กระบี่จงมา - ตอนที่ 894.1 เล่นหมากล้อม
เมืองหลวงแคว้นเหลียง ดวงอาทิตย์ฤดูหนาวลอยสูงส่องแสงเจิดจ้า อารามเต๋าใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นตามพระราชโองการจากจักรพรรดิ หากมีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาในนี้จะต้องเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอารามเต๋าพันปีแห่งหนึ่งแน่นอน นี่คืออารามใหม่ที่ท้องพระคลังของแคว้นใช้เงินทองของจริงเกือบสองล้านตำลึงสร้างขึ้นมาให้มีรูปแบบเหมือนของเก่า
แสงอาทิตย์สาดลงบนกระเบื้องแก้วสีเขียวมรกตบนหลังคาตำหนักแห่งหนึ่ง บนสันหลังคามีรูปสัตว์ลักษณะมีชีวิตชีวาเสมือนจริงปั้นเรียงยาวเป็นแถว หนึ่งในนั้นคือรูปปั้นของซวนหนีที่รูปร่างคล้ายสิงโต มันเหมือนกำลังส่ายสะบัดศีรษะ
ทิวาราตรีมีความต่างห่างเพียงเสี้ยว
บนหลังคาก็คือทิวาเจิดจ้า ทว่าใต้ชายคากลับเป็นม่านราตรีหนาหนัก ท่ามกลางความมืดสลัวมีสตรีถือโคมวังหลวงอยู่ในมือ เดินอยู่ในระเบียงอย่างเนิบช้า มือเรียวยาวดุจหยกขาวนวลดั่งแสงจันทร์
นางเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในระเบียงแห่งนั้น ทุกครั้งจะต้องเดินผ่านประตูใหญ่สีชาดสองบาน เพียงหนึ่งประตูกั้นขวางกลับมีฟ้าดินที่แตกต่างกัน
ในห้อง เด็กหนุ่มชุดขาวที่บนหน้าผากมีไฝแดงลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง มองไกลๆ มายังนักพรตเฒ่าคนหนึ่ง ก็คือเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์คนปัจจุบัน เหลียงส่วง
และเวลานี้ ตรงหน้าประตูศาลเทพภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนของแคว้นเหลียง เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น อันที่จริงยังคงกอดคอพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างสนุกสนาน ด้านข้างของบันไดก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่นั่นมีเสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวเพิ่มมาคนหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้ว เจินเหรินผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าต่างหากถึงจะเป็นร่างจริงของเหลียงส่วงเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์
ชุยตงซานถอนหายใจ สงครามครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่านอกจากเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวแล้ว ไม่ว่าใครก็คล้ายจะไม่สุขสบายทั้งนั้น
ยกตัวอย่างเช่นเจินเหรินผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เรือนกายและจิตวิญญาณของเขาเริ่มแห้งเหี่ยวถึงขั้นที่ตาเนื้อของคนธรรมดาก็ยังเห็นได้ชัดเจน เส้นผมบางเบาหร็อมแหร็ม พอจะฝืนรวบทำเป็นมวยสวมกวานทองได้อย่างถูไถ ร่างของผู้เฒ่าผอมแห้งเหมือนท่อนฟืน เป็นเหตุให้ชุดคลุมเต๋าสีม่วงที่เดิมทีกว้างใหญ่บนร่างยิ่งดูหลวมโพรกอย่างเห็นได้ชัด
เหลียงส่วงวางสองมือทับซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง นิ้วโป้งสองข้างดันกัน กำลังเข้าฌานทำสมาธิ เพื่อทำให้จิตวิญญาณมั่นคงและบำรุงเรือนกายที่มีเลือดเนื้อซึ่งกำลังซูบโทรม
