กระบี่จงมา - ตอนที่ 863.1 ทางหนีทีไล่
บนภูเขาทัวเยว่ นอกจากผู้ฝึกตนและภูตแห่งป่าเขาที่เป็นเผ่าพันธุ์พิทักษ์ภูเขาทั้งหลายแล้ว สิ่งไร้ชีวิตทุกอย่างได้ถูกหยวนซงปีศาจใหญ่หลอมรวมเป็นร่างเดียวนานแล้ว ดังนั้นทุกครั้งที่ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาถูกทำลายหรือถูกเปิดใหม่อีกครั้งก็คือการไหลทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาที่มองไม่เห็นเป็นเวลาหนึ่งปี นี่เป็นเหตุให้คาถาอำพรางกายและวิชาหลบหนีทุกอย่างของพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่ในภูเขาต่างก็ไร้ความหมายอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผลัดกันถามกระบี่ไปคนละหนึ่งรอบ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจทั้งหมดนอกเหนือจากปีศาจใหญ่หยวนซงจะปรากฏตัวอยู่ที่เดิม ทว่าปราณวิญญาณในช่องโพรงและสมบัติติดกายกลับไม่ได้ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมตามรอยเท้าของพวกเขาไปด้วย
ก็เหมือนคนเร่งเดินทางที่น่าสงสารกลุ่มหนึ่งที่เดินอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำแห่งกาลเวลาซึ่งต้องเจอทั้งลมและฝนในเวลาเดียวกัน ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเร่งรีบเดินทาง คอยผลัดเปลี่ยนท่าเรือแห่งกาลเวลาอย่างต่อเนื่อง กำลังเท้าจึงได้รับความเสียหายทีละเล็กทีละน้อย แต่แล้วอยู่ดีๆ ดันถอยกลับมายังจุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า จำต้องเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังที่มากยิ่งกว่าเดิม สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือแสงกระบี่ที่บดบังฟ้าดินพวกนั้น
ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ร่วมมือกันถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นอิ่นกวานที่รับผิดชอบใช้กระบี่เปิดภูเขา นำกลุ่มคนฟันผ่าค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ส่วนผู้ฝึกกระบี่อีกสี่คนที่เหลือรับผิดชอบในการสังหารปีศาจ ขณะเดียวกันต่างคนต่างก็ใช้ปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นและปณิธานกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลมาลดทอนปราณวิญญาณและโชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่ภูเขาทัวเยว่สะสมมาหมื่นปี สุดท้ายเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าและลักษณะชัยภูมิ
ลำพังเพียงแค่เฉินผิงอันคนเดียวก็ปล่อยกระบี่ไปมากถึงสามพันครั้งแล้ว
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้าง ปีศาจใหญ่หยวนซงจะต้องโดนแสงกระบี่เส้นหนึ่งกรีดผ่าลากลงมาตั้งแต่หว่างคิ้ว ร่างถูกผ่าออกเป็นสองท่อน
เพราะการปล่อยกระบี่ของเฉินผิงอันเร็วเกินไป ทุกครั้งล้วนฟันไปยังหยวนซงชุดเหลืองที่ยืนอยู่บนยอดเขา ส่วนปีศาจใหญ่ตนนี้ก็เย่อหยิ่งอย่างถึงที่สุด ถึงกับยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้แสงกระบี่ฟันผ่ามาตั้งแต่ศีรษะ
พอถูกผ่าออกเป็นสองซีก ตรงกลางก็มีแสงสีทองเส้นหนึ่งที่รวมตัวกันไม่แยกสลาย ซีกร่างสองท่อนประหนึ่งยอดเขาสองยอดที่คุมเชิงกันโดยมีแม่น้ำยาวสีทองเส้นหนึ่งกั้นกลาง
สภาพการณ์ของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดในเวลานี้จึงคล้ายกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ถูกแยกออกเป็นสองส่วน
นี่ก็คงเป็นการมอบของขวัญกลับคืนอีกอย่างหนึ่งที่อิ่นกวานคนสุดท้ายจงใจทำกระมัง
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบที่อยู่ในภูเขาตายสิ้นซากไปนานแล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนเซียนดินที่ติดตามพวกมันขึ้นเขามาเป็นแขกบนภูเขาทัวเยว่เลย
