กระบี่จงมา - ตอนที่ 909.2 คนเฝ้าประตู
พอได้พูดคำว่า ‘เสี่ยวตง’ นักพรตเนิ่นก็ให้สะทกสะท้อนใจ หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตนก็เคยไล่ตาม ‘เสี่ยวต่ง’ ที่เดินทางผ่านขุนเขาใหญ่แสนลี้เหมือนกัน
หลี่ไหวตบโต๊ะ นักพรตเนิ่นหุบปากฉับทันใด หรือว่าตนจะพูดผิดไป?
หลี่ไหวยกนิ้วโป้งขึ้น “สุ่ยจิ่ง อร่อย! เอามาอีกสองชาม”
มองออกว่าต่งสุ่ยจิ่งมาที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เป็นประจำ รอให้หลี่ไหวกินเกี๊ยวน้ำหมดไปอีกชาม ต่งสุ่ยจิ่งก็ก่อไฟขึ้นมากระถางหนึ่งเรียบร้อย นั่งยองอยู่ด้านข้าง ปิ้งเผือกย่างบ๊ะจ่างรอแล้ว
กระตุกเชือก ลอกใบไม้ที่ห่อบ๊ะจ่างออก ในมือต่งสุ่ยจิ่งก็มีบ๊ะจ่างที่ถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทอง หลี่ไหวมองจนรู้สึกหิวขึ้นมาอีก แย่งเอาบ๊ะจ่างมา บิครึ่งแบ่งให้นักพรตเนิ่น
ต่งสุ่ยจิ่งจึงได้แต่ลอกเปลือกบ๊ะจ่างลูกใหม่อีกลูก คนทั้งสามนั่งล้อมกระถางไฟกัน ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยเสียงเบา “สามีของเจ้าคนมัดผมแกละ เปียนเหวินเม่าเพิ่งจะมารับหน้าที่เป็นเซวี๋ยเจิ้งที่ฉู่โจวของพวกเรา แต่ว่าไม่ได้เลื่อนตำแหน่งขุนนาง ถือว่าย้ายจากเมืองหลวงมาทำงานนอกสถานที่ เพียงแต่ว่าตำแหน่งขุนนางน้ำใสทั้งยังสูงศักดิ์อย่างเซวี๋ยเจิ้งที่ราชสำนักต้าหลีเพิ่งก่อตั้งได้แค่ไม่กี่ปีนี้ คนทั่วไปมิอาจคว้ามาครองได้ ปกติแล้วจะต้องเป็นขุนนางเก่าแก่ของหกกรมในเมืองหลวงที่มาจากสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินเท่านั้น ไม่มีหวังจะเลื่อนขั้นขุนนางแล้ว ก่อนที่จะลาออกจากวงการขุนนางกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ฮ่องเต้จะจงใจประทานตำแหน่งนี้ให้กับขุนนางบุ๋นเป็นพิเศษ เดิมทีเซวี๋ยเจิ้งก็ไม่มีระดับขั้น ก็เหมือนอย่างเขตหลิงโจว ฉิงโจวสองแห่งที่อยู่ในอาณาเขตของเมืองหลวงสำรองที่ก็ให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมโยธาท่านหนึ่งและซื่อชิงท่านหนึ่งของศาลหงหลูเป็นผู้ดูแล ทุกวันนี้หัวหน้าของเปียนเหวินเม่าคือซื่อเฉิงแห่งศาลกวงลู่ ตำแหน่งเซวี๋ยเจิ้งของฉู่โจวสี่ปีจะครบวาระ กลับไปเมืองหลวงก็น่าจะได้เป็นเส้าชิงของศาลกวงลู่แล้ว (ศาลกวงลู่คือระบบอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ ตำแหน่งขุนนางคือชิง เส้าชิงและเฉิง ดูแลเรื่องอาหารในงานเซ่นไหว้ การประชุมในท้องพระโรง งานเลี้ยง ฯลฯ) ในอนาคตความเป็นไปได้ที่จะได้ดูแลศาลกวงลู่มีไม่มาก น่าจะถูกโยกย้ายให้ไปรับตำแหน่งเท่าเดิมในที่ว่าการหกกรม หรือไม่ก็ให้ไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวงสำรอง สะสมไปทีละนิดจนกระทั่งไปถึงตำแหน่งหนึ่ง สุดท้ายได้รับยศมหาบัณฑิตที่ลำดับรายชื่อรั้งท้าย ในอนาคตมีหวังว่าจะได้รับสมญานามที่ไม่เลว ส่วนเรื่องการที่จะได้ไปเสวยสุขในศาลบูรพกษัตริย์นั้นก็ช่างเถิด ตัวเปียนเหวินเม่าเองยังไม่กล้าคิดไปถึงขั้นนี้เลย”
หลี่ไหวกินบ๊ะจ่าง สีหน้าเหลอหรา “หา?”