ด้านหลังผู้เฒ่ายังมีกายธรรมร่างทองที่ล่องลอยเป็นภาพมายา แต่กลับคล้ายภาพแขวนภาพหนึ่งที่ล่องลอยไปตามสายลม
เรือนกายทั้งสามมีขนาดใหญ่เล็กต่างกัน ร่างของชุยตงซานเล็กเท่าเมล็ดงา เจินเหรินใหญ่เหมือนขุนเขา กายธรรมใหญ่โตโอฬารเหมือนดวงดาวดวงหนึ่ง
อันที่จริงชุยตงซานก็เพิ่งจะเคยเจอเจินเหรินผู้เฒ่าเป็นครั้งแรก
แม้ว่ามองดูเหมือนเจินเหรินผู้เฒ่าจะนอนหลับ แต่ทุกครั้งที่หายใจ เจ็ดทวารบนใบหน้ากลับมีลมปราณที่แท้จริงเหมือนน้ำตกไหล เหมือนมีงูขาวหลายตัวลอยห้อยอยู่บนผนัง บางครั้งปราณแห่งมรรคาที่ไหลกระจายหายไปก็จะกลายร่างเป็นตัวอักษรสีม่วงตัวหนึ่ง ราวกับว่ากำลังคัดคัมภีร์หนึ่งเล่ม ทุกครั้งที่เชื่อมโยงต่อกันกลายเป็นประโยคก็จะกลับเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด ประหนึ่งแม่น้ำลำคลองแต่ละสายที่พากันไหลกรูเข้าหามหาสมุทร ถูกเซียนเหรินชักนำให้ไหลย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง ตัวอักษรสีม่วงร้อยเรียงกันประโยคแล้วประโยคเล่าที่แม้จะกลายเป็นประโยคแล้วก็พลันถอยกลับ แต่กระนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยของยันต์วิเศษที่มิอาจลบเลือนไว้ท่ามกลางความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเจินเหรินผู้เฒ่า ประกายแสงหม่นมัว ลายอักษรสลัวราง ชุยตงซานที่มองมาไกลๆ จึงเหมือนคนอ่านหนังสือใต้แสงจันทร์
เซียนสวรรค์นั่งนิ่งก่อกำเนิดปราณแห่งมรรคา จรดพู่กันลงบนห้องที่ว่างเปล่ากลายเป็นลมวสันต์
หากไม่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ผู้นี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดด่าน วาดพื้นที่เป็นกรงขังอยู่ที่นี่ เวลาปกติได้แค่ปล่อยให้จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลเท่านั้น
ชุยตงซานที่เป็นคนใจจืดใจดำมองเห็นภาพนี้กับตาตัวเองก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
เจินเหรินเหลียงส่วงมีฉายาว่าไท่อี๋
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เขามีมาดองอาจสง่างาม บุคลิกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
อยู่บนภูเขาก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นชายงามคนหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเหลียงส่วงที่มารับหน้าที่เป็นเทียนซือแทนฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ผู้นี้ก็เหมือนกับผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์คนนั้น ชอบปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษบนภูเขา อีกทั้งหากจะนับกันตามลำดับอาวุโส นับกันตามอายุขัยที่ยาวนาน เหลียงส่วนก็มีลำดับอาวุโสสูงกว่าและอายุมากกว่า
ลำพังเพียงแค่หลังจากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ช่วงเวลาที่เจินเหรินผู้เฒ่าปิดด่านไม่ต้อนรับแขกก็ยาวนานหลายพันปี บวกกับบนเส้นทางการฝึกตนของเหลียงส่วง จำนวนครั้งที่เขาลงมือมีน้อยมาก เป็นเหตุให้นานวันเข้า ใต้หล้าไพศาลจึงไม่เคยรับรู้ว่ามีบุคคลบนยอดเขาที่เป็นเช่นนี้อยู่
