพียงผู้ฝึกตนที่ข้ามประตูใหญ่เข้ามาในใต้หล้าห้าสี พวกผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานกลับพานครทั้งแห่งแหวกแม่น้ำแห่งกาลเวลา ‘ขี่กระบี่บินทะยาน’ มาถึงที่แห่งนี้
พูดถึงแค่เรื่องนี้ก็รู้แล้วว่าการประทานพรจากวิถีสวรรค์นั้นหาได้ยากถึงเพียงใด
หากมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคิดอยากจะแอบเข้ามาในที่แห่งนี้ก็จะชักนำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ที่ผิดปกติระหว่างฟ้าดิน
ขอแค่ตอนนั้นหนิงเหยาอยู่ในเมืองพอดีก็จะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที
ค่ายกลใหญ่ปกป้องนครที่ลี้ลับมหัศจรรย์เช่นนี้เรียกได้ว่ามีไว้เพื่อเล่นงานขอบเขตสิบสี่และผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกคนจริงๆ
อีกทั้งไม่ต้องเผาผลาญปราณวิญญาณฟ้าดินของนครบินทะยานแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเทพเซียนแม้แต่ครึ่งเหรียญด้วย
ไปถึงทะเลสาบฝูเซียน พลิ้วกายลงเบื้องล่างด้วยกัน เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งยองริมฝั่ง วักน้ำมาไว้ในมือ รวมมันให้กลายเป็นหยดน้ำสีเขียวมรกตหยดหนึ่ง ตรวจสอบความตื้นลึก การไหลรินของโชคชะตาน้ำที่อยู่ภายในอย่างละเอียด จากนั้นหมุนข้อมือ วักเอาปราณฟ้าดินมา ใสขุ่นปะปนกัน คล้ายไอหมอกที่ลอยอยู่บนปลายนิ้ว
เรื่องการสร้างท่าเรือตระกูลเซียน สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดก็คือ ‘การศึกษาอุทกศาสตร์’ เหมือนอย่างท่าเรือทั่วไปของราชวงศ์ที่อยู่ติดน้ำ ก็ยังต้องหาคุ้งน้ำลึก เพื่อให้แน่ใจในระดับการกินน้ำตื้นลึกของเรือ เพราะท่าเรือตระกูลเซียนทั้งหลายซึ่งมีท่าเรือหนิวเจี่ยวของบ้านตัวเองเป็นหนึ่งในนั้น ทำให้อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญครึ่งตัว เขาคลายมือทั้งสองออก เงยหน้ามองไปรอบด้าน ท่าเรือแห่งหนึ่งไม่มีร่องรอยของการแกะสลักอย่างประณีติใดๆ เห็นได้ชัดว่าสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ
อันที่จริงนี่จึงจะถูกต้อง เมื่อแน่ใจในทิศทางแล้วก็สร้างเค้าโครงขึ้นมา ดำเนินงานทุกอย่างอย่างเป็นรูปธรรม ขอแค่เรือข้ามฟากมาจอดเทียบท่าได้ก็พอแล้ว
นครบินทะยานในทุกวันนี้ ทุกด้านยังอยู่ห่างจากคำว่าดีแล้วยังต้องกรั่นกรองให้ดียิ่งขึ้นอีกไกลนัก นั่นคือเรื่องที่อย่างน้อยที่สุดจะถูกพิจารณาในอีกร้อยปี
แสงกระบี่เส้นหนึ่งแหวกอากาศมาถึง พลิ้วกายลงที่ตีนเขา เติ้งเหลียงกุมหมัดชูขึ้นสูง ตะโกนเสียงดังกังวาน “คารวะอิ่นกวาน!”