นักพรตเนิ่นทอดถอนใจ
เสี่ยวต่งพูดจ้ออยู่ตั้งนาน คุณชายของตนตอบรับกระชับเรียบง่ายแค่คำเดียวก็เพียงพอแล้ว
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มเอ่ย “เจ้าคือนักปราชญ์ของสำนักศึกษา ตามกฎใหม่ของศาลบุ๋น วันหน้าย่อมเลี่ยงการจะไปมาหาสู่กับราชสำนักต้าหลีไม่ได้ เรื่องในวงการขุนนางที่มองดูเหมือนยิบย่อยน่าเบื่อพวกนี้ ช้าเร็วก็ต้องได้สัมผัส”
วงการขุนนางต้าหลีในทุกวันนี้มีการโยกย้ายเกิดขึ้นถี่ครั้ง จากเมืองหลวงไปยังท้องถิ่น ถนนหนทางมีคนสัญจรขวักไขว่ พูดถึงแค่พวกลูกพี่ใหญ่ในอำเภอและเขตที่อยู่ในเขตของจังหวัดฉู่โจวใหม่ก็แทบจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่กันหมดแล้ว
อู๋ยวนรับหน้าที่เป็นผู้ว่าจังหวัด ปีนั้นตอนที่รับตำแหน่งอยู่ในอำเภอไหวหวงต้องออกจากตำแหน่งไปอย่างหม่นหมอง ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการแว้งกลับมาเอาคืนอย่างงดงาม
ส่วนเว่ยหลี่ผู้ว่าจังหวัดหลงโจวคนก่อนที่มีชาติกำเนิดจากขุนนางบุ๋นแคว้นหวงถิง ทุกวันนี้ไปรับหน้าที่เป็นเจ้ากรมพิธีการที่เมืองหลวงสำรองของต้าหลีต่อ
เฉาเกิงซินที่ก่อนหน้านี้เป็นขุนนางหลักของจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นขุนนางผู้ตรวจการหลงโจวไปเป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวากรมโยธาเมืองหลวงแห่งที่สอง จากนั้นเลื่อนขั้นไปเป็นรองเจ้ากรมขุนนางของเมืองหลวงต้าหลี ได้อยู่ในตำแหน่งใจกลางสำคัญของราชสำนัก
ส่วนหยวนเจิ้งติ้งได้เป็นใต้เท้าผู้ว่าของหงโจวเพื่อนบ้านที่อยู่ทางเหนือ
จิ่งควนเจ้าเมืองคนใหม่ของเขตการปกครองเป่าซีจังหวัดฉู่โจวเคยเป็นหลางจงของกองชิงลี่กรมคลังเมืองหลวง ดูแลกระเป๋าเงินของจังหวัดสามแห่งซึ่งมีจังหวัดหงโจวเป็นหนึ่งในนั้น
แต่อันที่จริงในหลายๆ ครั้ง คนเชื่อดาบสำนักโม่ที่ต้องปิดบังอำพรางตัวตนอย่างต่งสุ่ยจิ่งก็ยังรู้สึกอิจฉาหลี่ไหวที่สามารถปล่อยตัวลอยไปตามกระแสคลื่น หรือควรจะพูดว่าพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่?