ในช่วงเวลาที่ชุยฉานเป็นหนุ่ม ได้ติดตามซิ่วไฉเฒ่าออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้านนอก ก็เคยไปเยี่ยมเยือนเหลียงส่วง ผลคือต้องกินน้ำแกงประตูปิดที่ไม่ไว้ไมตรีกันแม้แต่น้อย ทำให้จนถึงทุกวันนี้ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังจดจำได้ไม่ลืม ไม่ได้เจอตัวคนก็ช่างเถิด แต่ขนาดเหล้าก็ยังไม่ได้ดื่ม มีอย่างที่ไหนกัน ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เจินเหรินผู้เฒ่ายังคงหลับตาทำสมาธิ แต่กลับสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจที่แปรปรวนของชุยตงซานได้ จึงเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ทุกคนต่างมีชะตาเป็นของตัวเอง ชีวิตคนเกิดมามีทั้งราบรื่นและทั้งเจออุปสรรค ไยต้องเสียใจ”
จากนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าก็หัวเราะ “ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ตอนนี้มามองดูแล้ว ไม่ใช่ซิ่วหู่ฉุยชานในอดีตอีกแล้วจริงๆ”
ชุยตงซานที่อยู่ในโลกธาตุขนาดเล็กของสภาพจิตใจเจินเหรินผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิ เอ่ยถามว่า “มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่ผู้เยาว์พอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่?”
ส่วนเรื่องที่เหลียงส่วงซ่อมแซมมหามรรคาในตอนนี้ก็ช่างเถิด ชุยตงซานรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่ค้ำฟ้าเช่นนั้น
ดูเหมือนเจินเหรินผู้เฒ่าจะ ‘คัดลอก’ คัมภีร์เล่มหนึ่งเสร็จแล้ว จิตแห่งมรรคาจึงยิ่งเหมือนบ่อโบราณไร้คลื่นมากยิ่งขึ้น เขาลืมตาเอ่ยว่า “ไม่มี”
ฝั่งนี้สองฝ่ายมีการพูดคุยกัน ที่หน้าประตูศาลเทพภูเขาก็มีการพูดคุยเหมือนกัน นักพรตชุดม่วงเล่าถึงการลอบฆ่าในปีนั้นให้เฉินผิงอันฟัง ไม่มีความห้าวเหิมแม้แต่น้อย กลับกันยังมองเป็นความอัปยศด้วย
เมื่อเทียบกับร่างจริงที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เหลียงส่วงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นที่อยู่ที่ศาลคล้ายจะรวบรวมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาและความสุขทุกข์ความเศร้าความดีใจทั้งหมดของร่างจริงเอาไว้ เป็นเหตุให้หากยินดีก็ปิติยินดีอย่างล้นเหลือ หากเศร้าโศกก็เศร้าอาลัย หากเดือดดาลก็โกรธเกรี้ยวรุนแรง
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่อย่างมากที่สุดก็ถือได้ก้าวเข้าสู่ฟ้าดินใหญ่ของขอบเขตสิบสี่เพียงครึ่งก้าว ไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่บนยอดเขาคนหนึ่งที่มีถิ่นฐานอยู่ในใบถงทวีปให้บาดเจ็บได้ ยังสามารถหนีรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้ หากนี่ยังไม่ใช่วีรกรรมยิ่งใหญ่ แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นผู้เยาว์จึงสงสัยใคร่รู้อย่างมากว่าสรุปแล้วผู้อาวุโสทำได้อย่างไรกันแน่?”
