กระบี่จงมา - ตอนที่ 909.3 คนเฝ้าประตู
อันที่จริงเจี่ยนเฟิงเตรียมใจสำหรับการที่ต้องกลับไปมือเปล่าแล้ว ฉวยโอกาสตอนที่ยังกินบ๊ะจ่างในมือไม่หมดพูดคุยเรื่องการวางแผนสร้างโรงเรียนในท้องถิ่นอีกสองสามประโยค ยังคงเป็นต่งสุ่ยจิ่งที่เชิญคนให้เป็นตัวแทนออกเงินในการสร้างถนนซ่อมสะพานอยู่เบื้องหลัง บางอย่างก็มีค่าควรให้ปรึกษาหารือ เงินจำนวนไม่น้อยไม่ได้ใช้หมดไปกับเรื่องสำคัญ และเรื่องพวกนี้ก็อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับผิดชอบของจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิมขี้หมูราขี้หมาแห้ง เจี่ยนเฟิงเองก็เพราะเป็นขุนนางผู้ตรวจการอย่างเบื่อหน่าย เห็นอยู่ในสายตา รู้สึกว่ามีรายละเอียดมากมายเหลือเกินที่จำเป็นต้องแก้ให้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ ในเมื่อวันนี้กว่าจะได้พบต่งครึ่งเมืองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ถือเสียว่าคุยเรื่องไร้สาระนอกเหนือจากเรื่องเป็นการเป็นงานไปสองสามคำ ต่อให้จะถูกคนเขารังเกียจก็ไม่เป็นไร
ต่งสุ่ยจิ่งตอบรับอย่างขอไปทีจริงดังคาด พูดแค่ว่าวันหน้าหากมีเวลาว่างจะลองถามดู เจี่ยนเฟิงรู้ว่าสิบในสิบคือหมดหวังแล้ว
ออกมาจากบ้านหลังนั้น เดินอยู่ในตรอกเก่าโทรมเพียงลำพัง เจี่ยนเฟิงก็ยิ้มเฝื่อนกับตัวเอง วันนี้เหนื่อยเปล่าอีกครั้งแล้ว
ไม่เสียแรงที่ตนถูกคนพูดลับหลังว่าเป็นใต้เท้าผู้ตรวจการที่ไม่ได้ความที่สุดในประวัติศาสตร์
หลี่ไหวที่อยู่ในห้องทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “ชนกำแพงเกิดเสียงดังก็คือความรู้สึกตามสัญชาตญาณ”
หลี่ไหวถาม “อ่านมาจากในตำราหรือว่าเฉินผิงอันพูดให้ฟัง?”
ต่งสุ่ยจิ่งทั้งขำทั้งฉุน
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “เจ้าเลิกเรียนเร็ว อ่านตำรามาน้อย ยังสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ต่งสุ่ยจิ่งลังเลอยู่พักใหญ่ อัดอั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ยังไม่ถามออกไป
แต่หลี่ไหวกลับรู้ว่าต่งสุ่ยจิ่งอยากจะถามอะไร “หากมีสองแล้วเลือกได้แค่หนึ่ง ข้าต้องเลือกเจ้ามาเป็นพี่เขยแน่นอน”
ต่งสุ่ยจิ่งกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “เจอกับหลินโส่วอี คำถามแบบเดียวกันนี้ เจ้าจะตอบอย่างไร?”