หลี่ไหวเอ่ยอย่างใจฝ่อ “ข้ารู้ว่าจ้าวเหยาที่เป็นสหายร่วมเรียนของพวกเรา ทุกวันนี้รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมอาญาของต้าหลี”
“ยังมีอู๋ยวนขุนนางผู้เป็นดุจบิดรมารดาในอำเภอเมื่อก่อน ทุกวันนี้กลับมาที่นี่ก็รับหน้าที่เป็นใต้เท้าผู้ว่าของจังหวัดฉู่โจวใหม่แล้ว”
“นอกจากนี้ผู้ตรวจการเฉาที่ชอบดื่มเหล้าไม่ชอบไปขานชื่อผู้นั้น เมื่อหลายปีก่อนก็เหมือนว่าจะโยกย้ายไปรับตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่กรมขุนนางในเมืองหลวงแล้ว?”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มถาม “แล้วอย่างไรอีก?”
หลี่ไหวถอนหายใจ “ไม่มีแล้ว”
นักพรตเนิ่นช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ “ไยคุณชายจะต้องไปพัวพันกับกิจธุระล่างภูเขาที่เกี่ยวพันกับทางการพวกนี้ด้วย?”
หลี่ไหวส่ายหน้า “ต้าหลีของพวกเราไม่เหมือนที่อื่น”
ไม่ว่าตำแหน่งนักปราชญ์นี้ของตนจะหล่นมาจากฟ้าอย่างไร แล้วหล่นมากระแทกหัวของตนได้อย่างไร แต่ในเมื่อเป็นนักปราชญ์แล้ว หลี่ไหวก็ไม่ยินดีจะทำได้แย่กว่าคนอื่นมากนัก
ตอนเด็กระหว่างที่เดินทางไปขอศึกษาต่อ ยามค่ำคืนที่ต้องนอนค้างแรมในชานป่ารกร้าง เฉินผิงอันช่วยดูต้นทางให้ เขาเคยพูดความในใจบางอย่างกับหลี่ไหว ทุกวันนี้เขาจำได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว หลี่ไหวแค่จำความหมายคร่าวๆ ได้ บอกว่าคนคนหนึ่งตอนที่ยังเล็ก ในช่วงเวลาที่มีเพียงการเรียนหนังสือเท่านั้นที่พอจะทำได้ ไม่กลัวว่าจะจดจำหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำราพวกนั้นไม่ได้ กลัวก็แต่ว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ยินดีจะทำให้ดี ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเดินออกจากห้องหนังสือไปก็ไม่ต้องอ่านหนังสืออีกแล้ว เพราะง่ายมากที่จะทำเรื่องถัดไปได้ไม่ดี
ตอนนั้นหลี่ไหวบอกว่า ก็ข้าไม่เหมาะจะเรียนหนังสืออย่างไรล่ะ เฉินผิงอันจึงพูดว่า เขาเองก็ไม่เหมาะจะเผาเครื่องปั้นเหมือนกัน เรียนรู้อะไรได้ช้าเกินไป มือมักจะตามไม่ทัน แต่มีเพียงความพยายามเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสทำเรื่องถัดไปได้ดียิ่งกว่าเดิม
นักพรตเนิ่นรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “คุณชายถ่อมตัวเช่นนี้ ไยต้องกลัดกลุ้มว่าจะทำการใหญ่ไม่สำเร็จ”
ไม่ใช่ว่าเถาถิงไม่มีความกล้าหาญอะไรจริงๆ แต่เป็นเพราะเฒ่าตาบอดผู้นั้นป่าเถื่อนเกินไป
ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้เดินทางไกลมาปกป้องมรรคาให้กับหลี่ไหว เฒ่าตาบอดก็ได้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ให้กับเถาถิง หากว่าลูกศิษย์ของข้าได้รับความตกอกตกใจแม้เพียงน้อย ข้าจะตัดขาที่ห้าของเจ้าให้ขาด