เหลียงส่วงเอ่ยอย่างเฉยชา “เรื่องราวและผู้คนล้วนเป็นไปตามลิขิตฟ้า เพียงแค่นี้เท่านั้น”
ก่อนที่จะเดินขึ้นสวรรค์ โจวมี่มหาสมุทรความรู้ก็ได้กลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งเว้นจากบรรพจารย์สามลัทธิอย่างสมชื่อแล้ว
มหาสมุทรความรู้แห่งเปลี่ยวร้างที่ถูกเรียกขานว่าจิ้งจอกเฒ่าเหนือเมฆผู้นี้ ตอนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ยังมีคุณความชอบด้านการสร้างตัวอักษรที่มิอาจดูแคลนได้
ก็เหมือนที่หลีเจินเคยถามโจวมี่ต่อหน้าว่า หลายพันปีที่ผ่านมา สรุปแล้วเขา ‘ผสานมรรคา’ กับปีศาจใหญ่ไปกี่มากน้อยกันแน่
ดูเหมือนว่าวิธีผสานมรรคาของโจวมี่ก็คือกิน กินอยู่ตลอด อีกทั้งต่อให้กินแค่ไหนก็ไม่เคยอิ่ม ลำพังเพียงปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ราชาเก่าสิบสี่ท่านของเปลี่ยวร้างก็มีเจ้าอารามดอกบัวที่ถูกต่งซานเกิงสังหารตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หวงหลวนที่ถูกอาเหลียงร่วมมือกับเหยาชงเต้าโจมตีจนขอบเขตถดถอยกลายเป็นก่อกำเนิด เหย้าเจี่ยที่ตอนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับซากปรักภูเขาห้อยหัวได้ถูกป๋ายเหย่สังหาร เชี่ยอวิ๋นที่อยู่ในใบถงทวีป...นอกจากนี้โจวมี่ยังดึงเอาจิตหยางกายนอกกายออกมาไว้นานแล้ว เดินทีละก้าวจนลุกผงาดกลายเป็นป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกผู้นั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้โจวมี่ได้ใช้วิธีการบนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาสังหารแล้วค่อยกลืนกินลู่ฝ่าเหยียนที่เป็นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน หรือก็คืออาจารย์ของเชี่ยอวิ้นและเฝ่ยหราน สุดท้ายผสานรวมจิตหยินเข้าด้วยกัน ส่วนหวานเหยียนเหล่าจิ่งผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ทรยศเกราะทองทวีปผู้นั้น น่าจะถือว่าเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กเท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าโจวมี่ ‘ผสานมรรคา’ ไปกับปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่ไม่ใช่บัลลังก์ราชาเก่าไปกี่มากน้อย?
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วส่ายเบาๆ จำแลงตราประทับชิ้นหนึ่งออกมา
เหลียงส่วงหันมามองแวบหนึ่ง “‘หนอนหนังสือเฒ่าที่กินไม่เคยอิ่ม’ ช่างกล่าวได้ดีนัก”
ในมือสะสมตำราไว้สามล้านเล่ม ฟ้าดินหนาวเหน็บเยียบเย็นแต่ข้ากลับมีความสุข กินอักษรเทพเซียนจนเต็มอิ่ม ไม่เสียแรงที่ชาตินี้เกิดมาเป็นหนอนหนังสือ
นั่นคือตราประทับส่วนตัวที่ทำมาจากวัสดุธรรมดาชิ้นหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นหินหยกบนภูเขาที่เจี่ยเซิงแห่งไพศาลเก็บมาจากข้างทางในใต้หล้าบ้านเกิดระหว่างที่ออกเดินทางไกลไปยังภูเขาห้อยหัว เอามาแกะสลักเป็นตราประทับส่วนตัวแล้วพกติดตัวมานานหลายปี
เหลียงส่วงทอดถอนใจ “โลกธาตุขนาดใหญ่ ภาพบรรยากาศหลากหลายนับหมื่น ครอบคลุมแม่น้ำลำคลองนับหมื่น รวมกันเป็นมหาสมุทรใหญ่”
โจวมี่แข็งแกร่งเพียงใด หากไม่ต่อสู้กับเขาด้วยตัวเองมาก่อน คนนอกก็ยากจะจินตนาการได้ถึงหนึ่งในหมื่นที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าลืมเรื่องหนึ่ง ตอนที่มหาสมุทรความรู้โจวมี่ยังเป็นเจี่ยเซิงแห่งไพศาล เคยเดินก้าวหนึ่งขึ้นสวรรค์ กระโดดเลื่อนจากขอบเขตเส้นเอ็นหลิวเป็นขอบเขตหยกดิบมาแล้ว