ตอนนี้เหลือปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินแค่สามตนเท่านั้น บ้างก็อาศัยเวทคาถาแห่งชะตาชีวิตที่เกี่ยวพันกับกาลเวลา บ้างก็พยายามอาศัยการที่สมบัติแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายและตบะพันปีที่ถูกลดทอนครั้งแล้วครั้งเล่า มาคอยประคับประคองตัวเองไว้อย่างยากลำบาก
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบหกคนในนั้นที่มาเข้าร่วมการประชุมที่นี่ ถือว่าดวงซวยแปดชาติ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าเชื่อว่าอยู่บนภูเขาทัวเยว่แล้วยังจะถูกคนห่อเป็นห่อเกี๊ยวเช่นนี้ (เปรียบเปรยว่าถูกล้อมเอาไว้)
หนี? จะหนีไปไหนได้? ไปอยู่นอกภูเขาทัวเยว่ก็จะสูญเสียการปกป้องจากค่ายกลของแม่น้ำแห่งกาลเวลา จะให้ไปเผชิญหน้ากับแสงกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานพวกนั้น? แล้วนับประสาอะไรกับที่ค่ายกลนี้ของภูเขาทัวเยว่ทั้งสามารถสกัดกั้นแสงกระบี่ แล้วยังเป็นกรงขังธรรมชาติแห่งหนึ่งที่กักตัวผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเอาไว้ ทำให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบ เพราะไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตัวเองจะต้องมาเดือดร้อนติดร่างแหไปด้วยเพราะการถามกระบี่ครั้งนี้
ฉีถิงจี้เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงเชี่ยวชาญการช่วยคนสละร่างใต้คมอาวุธแล้วส่งออกเดินทางมากที่สุด
ลู่จือที่ในอดีตเคยถูกเรียกรวมกับเซียวสวิ้นว่าเป็นคน ‘ดุร้าย’ แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าเวทกระบี่จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีก
หนิงเหยาบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าห้าสี นางเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานเร็วยิ่งกว่าเฝ่ยหรานผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ตำแหน่งฐานะถือว่าเท่าเทียมกันเสียอีก
และยังมีบุรุษที่ไม่รู้ว่ากระโดดออกมาจากมุมไหน เรียกตัวเองว่า ‘สิงกวาน’ ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เป็นเหตุให้แต่ละสถานที่ในเปลี่ยวร้าง บ้างก็ศาลบรรพจารย์บ้านตัวเอง บ้างก็เป็นอย่างศาลของมหาบรรพตชิงซาน หรือไม่อย่างนั้นในอาณาเขตพื้นที่ลับแห่งขุนเขาสายน้ำที่ตำแหน่งถูกปิดบังอำพราง มีตราผนึกหนาชั้น สถานที่แต่ละแห่งเหล่านี้ต่างก็พากันจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตขึ้นมา ช่วยให้ผู้ฝึกกระบี่ผลัดรกเปลี่ยนกระดูก หนีพ้นหายนะแห่งความตายมาได้ เพียงแต่ว่าการฝึกตนสามารถเริ่มใหม่ ทว่าขอบเขตของก่อนหน้านี้ได้ปลิวหายกลายเป็นสายลมไปแล้ว นอกจากนี้ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตก็สามารถต่อชีวิตได้จริงๆ แต่บนเส้นทางการเดินขึ้นเขาในอนาคตจะต้องถูกมหามรรคารังเกียจอย่างที่มองไม่เห็น เล่าลือกันว่าผู้ฝึกตนที่เคยจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตมาก่อน ก่อนที่จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน จิตมารที่พบเจอจะใหญ่มากจนเกินกว่าจะจินตนาการได้ถึง
ก็เหมือนอย่างไหวเฉียนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีความหวังบนมหามรรคาเช่นนี้ หากไม่เป็นเพราะไปเสียท่าที่อุตรกุรุทวีป เดิมทีด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของไหวเฉียนก็มีความหวังมากที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบคนของตัวสำรองคนรุ่นเยาว์ในหลายใต้หล้า