นักพรตเนิ่นที่น่าสงสาร ทุกวันนี้กลัวก็แต่ว่าวันใดหลี่ไหวจะไม่ระวังดื่มชาร้อนจนลวกปากหรือไม่ ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เป็นผู้ปกป้องมรรคามาได้จนถึงขั้นนี้ ไม่พูดว่าต่อจากนี้จะไม่มีใครทำได้ แต่ก่อนหน้านี้ต้องไม่เคยมีใครได้ทำมาก่อนแน่นอน
ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าเฒ่าตาบอดจะยังไม่หายห่วงหลี่ไหว แม้จะอยู่ไกลถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าใช้เวทลับบรรพกาลอะไร ถึงกับสามารถเข้ามาในความฝันของหลี่ไหวได้โดยตรง จากนั้นก็กระชากขอบเขตบินทะยานอย่างเถาถิงให้เข้าไปอยู่ในความฝัน
นักพรตเนิ่นคล้ายได้กลับคืนไปยังภูเขาใหญ่แสนลี้ ท่ามกลางม่านราตรี พื้นดินสั่นสะเทือนมีเสียงฟ้าคำราม หลี่ไหวลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าอยู่ใน ‘ความฝัน’ วิ่งออกจากประตูกระท่อมไปมองดูก็เห็นว่าบริเวณโดยรอบภูเขาใต้ฝ่าเท้า พื้นดินกลายเป็นสีทองทั้งแถบ หุ่นเชิดเกราะทองรวมตัวกันแน่นขนัด
หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งในนั้นสูงยิ่งกว่าภูเขา นั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่ที่ตีนเขา เงยศีรษะที่ใหญ่โตมโหฬารขึ้นมาช้าๆ จนค่อยๆ สูงทัดเทียมกับภูเขา จ้องนิ่งมาที่หลี่ไหว
เฒ่าตาบอดเดินเตร็ดเตร่มาที่หน้าผา เอามือคว้าแขนลูกศิษย์ที่ถือว่าไปแย่งชิงจากคนอื่นมากลางทาง วาดยันต์ผีลงไป พูดกับหลี่ไหวด้วยประโยคที่ทำให้เถาถิงตากระตุก ‘วันหน้าพวกมันก็ให้เจ้าดูแลแล้ว’
เถาถิงเหลือบมองสีหน้าของหลี่ไหวอย่างระแวดระวัง ถึงกับไม่มีความฮึกเหิมและความองอาจผึ่งผายเปี่ยมด้วยปณิธานแม้แต่น้อย ในสายตามีแต่ความหวาดกลัว
เฮ้อ
คุณชายบ้านตนไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด ก็แค่ไม่มีปณิธานเกินไป หากมีโอกาสตนจะต้องเสี่ยงตายลองพูดทัดทานดูสักครั้ง…
เอ๊ะ?
ที่แท้ก็ถูกเฒ่าตาบอดเหยียบกระดูกสันหลัง เสียงกร๊อบดังลั่น กระดูกสันหลังหักอีกแล้ว
สุดท้ายหลี่ไหวเอ่ยเพียงว่า ข้าขอฟังความคิดเห็นของเฉินผิงอันก่อนได้หรือไม่
เฒ่าตาบอดถึงกับพยักหน้าตอบตกลง แล้วยังช่วยลูกศิษย์จัดคอเสื้อ ขณะเดียวกันก็ใช้น้ำเสียงปลาบปลื้มเอ่ยชื่นชมหลี่ไหวบอกว่า ทำอะไรรอบคอบมั่นคงเหมือนอาจารย์
อาจารย์และศิษย์สองคนนี้คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ทำเอานักพรตเนิ่นที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นต่อกระดูกสันหลังให้ตัวเองเงียบๆ เกือบจะถลึงดวงตาสุนัขมองเข้าไปในกรอบตาลึกโบ๋ของเฒ่าตาบอด
ตรงหน้าประตูบ้านมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
มีแขกมาเยือน
เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัย หลี่ไหวจึงลุกขึ้นเตรียมบอกลา
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มพูดรั้งไว้ “ไม่ต้องไปหรอก คือผู้ตรวจการเจี่ยนของพวกเราเอง ใจเขาคิดแต่จะสร้างคุณความชอบ น่าเสียดายที่วิธีการไม่ถูกต้อง หลายปีมานี้จึงเจอกับอุปสรรค เจอกับความยากลำบากไปไม่น้อย”