หลี่ไหวหัวเราะดังลั่น
ต่งสุ่ยจิ่งไม่ซักไซ้เอาคำตอบอีก เพียงหันหน้าไปมองต้นหลิวที่ปลูกอยู่ข้างบ่อน้ำในลานบ้าน อ่อนโยนนุ่มนวล สายตาของบุรุษก็อ่อนโยนเช่นเดียวกับต้นหลิวต้นนั้น
ที่ว่าการน้ำใสแห่งหนึ่งภายใต้การปกครองของกองรถม้ากรมกลาโหมเมืองหลวง สำนักรายงานข่าวที่ทำการไปรษณีย์ที่ตั้งอยู่ในตรอกเม่าไต้ วันนี้มีแขกผู้สูงศักดิ์ในวงการขุนนางสองคนที่ไม่เคยมายังที่แห่งนี้มาก่อนมาเยือน
หนึ่งคือคนกันเองของสำนักการทหาร อีกหนึ่งคือขุนนางกรมพิธีการ ตำแหน่งขุนนางของทั้งสองคือหลางจง อีกทั้งยังเป็นหลางจงในเมืองหลวงที่มีอำนาจมากที่สุดของราชสำนักต้าหลีด้วย
ลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวงที่มีตำแหน่งอยู่ในสำนักรายงานข่าวแซ่ฟู่นามหู เขามีพี่ชายที่มีอนาคตสดใสได้ดิบได้ดีอย่างถึงที่สุดนามว่าฟู่อวี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งออกจากท้องถิ่นกลับไปรายงานการปฏิบัติการที่เมืองหลวง ปลดระวางตำแหน่งเจ้าเมืองของเขตการปกครองเป่าซีในหลงโจวเก่า ถือเป็นการโยกย้ายมารับตำแหน่งที่เท่าเดิม เพิ่งจะรับหน้าที่เป็นเส้าจานซื่อในหน่วยจานซื่อหนึ่งในเก้ามนตรีเล็ก ดูแลหอจั่วชุน ฟู่หูทั้งเคารพทั้งหวาดกลัวลูกผู้พี่ที่เจริญก้าวหน้าในวงการขุนนางผู้นี้ บวกกับที่ฟู่อวี้มีอายุมากกว่าฟู่หูหนึ่งรอบ จึงมีความหมายเหมือนเป็นทั้งพี่ชายและเป็นทั้งบิดา
วันนี้หลังจากที่ฟู่หูจัดการงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดิมทีเขากำลังนั่งไขว่ห้างกำหยกมันแพะชิ้นหนึ่งเล่นอยู่ในมือ เมื่อเขาได้ข่าวมาจากเสมียนที่หน้าประตูก็พลันตกใจสะดุ้งโหยง สร่างจากสุราลำคลองชางผูที่ดื่มมาเมื่อคืนทันที เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองทำงานผิดพลาดใหญ่เทียมฟ้าที่ตรงไหน ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์สกุลหลูในอดีต เคยมีคดีที่กล่องตราประทับของห้องพิจารณาคดีกรมกลาโหมถูกขโมยไป เดือดร้อนเป็นวงกว้าง ฮ่องเต้พิโรธหนัก สั่งให้ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก สอบสวนไปถึงสุดท้ายจึงรู้ว่าแม้แต่กล่องตราประทับที่ใช้ในสำนักรายงานข่าวก็ยังถูกนักการหลอมทิ้งไปด้วย เป็นเหตุให้หมวกขุนนางและศีรษะของคนที่อยู่ในกรมกลาโหมราชสำนักสกุลหลูหล่นหายกันไปเยอะมาก ตอนนั้นสกุลซ่งต้าหลีที่เป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลหลูก็ได้แต่เห็นเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น
รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจมาหาเหล่าหลิน ฟู่หูก็เดินวนอยู่ในห้องสองรอบ กระทืบเท้าหนึ่งที สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะลองบุกไปลุยสระมังกรถ้ำพยัคฆ์ดูสักรอบ
คิดถึงเหล่าหลิน ตลอดหลายปีมานี้ทำงานอย่างรอบคอบระมัดระวัง ตรากตรำเหน็ดเหนื่อยเหมือนวัวแก่ๆ ตัวหนึ่ง ยามอยู่กับตนก็ปรองดองกันเป็นอย่างดี ทำเรื่องต่างๆ มากมาย อยู่ในโอวาสไม่เคยคิดแย่งชิงอำนาจ
อีกอย่างจะดีจะชั่วตนก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้นำของสำนักรายงานข่าว ก็ควรจะต้องปกป้องพี่น้องในที่ว่าการบ้านตัวเองเสียหน่อย
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งฟูหูไปถึงด้านนอกห้องทำงานของหลินเจิ้งเฉิง เห็นคนสองคนที่อยู่ด้านใน ความกล้าหาญของเขาก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเหล่าหลินบ้านตนที่พบกับแขกไม่ได้รับเชิญสองคนแล้วเพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกระถางไฟ โน้มตัวไปข้างหน้ายื่นมือไปอังไฟ ถึงกับไม่ได้ลุกขึ้นมารับรองแขก มาดใหญ่จนเหมือนเป็นเจ้ากรมของหกกรมอย่างไรอย่างนั้น
ต้องรู้ว่าคนสองคนที่ยืนอยู่ในห้อง ผู้เฒ่าผมขาวคนนั้นกับชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามคือหลางจงกองชิงลี่ฝ่ายบวงสรวงกรมพิธีการต้าหลี กับหลางจงกองคัดเลือกทหารแห่งกรมกลาโหมเชียวนะ!
