กระบี่จงมา - ตอนที่ 902.3 ถามหมัดบนยอดเขา
สีหน้าของเฉิงเฉาลู่กับอวี๋เสียหุยยิ่งสดใสมีชีวิตชีวา ในที่สุดก็ถึงคราวที่ใต้เท้าอิ่นกวานต้องออกหมัดแล้ว!
เฉินผิงอันพลันหันไปมองหวงอีอวิ๋น ยิ้มถาม “เจ้าขุนเขาเย่ ถือสาหรือไม่หากข้าจะใช้อาวุธที่ถนัดมือสักชิ้น?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร”
ผู้ฝึกยุทธประลองฝีมือกัน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพิถีพิถันในเรื่องมือเปล่าเท้าเปล่า ก็เหมือนกับอริยะบู๊อู๋ซูที่เคยชินในการใช้กระบี่ประจำตัวกับหอกไม้ในการรับมือกับศัตรู หากไม่ใช้เลยสักชิ้นนั่นหมายความว่าเป็นการสอนหมัดที่ขอบเขตต่างกัน ถึงขั้นที่ว่าคู่ต่อสู้ไม่คู่ควรให้อู๋ซูกดขอบเขตด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันยิ้มพลางกวักมือไปทางเผยเฉียน “อาจารย์พ่อต้องขอยืมของชิ้นหนึ่งจากเจ้าหน่อย เป็นของเชลยศึกที่ได้มาจากสนามรบของเกราะทองทวีปที่ผู้อาวุโสฝูลู่อวี๋เสวียนมอบให้เจ้าน่ะ”
แม้ว่าเผยเฉียนจะประหลาดใจอย่างมาก แต่สีหน้าก็ยังเป็นปกติ เพราะนางไม่เคยเห็นอาจารย์พ่อแสดงฝีมือด้านวิชาหอกอะไรมาก่อน
เผยเฉียนหยิบหอกยาวที่ปลายแหลมทั้งสองด้านถูกนางหักทิ้งไปแล้วออกมาจาก ‘ถ้ำสวรรค์เล็ก’ ที่อาจารย์เสี่ยวโม่มอบให้
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ บางครั้งนางก็เอาหอกยาวเล่มนี้ออกมาใช้บ้าง แอบฝึกวิชาหอกที่มีต้นกำเนิดมาจากวิชากระบี่มารคลั่ง อันที่จริงก็แค่เล่นสนุกยามอยู่ว่างไม่มีอะไรทำเท่านั้น
เฉินผิงอันยื่นมือไปกุมตรงกลางของหอกยาว เดินช้าๆ ไปยังพื้นที่ใจกลางของหอซ่าวฮวา ระหว่างนั้นก็ลองชั่งน้ำหนักของหอกยาวเล็กน้อย บิดหมุนข้อมืออีกหลายครั้ง หมุนควงเป็นวงกลม
ต่อให้จะไม่ถนัดมือแค่ไหน
ก็กลายเป็นถนัดมือแล้ว
หอกยาวเล่มหนึ่งสามารถควบคุมได้ตามใจปรารถนา
เฉินผิงอันมองลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาแล้วกลั้นขำ เหมือนกำลังพูดว่าอีกเดี๋ยวคอยดูให้ดีล่ะ สามารถเรียนรู้แก่นของวิชาหอกได้กี่ส่วนก็เท่านั้นแล้ว
เนื่องจากมีโจวอันดับหนึ่ง อู๋ซูที่ได้รับฉายาว่า ‘อริยะบู๊’ จากใบถงทวีปจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน
นอกจากนี้วรยุทธในใต้หล้า ประหนึ่งแม่น้ำยิ่งใหญ่โอฬารที่แยกออกไปนับร้อยสาขา สืบสาวราวเรื่องกันแล้วล้วนรวมเป็นสายเดียวกันดุจแม่น้ำหมื่นสายไหลรวมสู่ต้นกำเนิด การฝึกหมัดก็คือการฝึกกระบี่ แล้ววิชาหมัดจะไม่ใช่วิชาหอกได้อย่างไร
เผยเฉียนฉลาดถึงเพียงนี้ นางจึงเข้าใจกระจ่างได้ทันที หันหน้ามาถลึงตาเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ห่านขาวใหญ่ เจ้าเป็นคนบอกอาจารย์พ่อใช่ไหมว่าข้าแอบฝึกวิชาหอก?!”