ปีนั้นเจี่ยนเฟิงมารับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่ของหลงโจวแทนเฉาเกิงซิน ก่อนจะมารับตำแหน่งเขาเต็มไปด้วยความฮึกเหิม รู้สึกเพียงว่าผีขี้เหล้าที่ทำตัวเสเพลไม่เอาไหนอย่างเฉาเกิงซินยังเลื่อนขั้นได้ หากเขามารับตำแหน่งนี้ งานน้อยใหญ่ในที่ว่าการก็มีแต่จะจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
จวนผู้ตรวจการงานเตาเผาแห่งหนึ่ง ทั้งในทางลับและทางแจ้ง แท้จริงแล้วแขวนกรอบป้ายขุนนางไว้สองแผ่น เป็นเหตุให้ขุนนางหลักได้ครอบครองตำแหน่งขุนนางอีกสองอย่างในเวลาเดียวกัน จวนผู้ตรวจการ บวกกับสำนักทอผ้าหลายแห่งที่ต้าหลีสร้างขึ้นมาใหม่ และยังมีศูนย์ตัดไม้ที่สร้างขึ้นในจังหวัดหงโจว อันที่จริงล้วนเป็นหูเป็นตาของโอรสสวรรค์ การรายงานข่าวและฎีกาลับของขุนนางหลักแต่ละท่านสามารถส่งตรงไปที่ฮ่องเต้ได้เลย
ผลคือรอกระทั่งเจี่ยนเฟิงมาถึงอำเภอไหวหวง กลับต้องเจอกับอุปสรรคในทุกเรื่อง แซ่ใหญ่ทั้งหลายของเมืองเล็ก แต่ละฝ่ายมีความสัมพันธ์ซับซ้อน ประหนึ่งรากต้นไม้ที่ตัดสลับถักทอกัน อีกทั้งยังเกาะกลุ่มสามัคคีกันมาก หยางฮวาเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูระดับขั้นสูงมาก ที่พึ่งก็ใหญ่ ไม่ยอมอยู่ในการดูแล เทพวารีของแม่น้ำสามสายที่อยู่ใกล้เคียงเมืองหงจู๋อย่างซิ่วฮวา ชงตั้น อวี้เย่ก็ไม่สนใจเขาเหมือนกัน เทพภูเขาหลายองค์ซึ่งมีซ่งอวี้จางแห่งภูเขาฉีตุนเป็นหนึ่งในนั้น บวกกับท่านเทพอภิบาลเมืองของอำเภอและเขตที่ได้เลื่อนขั้น ศาลบุ๋นบู๊ที่อยู่ในอาณาเขตการปกครอง…สรุปก็คือไม่มีใครที่เห็นขุนนางผู้ตรวจการขั้นสี่อย่างเขาอยู่ในสายตา ตอนที่มารับตำแหน่งปณิธานเปี่ยมล้น รอคอยอย่างยากลำบากนานถึงครึ่งปี ถึงกับไม่มีใครที่เป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนจวนตรวจการตอนกลางคืน ดี พวกเจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปหาพวกเจ้าเอง ผลคือต้องกินน้ำแกงประตูปิดไปไม่น้อย ต่อให้ได้เข้าไปในบ้าน ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกัน
เจี่ยนเฟิงจึงได้แต่เขียนจดหมายไปขอความรู้จากสหายรักในอดีตที่เมืองหลวง หยวนเจิ้งติ้งอดีตเจ้าเมือง ซึ่งทุกวันนี้ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นผู้ว่าจังหวัดหงโจวแล้ว
ตอนเด็กอยู่ในตรอกอี้ฉือของเมืองหลวง เขาก็ชอบทำเหมือนกับหยวนเจิ้งติ้งที่แก่กว่าไม่ปี่กี ตั้งใจอ่านหนังสือ สองหูไม่รับฟังเรื่องภายนอก
หยวนเจิ้งติ้งเขียนจดหมายตอบกลับมาจริงๆ แต่กลับเป็นเพียงกระดาษจดหมายว่างเปล่า บนกระดาษไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว
แต่เจี่ยนเฟิงกลับพอจะคาดเดากลวิธีในวงการขุนนางบางอย่างออกมาได้ จึงเริ่มฝืนใจเอาอย่างผู้ตรวจการคนก่อน มองให้มากฟังให้มาก พูดให้น้อย ออกจากบ้านให้น้อย
โชคดีที่ตำแหน่งผู้ตรวจการไม่มีระยะเวลาเป็นตัวพันธนาการ