ตำแหน่งในวงการขุนนางของคนทั้งสอง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นตัวเลือกที่สำคัญที่สุดที่ราชครูชุยฉานต้องคัดเลือกไว้ด้วยตัวเอง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้ากรมกลาโหม เจ้ากรมพิธีการรวมถึงรองเจ้ากรมด้วย
หลินเจิ้งเฉิงกำลังจะลุกขึ้นยืน เพียงแต่ว่าหัวหน้าที่โผล่หัวมาตรงประตูห้องแวบเดียวก็ก้าวถอยหนีไปกลับหายไปไม่เหลือเงาแล้ว
หลินเจิ้งเฉิงจึงได้แต่กลับมานั่งบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง พยักหน้าเอ่ยกับหลางกวานทั้งสองว่า “ความหมายของฝ่าบาท ข้าเข้าใจแล้ว จะออกเดินทางไปที่ศูนย์ตัดไม้ของเขตอวี้จางทันที”
หลางจงผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “เดิมทีควรเป็นรองเจ้ากรมเฉาของกรมขุนนางที่เป็นผู้นำขบวนมาพบและแจ้งข่าวแก่อาจารย์หลินด้วยตัวเองที่นี่ เพียงแต่ว่าพอรองเจ้ากรมเฉาได้ยินว่าต้องมาพบอาจารย์หลินก็ขาแพลงทันที ต้องรีบหาคนมาใส่ยาให้”
เฉาเกิงซินรับหน้าที่เป็นขุนนางอยู่ในจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาของหลงโจวมานานหลายปี แล้วก็เพราะอยู่ในตำแหน่งนี้ถึงได้มีโอกาสล่วงรู้ความลับอันดับหนึ่งของต้าหลี
ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้นมี ‘สถานะหน้าที่’ อย่างหนึ่งที่ถูกเก็บงำอำพรางเอาไว้ ไม่มีตำแหน่งไม่มีระดับขั้น แต่สำหรับราชสำนักต้าหลีแล้วกลับสำคัญยิ่งกว่าขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาในแต่ละยุคแต่ละสมัยเสียอีก
มีชื่อว่า ‘หุนเจ่อ’ ความหมายคือคนเฝ้าประตู
คนผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นหูเป็นตาของโอรสวรรค์ที่แท้จริงของราชสำนักต้าหลี คือคนรู้ใจตัวจริงของฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลี หรือควรจะพูดว่าของราชครูชุยฉานท่านนั้น
และหุนเจ่อคนสุดท้ายที่ถูกต้าหลีจัดวางไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจู ก็คือบิดาของหลินโส่วอี ขุนนางผู้ช่วยจวนผู้ตรวจการในอดีต ทุกวันนี้มีตำแหน่งขุนนางต่ำต้อยอยู่ในสำนักรายงานข่าวที่ทำการไปรษณีย์ของเมืองหลวง หลินเจิ้งเฉิง
อีกทั้งเฉาเกิงซินยังมีการคาดเดาที่มากกว่านั้น
นับแต่ในอดีตที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูกระทั่งมาอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีทุกวันนี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหลินเจิ้งเฉิงจะยังคงสถานะหุนเจ่อเอาไว้ หากการเจรจาระหว่างเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วกับสกุลซ่งต้าหลีไม่เป็นผลสำเร็จ ทั้งสองฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง หลินเจิ้งเฉิงผู้นี้ก็จะต้องกลายมาเป็นเขื่อนกั้นน้ำด่านสุดท้ายที่ราชครูชุยฉานทิ้งไว้ในเมืองหลวงต้าหลี อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรับประกันว่าเฉินผิงอันจะไม่เปิดฉากเข่นฆ่าสังหาร