ชุยตงซานสีหน้าอึ้งค้าง อึ้งงันเป็นไก่ไม้ เรื่องแบบนี้ก็ถูกสงสัยได้ด้วยหรือ มิตรภาพของคนร่วมสำนักระหว่างพวกเราสองคนเพียงลมพัดมาก็ล้มครืนได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ชุยตงซานรีบชูสองนิ้ว พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ข้าสาบานได้เลยว่าไม่เคยมีเรื่องแบบนี้! ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านใส่ร้ายข้าแล้วจริงๆ ฟ้าดินเป็นพยาน ศิษย์พี่เล็กไม่ใช่คนที่ชอบนินทาคนอื่นลับหลังหรอกนะ”
เผยเฉียนเอนตัวพิงราวรั้ว คร้านจะพูดเรื่องไร้สาระกับห่านขาวใหญ่ เริ่มรวบรวมสมาธิ คิดว่าจะต้องตั้งใจชมการถามหมัดครั้งนี้ของอาจารย์พ่ออย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ภูเขาตะวันเที่ยง ประลองฝีมือกับวานรเฒ่าย้ายภูเขาตัวนั้น อันที่จริงอาจารย์พ่อไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่
คนผู้หนึ่งสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวยืนนิ่งอยู่กลางลาน
หอกยาวที่เดิมทีก็ไม่ได้สมกับชื่อตามความหมายที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีทั้งกระบังไม่มีทั้งพู่
เย่อวิ๋นอวิ๋นที่สวมชุดสีเหลืองเดินตามติดไปด้านหลัง ยืนคุมเชิงกับอีกฝ่าย
ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง อีกทั้งยังบังเอิญที่ต่างก็อยู่ในชั้นของปราณโชติช่วงพอดี
พวกเขาบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองตามหลักมารยาท
“เย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน!”
“เฉินผิงอันแห่งเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง
หวงอีอวิ๋นต้องเจอความลำบากแน่
หากตนจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่อาจารย์พ่อแนะนำตัวเองแล้วเพิ่มคำว่า ‘เรือนไม้ไผ่’ เข้าไปด้วย
คนนอกย่อมไม่มีทางรู้ถึงความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ของเรื่องนี้ มีเพียงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของภูเขาลั่วพั่วบ้านตนเท่านั้นจึงจะเข้าใจกระจ่างชัดถึงน้ำหนักที่ซ่อนอยู่ด้านใน
เพียงชั่วพริบตานั้น
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางทั้งสองคนที่ต่างก็ถือว่าอายุน้อยมากในทวีปของตัวเองก็ขยับร่างแทบจะเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันจับปลายด้านหนึ่งของหอก เสือกแทงออกไปเป็นแนวตรง พริบตานั้นประกายแสงพร่างพราวอัศจรรย์อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ก็กระจายออกมาตามปลายหอก