เพียงแต่ว่าหากจะให้เขาเอาแต่เบิกตากว้างมองดูอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นพอได้ยินว่าต่งครึ่งเมืองกลับมายังบ้านบรรพบุรุษ เจี่ยนเฟิงจึงรีบมาเยี่ยมเยือนทันที แน่นอนว่าเขาแต่งกายนอกเครื่องแบบ
เห็นคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อและผู้เฒ่าชุดเหลือง เจี่ยนเฟิงก็แค่เอ่ยทักทายไปตามมารยาท
เขารู้จักหลี่ไหว คือคนในท้องถิ่นของเมืองเล็ก ทุกวันนี้คือนักปราชญ์ของสำนักศึกษาซานหยา
ส่วนผู้เฒ่าที่มีสีหน้าเมตตาปราณีนั้น เป็นคนแปลกหน้า ทางจวนผู้ตรวจการไม่มีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเขา ก่อนที่เจี่ยนเฟิงจะมาที่นี่ได้ให้คนจดลงบันทึกไว้เรียบร้อย ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว ตรวจสอบบันทึกเอกสารผ่านด่านที่หลี่ไหวทิ้งไว้บนเรือข้ามฟากตามกฎ
ดูเหมือนต่งสุ่ยจิ่งจะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ในวงการขุนนางแม้แต่น้อย ไม่ได้บอกให้หลี่ไหวและผู้เฒ่าออกไปจากห้องที่ซอมซ่อแห่งนี้ ถึงขั้นที่ไม่มีท่าทีว่าจะให้คนทั้งสองขยับเปลี่ยนที่นั่งไปไหน
หากเป็นตอนที่เพิ่งมารับตำแหน่ง เจี่ยนเฟิงคงจะเกิดความไม่สบอารมณ์แน่แล้ว แต่เป็นเพราะเจอตะปูอ่อนและต้องกินน้ำแกงประตูปิดมามากเกินไป จึงได้ขัดเกลาความแหลมคมและนิสัยเจ้าอารมณ์ของเขาไปแล้ว
ต่งสุ่ยจิ่งเชื้อเชิญให้ผู้ตรวจการเจี่ยนนั่งลง จากนั้นยื่นบ๊ะจ่างชิ้นหนึ่งไปให้ เจี่ยนเฟิงเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ ปัดขี้เถ้าที่อยู่บนบ๊ะจ่างออกอย่างคุ้นเคย แหวกออกแล้วกัดกิน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าเจี่ยนเฟิงต้องแสร้งทำตัวติดดินอะไร แม้จะมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงของต้าหลี แต่ในอดีตเจี่ยนเฟิงเคยมาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยานานหลายปี ระหว่างนั้นได้ออกทัศนศึกษาอยู่หลายครั้ง ระหว่างทางหาเงินมาได้ไม่น้อย ดังนั้นหยวนเจิ้งติ้งจึงมักจะสัพยอกว่าเขาควรจะไปทำงานที่กรมคลัง
เพียงแต่เพราะว่าวันนี้มีคนนอกอยู่ด้วย เจี่ยนเฟิงจึงได้แต่เริ่มเปิดฉากสนทนาด้วยสำนวนทางการ พูดคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานเตาเผากับต่งสุ่ยจิ่งไปอย่างถูไถ เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เตาเผาหลายแห่งก็ไม่ใช่เตาทางการแล้ว และต่งครึ่งเมืองผู้นี้ก็หลบอยู่หลังม่าน แทบจะผูกขาดเส้นทางการเงินเกี่ยวกับการเอาเครื่องกระเบื้องไปขายภายนอกอย่างสิ้นเชิง เหมือนอย่างเตาเผาเป่าซีที่กลายเป็นเตาเผาของชาวบ้านไปแล้ว ทุกวันนี้ก็อยู่ในนามของพ่อค้าที่เป็นหุ่นเชิดบางคนที่ต่งสุ่ยจิ่งประคับประคองขึ้นมาเองกับมือ
ต่งสุ่ยจิ่งพูดคุยแย้มยิ้มกับอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง รัดกุมรอบคอบ โต้ตอบได้อย่างเหมาะสม
หลี่ไหวที่มองดูอยู่รู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่ง