แม้ว่าเฉาเกิงซินจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่ขอบเขตไม่สูงคนหนึ่งถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แต่เฉาเกิงซินกลับยึดถือในหลักการข้อหนึ่ง คนที่ตนเองไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ก็อย่าได้ไปใกล้ชิดแตะต้องเด็ดขาด
บุรุษเห็นว่าคนทั้งสองยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิมก็ถามว่า “รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ เร่งให้ข้ารีบออกเดินทางหรือไร?”
หลางจงผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด เงียบไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “มิกล้า”
ในเมื่อไม่มีที่ให้นั่ง หลางจงกองคัดเลือกทหารคนนั้นจึงยกสองแขนกอดอก ยืนพิงกรอบประตู สำหรับเจ้าคนที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำผู้นี้ เขาสงสัยใคร่รู้อยู่มากจริงๆ หากไม่เป็นเพราะการโยกย้ายในวงการขุนนางที่ผิดหลักทั่วไปครั้งนี้ เขาก็คงไม่มีโอกาสได้รู้ว่าหลินเจิ้งเฉิงมีประวัติความเป็นมาเช่นนี้ อันที่จริงหลางจงกองคัดเลือกทหารกรมกลาโหมอย่างเขา วันนี้ก็แค่มานำทางให้กับตาเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วในวงการขุนนาง เขาไม่สามารถมาควบคุมขุนนางหลักของศูนย์ตัดไม้เขตอวี้จางในอนาคตอย่างหลินเจิ้งเฉิงได้เลย
หงโจวก่อตั้งที่ว่าการอย่างหนึ่งขึ้นมาใหม่ ชื่อว่าศูนย์ตัดไม้ ในนามมีหน้าที่คอยจับกุมพวกคนที่มาขโมยตัดไม้ใหญ่โดยพาะ
คล้ายคลึงกับที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาของฉู่โจวและยังมีสำนักทอผ้าไหมของอู้โจว ระดับขั้นของขุนนางหลักมีสูงมีต่ำ แต่กลับมีรากฐานที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
ส่วนจังหวัดหงโจวที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนเชื่อมต่อทางทิศเหนือกับฉู่โจวซึ่งมีเขตอวี้จางที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปนั้น นอกจากจะเป็นภูมิลำเนาของไทเฮาต้าหลีในทุกวันนี้แล้ว นับแต่โบราณมาก็มีผลผลิตเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้ามากมาย
นอกจากนี้ยังเล่าลือกันว่าเป็นสถานที่ที่สิบสองเซียนกระบี่ยุคบรรพกาลพิสูจน์มรรคากลายเป็นเซียน จึงเป็นเหตุให้วงการขุนนางต้าหลีมีคำกล่าวที่น่าขันว่า ‘อวี้จางใหญ่ หงโจวเล็ก’ มาโดยตลอด
หลินเจิ้งเฉิงเห็นว่าคนทั้งสองยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับไปก็ยิ้มถามว่า “ไม่อย่างนั้นให้ข้าจัดงานเลี้ยงรับรองทั้งสองท่านที่สำนักรายงานข่าวแห่งนี้ก่อนดีไหม?”