เรือนกายของหวงอีอวิ๋นคล้ายว่าจะเร็วกว่าเรือนกายของชุดเขียวที่พุ่งมาเป็นเส้นตรง สามารถหลบเลี่ยงประกายแสงคล้ายฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำของหอกที่ถูกสะบัดควงมาได้ คนชุดเขียวขยับเท้าไปด้านข้าง เงื้อหอกยาวขึ้นแล้วกระแทกลงไปเบื้องล่าง หอกยาวที่ถูกหลอมให้แข็งแกร่งทนทานอย่างถึงที่สุดยังคงเป็นเส้นตรง มีเพียงบริเวณใกล้เคียงช่วงปลายแหลมของหัวหอกเท่านั้นที่โค้งงอเล็กน้อย กระแทกชนเข้าที่ไหล่ของหวงอีอวิ๋นพอดี
หวงอีอวิ๋นค้อมเอวลง บิดเอวพลิกกาย ว่องไวปานสายฟ้าผ่า ฝ่ามือหนึ่งตบลงบนหอกยาว ขณะเดียวกันนางโน้มร่างไปข้างหน้าเล็กน้อยก็ขยับมาอยู่ตรงหน้าคนชุดเขียวแล้วตีเข่าออกไป
เฉินผิงอันเพียงแค่ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราหมัดเขย่าขุนเขามาเคลื่อนย้ายร่าง แค่เปลี่ยนเส้นทางไปเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันราวกับรู้ใจกันอย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันหมุนตัวเสือกหอกไปข้างหน้า ยังคงแทงเป็นเส้นตรง เย่อวิ๋นอวิ๋นถึงกับยืนอยู่บนปลายแหลม กระโดดเหมือนกบแตะผิวน้ำ เหยียบลงไปบนตัวหอก เหวี่ยงเท้าในแนวเฉียงเล็งเข้าที่ศีรษะของคนชุดเขียว
เฉินผิงอันผงะเอนไปด้านหลัง ใช้มือข้างเดียวลากหอกถอยออกไปหลายจั้ง ทันใดนั้นร่างก็พลันหมุนกลับ หอกเดินตามคน หอกยาวที่อยู่ในมือตวัดฟันผ่าเอวของหวงอีอวิ๋น
เรือนกายที่ลอยอยู่กลางอากาศของเย่อวิ๋นอวิ๋นหายวับไป พายุลมกรดหนาข้นจากการที่หอกตวัดลงบนความว่างเปล่าทะลุตัวหอกพุ่งกระแทกไปบนฟ้า ถึงกับผ่าให้ทะเลเมฆบนจุดสูงกระจายออกเป็นสองส่วน แล้วยังมีเสียงฟ้าร้องครืนครั่นน่าพรั่นผวาดังตามมา
หอกพุ่งลงมาแสกหน้า
เย่อวิ๋นอวิ๋นเบี่ยงตัวหันข้าง ตัวหอกแทบจะหล่นร่วงลงพื้นต่อหน้าต่อตานาง แต่ขณะที่ยังอยู่ห่างจากหอซ่าวฮวาอีกประมาณชุ่นกว่า ตัวหอกกลับพลันหยุดชะงักลอยค้างกลางอากาศ เพียงแต่ว่าพื้นดินกลับถูกพายุที่ซัดแรงลามไปโดนจึงถูกผ่าออกเป็นร่องลึกเส้นหนึ่ง
ความเร็วในการพุ่งทะยานของทั้งสองประหนึ่งสายฟ้าแลบ ไม่เพียงแต่สุยโย่วเปียนที่เพ่งมองอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังจับภาพใดๆ ไม่ได้ แม้แต่เซวียไหวก็ยังเห็นได้แค่ความหมายคร่าวๆ เท่านั้น
เซวียไหวยอมรับว่าไม่ว่าจะเจอกับหมัดใดของสองฝ่าย ครึ่งกระบวนท่าหนึ่งกระบวนท่าที่มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่แท้จริงแล้วการถามหมัดกลับยุติลงได้แล้ว เรือนกายของขอบเขตเดินทางไกลของเขา เมื่อเจอกับวิชาหอกหรือกระบวนท่าหมัดที่มีน้ำหนักเช่นนี้ ก็มิอาจต้านรับการโจมตีได้เลย