มองบุรุษชุดเขียว เติ้งเหลียงก็อารมณ์ดีอย่างยิ่ง ในที่สุดเจ้าหมอนี่ก็มาสักที
เรื่องบางอย่าง เติ้งเหลียงยังต้องระบายความทุกข์ให้เจ้าคนตรงหน้าฟังให้ดีๆ จริงๆ
นครบินทะยานมีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อน การประชุมศาลบรรพจารย์หลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พูดถึงแค่คฤหาสน์หลบร้อน ไม่ใช่ว่าหนิงเหยาที่เป็นอิ่นกวานชั่วคราวพูดคุยด้วยยาก แต่เป็นเพราะคุยด้วยง่ายเกินไป ก็หนีไม่พ้นว่าเรื่องเรื่องหนึ่งทำได้หรือไม่ได้ จะไม่ชักช้าอืดอาดเด็ดขาด
เพียงแต่ว่าเขาเคยชินกับบรรยากาศของคฤหาสน์หลบร้อนในอดีตแล้ว เติ้งเหลียงจึงมักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
ในฐานะบุคคลอันดับหนึ่ง ขอบเขตของหนิงเหยาสูงเกินไป บนเส้นทางการฝึกตนก็พุ่งนำทุกคนไปไม่เห็นฝุ่น ทำให้ทุกคนยากที่จะมองเห็นแผ่นหลังของนาง เหมือนต้นไม้ใหญ่เสียดฟ้าต้นหนึ่งที่แผ่ร่มเงาไปทั่วทั้งเมือง แต่อันที่จริงต่อให้เป็นพวกต่งปู้เต๋อ ลึกๆ ในใจก็ไม่มีทางมองหนิงเหยาเป็นอิ่นกวานเต็มตัวอย่างแท้จริง และความคิดบางอย่างของหนิงเหยาก็เหมือนเวทกระบี่เหมือนการฝึกตน เหมือนการส่งกระบี่ในสนามรบของนาง เฉียบขาดตรงไปตรงมา
คฤหาสน์หลบร้อนในอดีต นับตั้งแต่เฉินผิงอันไปจนถึงเซียนกระบี่โฉวเหมียว จนไปถึงทุกคนที่มีหลินจวินปี้ ต่งปู้เต๋อเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทุกคนช่วยส่งเสริมกันและกันให้โดดเด่น ไม่ว่านิสัยใจคอหรือชาติกำเนิดจะต่างกันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นหรือต่างถิ่น ขอแค่เรื่องหนึ่งถูกนำไปวางบนโต๊ะแล้วปรึกษากัน ส่วนใหญ่แล้วทุกคนก็ไม่เพียงแต่สามารถแก้ไขปัญหาตรงหน้า ยังสามารถสืบสาวเบาะแสไปจัดการกับอีกสามถึงห้าเรื่องบนเส้นสายเดียวกัน หรือถึงขั้นจัดการกับเรื่องทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกันได้
นอกจากนี้เติ้งเหลียงจากบ้านเกิดมานานหลายปี ก็อยากรู้สถานการณ์ของภูเขาจิ่วตูจากอิ่นกวานเช่นกัน
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ย “คารวะเหลียงอันดับหนึ่ง”
เดินขึ้นเขาจื่อฝู่ตรงหน้าที่เคยเป็นซากปรักบรรพกาลไปด้วยกัน มาถึงยอดเขา เฉินผิงอันไปนั่งยองอยู่หน้าป้ายหิน
เติ้งเหลียงนั่งยองอยู่ด้านข้าง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่าโทษว่าข้าเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมหาผลประโยชน์ส่วนตนเลย โชควาสนาส่วนนี้ ต่อให้ต้องแย่งข้าก็ต้องแย่งมาไว้ในมือให้ได้”
เฉินผิงอันจุ๊ปาก “พูดจาเช่นนี้ รสชาติไม่ถูกต้องนะ เหมือนเหล้าบูดไหหนึ่ง แค่ฟังก็รู้สึกว่าทรยศสายอิ่นกวานหันไปเข้าร่วมกับสายสิงกวานแทนแล้ว”
จากนั้นก็สบถด่า หันหัวหอกตรงไปหาผู้นำของสายสิงกวาน “เจ้าชาติสุนัขฉีโซ่ว ขุดมุมกำแพงขุดมาถึงคฤหาสน์หลบร้อนของข้าแล้ว ข้าหรืออุตส่าห์เห็นเขาเป็นพี่น้องที่ดีของตัวเอง”
เติ้งเหลียงฟังแล้วก็ปล่อยผ่าน
ฉีโซ่วก็ช่างดวงซวยแปดชาติจริงๆ ปีนั้นถึงได้เฝ้าด่านมาเจอกับเฉินผิงอัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเขม่นกันเรื่อยมา ผลคือปีนั้นระหว่างที่เฝ้าหัวกำแพงเมือง ฉีโซ่วก็ดันเป็นเพื่อนบ้านของเฉินผิงอันและเฉิงเฉวียนพอดีอีก
กำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอยู่ไม่กี่คนที่ขึ้นชื่อว่าฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เฉิงเฉวียนต้องถือเป็นคนหนึ่งในนั้นแน่นอน เพราะขอบเขตถดถอย เมื่ออยู่กับฉีถิงจี้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ได้ครอบครองกระบี่บิน ‘ปิงเจี่ย’ ฉายาว่า ‘ฉีออกเดินทาง’ ยามพูดจาเฉิงเฉวียนก็ไม่เคยกริ่งเกรงมาก่อน
เฉินผิงอันยังคงพิศมองตัวอักษรบนป้ายศิลาอย่างละเอียด ตัวอักษรไม่มาก แต่กลับมากด้วยความหมาย อีกทั้งส่วนหัวและส่วนตัวของป้ายนี้ก็ล้วนเป็นความรู้ สามารถช่วยให้คนรุ่นหลังตรวจสอบระยะเวลาได้ ‘ถึงรุ่น’ ของมัน