เดิมทีหยวนซงชุดเหลืองไม่ได้สนใจความเป็นความตายของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจพวกนั้น ไม่เวทนาเลยสักนิดที่พวกมันเหมือนต้องมาตายอยู่ใต้เปลือกตาของตัวเอง
เกิดมาก็เหมือนมดตัวหนึ่ง เหมือนจมน้ำตายอยู่ท่ามกลางสายฝนปราณกระบี่ที่เทกระหน่ำลงมา
หยวนซงมองกระบี่ที่เฉินผิงอันถือไว้ในมือ จำนวนครั้งที่กระบี่ฟันลงไปยังภูเขาทัวเยว่มีมากครั้งขนาดนี้ คมกระบี่กลับไม่มีลางที่จะเกิดความเสียหายเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังฉายประกายคมกริบมากยิ่งขึ้น
หยวนซงนึกถึงภาพปรากฎการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่มาจากกระบี่ยาวเล่มนี้แล้วไพล่นึกไปถึงปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ถูกคนเล่ากันมาปากต่อปากหลายหน้านั้น ก็พอจะเดาความเป็นมาของกระบี่เล่มนี้ได้คร่าวๆ แล้ว จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ชะตาชีวิตดีจริงๆ โชคดีถูกกระบี่เล่มนี้รับเป็นนาย แน่นอนว่าชะตาก็ต้องแข็งมากพอด้วย ถึงจะรับกระบี่นี้ไว้ได้โดยไม่ตกไปเป็นหุ่นเชิดของมัน”
นับแต่โบราณมาอาวุธเซียนล้วนมีสติปัญญาซุกซ่อนอยู่ ก็เหมือนบุคคลที่พยศยากจะกำราบ นิสัยใจคอของผู้ฝึกตนมักจะสอดคล้องกับพวกมัน และส่วนใหญ่ก็มักจะได้รับอิทธิพลจากอาวุธเซียนที่ตัวเองหล่อหลอม ซึมซับอิทธิพลจนเกิดการกล่อมกลืน คนที่มีนิสัยดุร้ายก็จะยิ่งอำมหิต คนที่มีนิสัยแล้งน้ำใจจิตแห่งมรรคาก็จะยิ่งเย็นชา อีกทั้งบนเส้นทางของมหามรรคา หากมีความคลาดเคลื่อนแม้เพียงนิดก็จะพาเจ้าของเดินออกไปยังทางแยกของมหามรรคา สุดท้ายเมื่อผู้ฝึกตนแบกรับไว้ไม่ไหว อาวุธเซียนก็จะหลุดพ้นจากกรงขัง กลับคืนสู่อิสระเสรี ไม่ว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าก่อนกำเนิดที่มีอายุอยู่มายาวนานหรือวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่ผ่านการหล่อหลอมในภายหลัง ค่อยๆ เลื่อนขั้นทีละก้าวกลายเป็นระดับของอาวุธเซียน นี่ก็คือรากฐานมหามรรคาเส้นหนึ่งที่อาวุธเซียนในใต้หล้ามีร่วมกัน นั่นคือ ‘ไร้นาย’
ดังนั้นผู้ฝึกตนใหญ่ทุกคนที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ สำหรับท่าทีที่มีต่ออาวุธเซียนจึงลี้ลับมหัศจรรย์อย่างมาก ไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายอย่างแค่ว่ามีครอบครองมากก็ได้ประโยชน์มากอย่างแน่นอน
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหลายคนปิดด่านเป็นตาย หากโชคร้ายต้องสละศพ ส่วนใหญ่แสงศักดิ์สิทธิ์จะเปล่งวาบหนึ่งที ต่อให้เป็นอาวุธเซียนที่ผ่านการหลอมใหญ่ก็จะไม่สลายไปตามผู้ฝึกตน แต่จะกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง รอคอยวาสนากับเจ้าของคนถัดไป ยิ่งเป็นสำนักใหญ่ชั้นสูงก็ยิ่งไม่มีทางจงใจขัดขวางการจากไปของอาวุธเซียนพวกนี้ เพราะต่อให้ฝืนรั้งเอาไว้ ก็มีแต่จะนำพาหายนะที่คาดไม่ถึงมากมายมาให้กับภูเขา ได้ไม่คุ้มเสีย
ไม่อย่างนั้นด้วยระดับความล้ำค่าของอาวุธเซียน ป่านนี้คงถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขาของหลายใต้หล้ากวาดค้นเอาไปกันจนสิ้นแล้ว อาวุธทุกชิ้นคงมีการระบุผู้ครอบครองของไว้นานแล้ว ฟ้าดินเรือนกายมนุษย์มีช่องโพรงมากถึงสามร้อยกว่าแห่ง สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานและขอบเขตสิบสี่แล้ว บุกเบิกช่องโพรงลมปราณจะไปยากอะไร แต่ทำไมถึงไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่คนใดวางอาวุธเซียนที่ผ่านการหลอมใหญ่แล้วไว้เต็มช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตเลยเล่า?