เรือนกายอรชรของเย่อวิ๋นอวิ๋นปล่อยหมัดใส่คนชุดเขียว เรียกได้ว่าลับๆ ล่อๆ คล้ายกับภาพยอดฝีมือเดินทาง หมัดพุ่งไปประหนึ่งมังกร มังกรเลื้อยลงน้ำ
ดูเหมือนนางจะเริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว
หมัดหนึ่งที่เดิมทีควรต่อยเข้าที่ปลายคางของอีกฝ่าย คนชุดเขียวแค่ขยับก้าวไปด้านข้าง หอกยาวคล้ายยกภูเขาอยู่บนหัวไหล่
ไหล่ของคนชุดเขียวเอนลงเล็กน้อย หมุนกลิ้งตัวหอกเล็กน้อย ร่างของเย่อวิ๋นอวิ๋นพลันถอยห่างออกไปหลายสิบจั้งในทันที หลบพ้นหมัดนั้นมาได้
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วเกือบจะใช้นิ้วดันที่หว่างคิ้วของเย่อวิ๋นอวิ๋นได้ เขาเปลี่ยนมาใช้สองมือถือหอกอีกครั้ง ควงหอกวาดเป็นเส้นโค้งครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายจงใจแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบได้ด้านระยะห่าง
ปลายแหลมของหอกลากดึงประกายแสงไหลรินอยู่บนหอซ่าวฮวา วงกลมกับวงกลมทับซ้อนกันหรือไม่ก็ตัดสลับกัน ส่องประกายแสงเจิดจ้าพร่างตา
เย่อวิ๋นอวิ๋นยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม ใช้ท่าเดินและกระบวนท่าหมัดหกสิบกว่ากระบวนท่าที่ได้มาจากการพัฒนา อนุมานจากภาพเซียนเหรินของผูซาน นางใช้อย่างชำนาญคล่องแคล่ว เมื่อเทียบกับลูกศิษย์อย่างเซวียไหวที่ออกแรงอย่างเต็มกำลังแล้ว อาจารย์และศิษย์สองฝ่ายก็มีความต่างกันราวฟ้ากับเหว
ส่วนคนชุดเขียวนั้นออกหมัดหลายครั้ง โจมตีสามป้องกันเจ็ด ทว่าทุกครั้งที่เจ้าขุนเขาเฉินโจมตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายครั้งที่ใช้กระบวนท่าสะบัดปลายหอกก็เกือบจะทำให้เซวียไหวเข้าใจผิดคิดว่าอู๋ซูมาร่ายกระบวนท่าอยู่ที่นี่
เนื่องจากกวอป๋ายลู่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของอู๋ซู ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่มีคุณสมบัติน่าตะลึงผู้นี้เคยมีการประลองหมัดกับเซวียไหวเป็นการส่วนตัวมาก่อน แม้ว่าเซวียไหวจะมีขอบเขตสูงกว่าอีกฝ่ายหนึ่งขั้น แต่ก็ได้แค่ถือว่าชนะมาได้อย่างเล็กน้อยเท่านั้น
อีกทั้งเซวียไหวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายเก็บออมฝีมือ ไม่ได้ร่ายท่าไม้ตายออกมาอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าเซวียไหวไม่ได้กดขอบเขต แต่ก็ไม่ได้ออกหมัดอย่างเต็มกำลังเหมือนกัน