หลางจงผู้เฒ่ารู้สึกจนใจเป็นทบทวี คนที่มาจากท้องถิ่นของถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างพวกเจ้า นอกจากต่งสุ่ยจิ่งที่ดีหน่อยแล้ว นอกจากนั้นก็มีแค่ไม่กี่คนที่พูดจาเข้าหูคนจริงๆ!
การที่อยู่ขวางหูขวางตาอีกฝ่ายที่นี่ก็เพราะอยากจะช่วยฮ่องเต้ อยากจะได้ยินถ้อยคำยืนยันแน่ชัดจากปากบุรุษตรงหน้าผู้นี้
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกอย่างมาก ฮ่องเต้ที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้น กลับต้องใช้วิธีวกวนอ้อมไปอ้อมมาเพื่อขอคำตอบที่ชัดเจนจากขุนนางขั้นเจ็ดชั้นโทคนหนึ่ง
แต่อันที่จริงนี่ไม่น่าขำเลยแม้แต่น้อย
ที่เกินกว่าเหตุยิ่งไปกว่านั้นก็คือบุรุษผู้นี้เอาแต่แกล้งโง่อยู่ได้
หลินเจิ้งเฉิงหยิบที่คีบถ่านขึ้นมาเขี่ยถ่านเบาๆ เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “เคยมีคนเอ่ยภาษาธรรมประโยคหนึ่งกับข้า พระพุทธรูปทองคำไม่ข้ามเตาหลอม พระพุทธรูปไม้ไม่ข้ามไฟ พระพุทธรูปดินเผาไม่ข้ามน้ำ”
หลางจงผู้เฒ่าพยักหน้าเอ่ย “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปกราบทูลฮ่องเต้เดี๋ยวนี้”
หลางจงผู้มีอำนาจทั้งสองจึงไปจากสำนักรายงานข่าวกันทันที
พอเข้าไปเดินในตรอกเม่าไต้นอกประตู หลางจงกองคัดเลือกทหารก็ใช้เสียงในใจถามว่า “หมายความว่าอะไร?”
ผู้เฒ่าเอ่ย “เจ้ากับข้าไม่เข้าใจกะผายลมอะไรทั้งนั้น ขอแค่ฝ่าบาทเข้าใจก็พอแล้ว”
หลังจากฟู่หูได้ยินว่าหลางจงทั้งสองท่านไปจากถิ่นของตัวเองแล้วถึงได้ไปที่ห้องของเหล่าหลิน ลังเลอยู่พักหนึ่ง เดินก้าวธรณีประตูเข้าไป เห็นว่าเหล่าหลินยืนอยู่ก็ยื่นมือไปกดลงบนความว่างเปล่าสองที บอกเป็นนัยให้พี่น้องนั่งลงคุยกัน ถามอย่างระมัดระวังว่า “เหล่าหลิน พวกเขามาหาเจ้าทำไมหรือ บอกข้าหน่อยได้หรือไม่?”
หลินเจิ้งเฉิงเอ่ย “ไหว้วานให้หาช่องทาง อีกเดี๋ยวจะต้องไปรับหน้าที่ที่ศูนย์ตัดไม้ของเขตอวี้จางจังหวัดหงโจวแล้ว”
ฟู่หูถาม “เป็นขุนนางผู้ช่วยเหมือนเดิมหรือ?”
บุรุษส่ายหน้า “เป็นหัวหน้า”
ฟู่หูอึ้งตะลึง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ไม่ถูกสิ หากข้าจำไม่ผิด ขุนนางหลักของศูนย์ตัดไม้คือขุนนางขั้นหกชั้นเอก ทุกวันนี้เจ้าเพิ่งเป็นขุนนางขั้นเจ็ดชั้นโท เหล่าหลินเจ้าไปหาช่องทางจากใครถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับทำให้เจ้ากระโดดข้ามขั้นไปได้ครึ่งขั้นโดยตรง?!”
บุรุษยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้บอกคนนอกไม่ได้หรอก มันเป็นข้อห้าม”
ฟู่หูหัวเราะฮ่าๆ ตบไหล่ของบุรุษข้างกาย “เหล่าหลิน ยินดีด้วยๆ บอกตามตรงนะ หากว่าแค่ย้ายที่แล้วไม่ได้เลื่อนขั้นขุนนาง ยังรับตำแหน่งเท่าเดิม คอยเป็นลูกน้องให้คนอื่น ข้าก็ต้องด่าเจ้าสักสองสามคำแล้ว สงสัยอย่างยิ่งว่าเจ้ารังเกียจที่ทำงานอยู่ข้างกายข้าแล้วไม่สบายใจ แต่ในเมื่อได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ทั้งยังได้กระโดดข้ามขั้นก็ไม่มีอะไรให้พูดกันแล้ว คืนนี้เราไปที่ลำคลองชางผูกันเถอะ ข้าเลี้ยงเอง!”
บุรุษพยักหน้า “ใต้เท้าฟู่เป็นคนเชิญ ข้าเป็นคนควักกระเป๋าเงินเอง”
ฟู่หูตบไหล่ของบุรุษข้างกายหนักๆ อีกที “โอ้โห หลายปีมานี้เป็นข้าที่ตาไม่ดีแล้ว ที่แท้เหล่าหลินก็คือวัตถุดิบชั้นดีในการเป็นขุนนางหรือนี่!”
หลังจากที่ฟู่หูจากไป บุรุษมองเปลวไฟในกระถางเงียบๆ ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
การเลือกที่ตั้งสุสานของสามีภรรยาตรอกหนีผิง
ปีนั้นเขาแอบไปเยือนที่เรือนด้านหลังของร้านยาตระกูลหยาง ไปหาหยางเหล่าโถวมารอบหนึ่ง ยอมทำผิดกฎของราชสำนักอย่างไม่เสียดาย ยอมก้มหัวขอร้องผู้เฒ่าเรื่องหนึ่งอย่างจนใจ
และยังมี ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ ที่ผลัดเปลี่ยนมือไปตลอดทางจนกระทั่งไปหล่นอยู่ในมือของคนบางคน
นอกจากนี้ยังมีคืนนั้นที่แอบเอาหินดีงูบางส่วนซึ่งเก็บรักษาเป็นอย่างดีโยนลงไปในลำคลองหลงซวี ราวกับว่ามันรอคอยให้เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานสะพายตะกร้าไม้ไผ่ไปพบเห็นและเก็บเอามา
เรื่องที่สามารถทำได้ อันที่จริงก็มีน้อยนิดเพียงแค่นี้
ไม่เคยต้องการสิ่งใด หวังเพียงว่าวันหนึ่งที่ไม่เป็นขุนนางแล้ว ไม่ได้เป็นหุนเจ่อคนเฝ้าประตูอะไรนี่แล้ว เด็กกำพร้าโดดเดี่ยวคนนั้นที่เติบโตปีแล้วปีเล่ากลายเป็นเด็กหนุ่ม จากนั้นก็กลายเป็นบุรุษที่ก่อร่างสร้างตัวได้ เมื่อถึงยามที่ต้องฉลองวันปีใหม่ เจอกับเขาหลินเจิ้งเฉิง อีกฝ่ายจะเรียกเขาจากใจจริงว่าท่านอาหลิน ส่วนตนก็สามารถรับคำเรียกขานนี้ได้อย่างไร้ความละอายใจ
เข้าสู่หน้าหนาวของปีนี้ ทางฝั่งห้องกระบี่บนภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้รับเทียบเชิญที่เขียนด้วยลายมือของเจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วฉบับหนึ่ง เชื้อเชิญให้หลิวจิ่งหลงและป๋ายโส่วผู้เป็นลูกศิษย์ไปเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่างที่จะจัดขึ้นในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าที่ใบถงทวีปด้วยกัน