คิดว่าก่อนจะออกไปจากนครบินทะยานจะต้องมาดูป้ายศิลานี้อีกสักรอบ กลับไปจะมอบให้หลิวจิ่งหลงเอาไปศึกษา ถึงอย่างไรในวัตถุจื่อชื่อก็ล้วนมีของครบถ้วน อย่างมากสุดใช้เวลาหนึ่งเค่อก็คัดลอกสำเร็จแล้ว
เฉินผิงอันยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งไปให้ คือเหล้าร้อยบุปผาที่เฟิงอี๋มอบให้เขา
เติ้งเหลียงดูของเป็น รับกาเหล้ามา “ใช่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เดาถูกแล้ว”
เติ้งเหลียงกอดประคองไหเหล้า ยื่นมือออกมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล “ขออีกสักไหสิ ข้าดื่มไหหนึ่งจะเก็บไว้ไหหนึ่ง วันหน้าเจ้าค่อยช่วยข้านำไปมอบให้ศาลบรรพจารย์ภูเขาจิ่วตูแทนข้า จะมีประโยชน์มาก”
ใช้ศอกถองฝ่ามือของเติ้งเหลียง เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้ว หนังหน้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เอาล่ะ ได้ช่วยเจ้าจองเหล้าหมักร้อยบุปผาไว้สองกาแล้ว รอให้ในอนาคตข้าไปเยือนธวัลทวีปค่อยส่งไปให้ภูเขาจิ่วตูในนามของเจ้า”
เติ้งเหลียงเข้ามาอยู่ในนครบินทะยานในรัชศกเจียชุนที่หก ช้ากว่าเจิ้งต้าเฟิงประมาณหนึ่งปี
ของขวัญพบหน้าที่เติ้งเหลียงมอบให้นครบินทะยาน ไม่เบา เขานำทรัพยากรล้ำค่าที่มีเฉพาะของภูเขาจิ่วตูมามากมาย เหล้าสุ้ยตั้นที่หมักด้วยวิธีลับหกสิบไห ยันต์ไล่ผีสามร้อยแผ่นที่ถูกขนานนามว่าเป็นเอ็นเขียวหนังสือทอง รวมไปถึงข้าวตระกูลเซียนที่มีชื่อว่าข้าวจ้งซือที่หนักแปดร้อยจิน ในสายตาของเฉินผิงอัน หากจะบอกว่าเหล้าหมักและยันต์ถือเป็นการเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร ทว่าเมล็ดพันธ์ข้าวเหล่านั้นกลับเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ในอาณาเขตภูเขาจื่อฝู่และนครอู่ขุยก็เริ่มมีการปลูกข้าวตระกูลเซียนชนิดนี้อย่างแพร่หลายแล้ว
ความคิดมากมาย สอดคล้องตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนนี้นครบินทะยานมุ่งมั่นในการขยับขยายอาณาเขตอย่างเดียว คำแนะนำบางอย่างของเติ้งเหลียงที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ใช่ว่าทางฝั่งศาลบรรพจารย์จะไม่รับฟัง ทว่าได้แต่วางพักไว้ก่อนชั่วคราว หรือควรจะพูดว่าไม่เห็นความสำคัญมากพอ
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องที่จำเป็นต้องทำ รวมไปถึงเรื่องข้างมือที่ทำได้มีมากเกินไปจริงๆ ซับซ้อนวุ่นวายไปหมด
อันที่จริงผู้ฝึกตนสามสายของนครบินทะยานถือว่าทำดีมากแล้ว
ปฏิเสธคำเชิญของเติ้งเหลียงอย่างละมุนละม่อม ไม่ได้ไปจิบเหล้าสักจอกสองจอกที่จวนของเขา ตอนนี้เติ้งเหลียงก็รับลูกศิษย์เข้าสำนักสองคนและลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่ออีกกลุ่มหนึ่ง ถือว่าตั้งใจจะสร้างสำนักเบื้องล่างให้กับภูเขาจิ่วตูอยู่ที่นี่แล้ว
ทะยานลมออกไปจากภูเขาจื่อฝู่ ระหว่างทางหนิงเหยาใช้เสียงในใจพูดคุยกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็ให้เสี่ยวโม่ไปที่นครบินทะยานก่อนทันที จากนั้นเขาเรียกนกในกรงออกมา
หนิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างออก ปลดกล่องกระบี่ลง มอบให้เฉินผิงอันทั้งหมด คล้ายกับเป็นเอกสารผ่านด่านที่พิเศษอย่างหนึ่ง ช่วยให้เฉินผิงอันเข้าไปในนครบินทะยานได้
เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าตาลายไปวูบหนึ่ง หนิงเหยาก็สวมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่หอภูษาในอดีตสร้างขึ้นลงบนร่างเรียบร้อยแล้ว
หนิงเหยาเอ่ย “อย่าได้ถ่วงเวลาการฝึกตน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ กอดกล่องกระบี่ไว้ในอ้อมอก
หนิงเหยาเอ่ย “ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้านะ”