อาศัยการประลองฝีมือกับกวอป๋ายลู่ครั้งนั้น เซวียไหวจึงพอจะมองออกคร่าวๆ ถึงเอกลักษณ์ในสายวิชาหอกส่วนหนึ่งของอู๋ซู
ตอนนี้พอมาดูวิชาหอกของเจ้าขุนเขาเฉินกลับรู้สึกว่ากระบวนท่าของเขากับอู๋ซูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับใกล้เคียงกันทางจิตวิญญาณ
ยุทธภพล่างภูเขามีคำกล่าวที่ว่าเดือนดาบปีกระบองฝึกหอกยาวนาน หากไม่พูดถึงข้อน่าสงสัยว่าจะเป็นการโอ้อวดฝีมือใช้วิชาหอกที่มีชื่อเสียง ก็ไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้อาจารย์เฉินที่คุยกับอาจารย์ถึงได้พูดคำว่า ‘ถนัดมือ’
หอกแทงพรวดเข้าตรงลำคอของหวงอีอวิ๋น
ปลายหอกทิ่มลงบนความว่างเปล่า
หลังจากนั้นปลายหอกก็แทงใส่ใบหน้าอีกหลายครั้ง แต่ก็ล้วนเจอกับความว่างเปล่าทุกครั้ง
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของหวงอีอวิ๋นเฉยชา ท่วงท่าผ่อนคลาย สุดท้ายถึงกับยื่นมือมากำปลายหอกแล้วกระชากเข้าหาตัวเอง ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเตะออกไป
แค่การกระชากการเตะที่ง่ายๆ ครั้งหนึ่ง แต่กลับใช้วิชาลับไม่แพร่งพรายสองชนิดที่สืบทอดกันมาปากต่อปากของเจ้าสำนักผูซานแต่ละรุ่น หนึ่งหมัดมีชื่อว่า ‘มรรคาจารย์เต๋าจูงวัว’ หนึ่งหมัดมีชื่อว่า ‘เทพวารีอิงภูเขา’
หนึ่งเท้าประหนึ่งตีระฆัง เตะจนร่างเฉินผิงอันปลิวกระเด็นออกไป แต่ปลายหอกก็กรีดเอารอยเลือดที่ลึกเห็นกระดูกบนฝ่ามือของหวงอีอวิ๋นเช่นกัน
ร่างตามติดมาเหมือนเงา หวงอีอวิ๋นเหวี่ยงขาเตะไปในแนวขวาง เตะเข้าที่จุดไท่หยางข้างหนึ่งของเฉินผิงอัน
ด้วยความฉุกละหุกเฉินผิงอันก็คล้ายว่าทำได้แค่ยกมือข้างหนึ่งมาป้องข้างใบหู จากนั้นเสียงปังดังหนึ่งครั้ง เรือนกายชุดเขียวลอยกระเด็นไปในแนวขวางหลายสิบจั้ง เฉินผิงอันใช้ปลายหอกค้ำยันราวรั้วของหอซ่าวฮวาอยู่ไกลๆ กระทืบเท้าหนึ่งทีจึงจะหยุดร่างไว้ได้อย่างเฉียดฉิว
เย่อวิ๋นอวิ๋นเปลี่ยนลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธอย่างว่องไว จิตวิญญาณของนางเต็มเปี่ยมในเสี้ยววินาที ปณิธานหมัดเปี่ยมล้นทั่วร่าง ถึงขั้นที่ว่ายังมีภาพบรรยากาศคล้ายได้พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
ประหนึ่งผีขี้เหล้าได้ดื่มเหล้าหมักกาหนึ่งจนเปรมปรีดิ์ แต่กระนั้นก็ยังดื่มได้ไม่เต็มคราบมากพอ
เซวียไหวที่ชมศึกอยู่ด้านข้างมองเจ้าขุนเขาเฉินที่ถูกเตะไปสองทีก็ยังไม่ล้มลง
อาจารย์ผู้เฒ่าพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ขโมยเรียนหมัด?