และเหตุผลที่บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้เลือกที่จะฝึกตนในอดีตก็เพียงแค่เพื่อให้ ‘ชีวิตนี้’ ตัวเองได้อ่านหนังสือมากอีกหน่อย ถึงจะสามารถแสดงความทะเยอทะยานได้เท่านั้น
ลูกศิษย์ปิดสำนักที่ทุกวันนี้โจวมี่ทิ้งไว้ในโลกมนุษย์อย่างมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซิน หรือที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นโจวชิงเกาใก็เดินบนทางลัดเช่นเดียวกับเขา
อันที่จริงเหลียงส่วงก็สงสัยใคร่รู้ในเรื่องหนึ่ง “ปีนั้นตอนที่ข้ายังไม่ลงจากเขา เคยได้ยินเรื่องบางอย่างของเจ้าจากเทียนไล่ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องหนึ่งในนั้นบอกว่า ชุยฉานที่เป็นราชครูของแคว้นต้าหลี เนื่องจากใช้สถานะของลูกศิษย์คนแรกทรยศออกจากสายบุ๋น ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางสั่งห้ามความรู้ของเหวินเซิ่ง เจ้าจึงถูกทำให้เดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นพวกเจ้าจึงขอบเขตถดถอยจากเซียนเหรินอย่าง ‘สมเหตุสมผล’ เรื่องของขอบเขตที่ถดถอยใช่เวทอำพรางตาหรือไม่?”
ลำดับอาวุโสสูงหรือไม่ อายุมากหรือไม่ แค่ดูจากที่เหลียงส่วงเรียกเทียนซือใหญ่คนปัจจุบันของภูเขามังกรพยัคฆ์ว่า ‘เทียนไล่’ ก็รู้ได้แล้ว
ความสมเหตุสมผลในสายตาคนทั่วไป กลับเป็นความประหลาดในสายตาของเจินเหรินผู้เฒ่าและจ้าวเทียนไล่
เหตุผลก็เรียบง่ายยิ่ง ยอดเขาของไพศาล มองจากมุมสูงไปยังทิศไกล กลับกลายเป็นว่าไม่กล้าประเมินสติปัญญาของซิ่วหู่ไว้ต่ำ
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งที่ขอแค่ตัวเองยินดีก็สามารถเอาตำแหน่งรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นมาเป็นของในกระเป๋าของตัวเองได้
ผลคือไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า บัณฑิตคนหนึ่งที่เดิมทีสามารถทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ได้จะกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน เป็นหนูที่ได้แต่วิ่งหนีไปบนถนน
อย่างแรกนั้นพูดถึงการสูญเสียสถานะระบบสืบทอดของศาลบุ๋น ส่วนอย่างหลังพูดถึงสภาพการณ์ของซิ่วหู่ในปีนั้น หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ขบถทรยศออกนอกรีต ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่ว่าใครก็สามารถเหยียบย่ำเขาได้ สหายมีน้อยนิด ดูเหมือนว่ามีเพียงหลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีป อวี้พ่านสุ่ยแห่งราชวงศ์เสวียนมี่ และยังมีสำนักซานไห่เท่านั้นที่ยังพอเห็นใจซิ่วหู่อยู่บ้าง
“ใช่แล้วก็ไม่ใช่”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ขอบเขตถดถอยเป็นเรื่องจริง แต่ความต้องการที่มากกว่านั้นกลับเป็นการหลอกตัวเองแล้วยังหลอกคนอื่น ปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทร ข้าเองก็เป็นตอนหลังๆ แล้วที่ถึงเพิ่งจะค่อยๆ คิดเรื่องนี้จนกระจ่าง ถูกชุยฉานปิดหูปิดตามานานหลายปี เพราะเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นี้ เพื่อหลอกลวงทุกคน คนแรกที่เขาหลอกก็คือตัวเองอีกคนหนึ่ง คือข้าชุยตงซาน”
พูดมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็เริ่มสบถด่า นึกถึงในอดีตที่ตนไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วต้องประลองปัญญางัดข้อกับฉีจิ้งชุน ทำให้ชุยตงซานในทุกวันนี้นึกอยากจะขุดดินหนีลงไป ฉีจิ้งชุนในเวลานั้นจะเห็นตนที่หลงลำพองตน คิดว่ากุมชัยชนะอยู่ในมือเป็นตัวตลกหรือไม่? มารดามันเถอะ ปีนั้นคงกลั้นขำอย่างยากลำบากมากเลยกระมัง?