เป็นกระบวนท่าหมัดของผูซานเหมือนกัน ถึงขั้นที่ว่ามีสัจธรรมหมัดเดียวกัน ตัวเซวียไหวปล่อยหมัดออกไปกลับมีความต่างจากหมัดของหวงอีอวิ๋นผู้เป็นอาจารย์อย่างมาก
อาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงภาพบรรยากาศอันลี้ลับมหัศจรรย์ของชั้นปราณโชติช่วงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ และไม่ว่าปรมาจารย์บนยอดเขาคนใดก็ตามที่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางก็ดูเหมือนว่า ‘มองหมัด’ ก็จะสามารถ ‘เรียนหมัด’ ได้แล้ว
เพียงแต่เซวียไหวคิดอีกทีก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ต้องเป็นตนที่คิดมากไปเองเป็นแน่
เจ้าขุนเขาเฉินท่านนี้คือวิญญูชนผู้เที่ยงตรง
แม้จะบอกว่าคบค้าสมาคมกับอิ่นกวานหนุ่มไม่มากนัก เพียงแต่แววตาและการมองคนอย่างเฉียบขาด เซวียไหวคิดว่าตัวเองยังพอจะมีอยู่บ้าง
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางสอนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ ‘วิชาหมัดเปิดเผยตรงไปตรงมา ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาทรอบคอบ’ อย่างเผยเฉียนออกมาได้
อีกอย่างวิชาหมัดในใต้หล้านี้ หากขอบเขตสูงขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาใช้ได้ตามใจชอบ
สัจธรรมหมัดขัดกัน วิชาหมัดสุ่มเสี่ยง ล้วนเป็นข้อห้ามใหญ่ของการเรียนวรยุทธ
กระบวนท่าหมัดอัศจรรย์ที่มาจากตระกูลอื่นบนโลกนี้ไม่ใช่เงินทองที่พอเข้ากระเป๋าตัวเองแล้ว แค่เปลี่ยนมือก็เอาไปใช้จ่ายได้ทันทีเลยเสียหน่อย
กระบวนท่าหมัดบางอย่างมองดูเหมือนกองทัพม้าเหล็กบุกเข่นฆ่า แต่กลับเป็นพลทหารเดินเท้าที่สร้างขบวนรบ นอกจากนี้วิชาหมัดที่แข็งแกร่งอ่อนนุ่ม ช้าเร็ว หนักเบา สัจธรรมหมัดดุดันเผด็จการ เรียบง่ายสงบนิ่ง ฯลฯ ล้วนทำให้ปรมาจารย์ด้านวิถีวรยุทธคนหนึ่งนำมาปรับใช้ได้ยากยิ่ง ไม่เพียงแต่โลภมากจึงเคี้ยวไม่ละเอียด ถึงขั้นที่ว่าจะส่งผลกระทบต่อความเร็วในการไหลรินของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ด้วย
ก็เหมือนอย่างอริยะบู๊อู๋ซูแห่งใบถงทวีปบ้านตนที่บอกว่ารวบรวมข้อดีของร้อยสำนัก สามารถเอาวิชาหอกของใต้หล้ามาหลอมรวมในเตาเดียวกันได้สำเร็จ แต่จะเป็นเหมือนที่เล่าลือกันว่า ‘ใต้หล้ามีเพียงบ้านข้า โลกมนุษย์ไม่มีวิชาหอกอีก’ จริงๆ ได้อย่างไร?
ไม่มีอาจารย์อยู่ข้างกาย ชุยตงซานก็ไม่สนใจมาดของเจ้าสำนักเบื้องล่างอะไรอีกแล้ว นั่งแปะลงไปบนรั้ว เอนตัวไปด้านหลังนานแล้ว แอบเหลือบมองเซวียไหวที่ชมศึกอย่างมีสมาธิตาไม่กะพริบแล้วแอบฟ้องว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ หากข้าเป็นอาจารย์เซวีย เวลานี้จะต้องสงสัยเป็นแน่ว่าอาจารย์ของพวกเราแอบขโมยเรียนวิชาหมัดของผูซานหรือไม่”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เดิมทีก็เป็นความรู้สึกของคนปกติอยู่แล้ว เจ้าอย่ามายุแยงข้าให้ยากเลย”
ห่านขาวใหญ่ยกฝ่ามือตบลงบนราวรั้วหนักๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ฝึกฝนจิตใจประสบความสำเร็จ ใจกว้างเหมือนมหาสมุทรเหมือนภูผา ทำให้ศิษย์พี่เล็กรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ยิ่งนัก!”