เหลียงส่วงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทำอนุมานอยู่ในใจ พร้อมด้วยใช้นิ้วทำมุทราประกอบ สุดท้ายถอนหายใจ “ซิ่วหู่ช่างอำมหิตจริงๆ”
ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือกับศิษย์น้องเล็กในภายหลัง ชุยฉานก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ปกป้องมรรคาให้ผู้อื่นเช่นนี้ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
ชุยฉานเหมือนกับว่า…ขอแค่เฉินผิงอันหล่นมาอยู่ในเงื้อมมือของศิษย์พี่ใหญ่เช่นข้าแล้วยังสามารถประคับประคองจิตแห่งมรรคาไว้ได้อย่างยากลำบาก จิตแห่งมรรคาไม่ถึงขั้นต้องแหลกสลายอย่างสิ้นเชิง ไม่เสียสติจนกลายเป็นบ้า ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้ก็ไม่มีคนนอกคนใดที่สามารถวางแผนเล่นงานจิตแห่งมรรคาของเฉินผิงอันได้แล้ว
ปีนั้นชุยฉานขอบเขตถดถอยเป็นเรื่องจริง แต่กลับเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจ เวทอำพรางตาที่เหนือชั้นที่สุดของบนยอดเขาก็คือใช้ความจริงกลบทับความจริง มิใช่แค่บดบัง
ในฐานะคัมภีร์เต๋าฉบับแรกของโลกมนุษย์ ถูกคนรุ่นหลังขนานนามให้เป็นผู้นำแห่งกลุ่มคัมภีร์ ตำราเล่มนี้ได้เผยความลับสวรรค์ไว้นานแล้ว มหามรรคาห้าสิบ วิวัฒนาการแห่งสวรรค์สี่เก้า เรื่องราวในโลกมนุษย์คือหนึ่งในนั้น
ซิ่วหู่ชุยฉานดึงจิตวิญญาณออกมา แบ่งหนึ่งออกเป็นสอง เป็นเหตุให้บนโลกมนุษย์มีชุยตงซานเพิ่มมาอีกคน หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ‘ชุยฉานตอนเป็นเด็กหนุ่ม’ อย่างสมชื่อแท้จริง
ประเด็นสำคัญคือซิ่วหู่ผู้นั้นไม่ได้สำแดงความรู้ด้านทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศของตัวเองออกมาถึงขีดสุด อีกทั้งไม่ได้แสวงหาผลลัพธ์ที่ ‘สองชุยฉานบินทะยาน’ กลับกลายเป็นว่าจงใจสร้างขีดจำกัดให้กับ ‘ฝีมือการเล่นหมากล้อม’ ของชุยตงซานคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา เป็นเหตุให้ฝ่ายหลังนอกจากจะความทรงจำไม่ครบถ้วนแล้ว อันที่จริงไม่ว่าจะนิสัยใจคอหรือสติปัญญาก็ล้วนเทียบกับตัวชุยฉานเองไม่ได้ เหมือนมีการแบ่งขอบเขตหลักรองอย่างชัดเจน