ก็เหมือนกล่องไม้ล้ำค่าที่เก็บรักษากระบี่ยาวแปดเล่มใบนั้น ลู่เฉินบอกว่าจะให้ยืมก็ให้ลู่จือยืมไปทันที
ป๋ายเหย่เองนอกจากในใจมีบทกวีแล้วก็มีเพียงกระบี่เซียนไท่ป๋ายเล่มเดียวเท่านั้นที่เอาไว้เป็นอาวุธในการโจมตี อวี๋โต้วนอกจากมรรคกถาบนร่างของตัวเอง ก็มีแค่กระบี่เซียนที่ตั้งชื่อว่าเต้าจ้างเล่มเดียวเท่านั้น
และราชาบนบัลลังก์เก่าของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทุกคนต่างก็เคยมีปณิธานอยู่ที่การเดินขึ้นสู่ยอดเขา ผสานมรรคากับขอบเขตสิบสี่ ก่อนหน้านี้กรีฑาทัพไปโจมตีใต้หล้าไพศาลก็ไม่เคยหมายตาจับจ้องสมบัติหนักบนภูเขาทั้งหลาย แต่กลับต้องการสิ่งที่เป็นมายาไร้รูปลักษณ์อย่างพวกโชคชะตาแห่งภูเขาสายน้ำและโชคชะตาของราชวงศ์มากกว่า
หยวนซงยิ้มถาม “อิ่นกวานปล่อยกระบี่สามพันครั้งติดต่อกัน เหนื่อยหรือไม่ ถึงเวลาที่ข้าควรมอบของขวัญกลับคืนแล้วหรือไม่?”
กายธรรมหมื่นจั้งของเฉินผิงอันสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ ชุดเขียวเท้าเปล่า ถือกระบี่มือเดียว ยืนค้ำตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน
ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้าออกจะต้องมีไอสีม่วงทองเป็นเส้นๆ ลอยล้อมวนใบหน้าของกายธรรม
สำหรับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินสามตนที่ยังดิ้นรนจะมีชีวิตรอดแล้ว ความโชคดีมหาศาลท่ามกลางความโชคร้าย ก็คือผู้ฝึกกระบี่สี่คนนอกจากอิ่นกวานได้พกกระบี่ออกเดินทางไกลไปแล้ว ดูจากท่าทางคงจะบินทะยานไปยังดวงจันทร์ดวงหนึ่งกระมัง?
บวกกับที่หยวนซงบอกว่าจะมอบของขวัญกลับคืน นี่หมายความว่านับตั้งแต่บัดนี้ไป สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายก็จะสลับกันแล้วหรือไม่?
เฉินผิงอันไม่สนใจคำถามของหยวนซง เพียงแค่กวาดตามองรอบด้าน นอกจากขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้แล้ว ยังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอีกไม่น้อยที่ซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภูเขาใต้อาณัติของภูเขาทัวเยว่ เพราะรู้สึกว่าเป็นศาลาใกล้น้ำจะได้ยลแสงจันทร์ก่อน? หรือเพราะแค่ชอบดูงิ้ว?
จิตขยับไหวเล็กน้อยก็เกิดเป็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่แสดงออกมาตามใจปรารถนา เห็นเพียงว่าทะเลเมฆผืนหนึ่งตรงม่านฟ้าเกิดซัดโหม เบื้องล่างของทะเลเมฆก็คือภูเขาลูกหนึ่งของเผ่าปีศาจพอดี สุดท้ายเมฆขาวจำแลงกลายมาเป็นฝ่ามือใหญ่ยักษ์ที่ขาวสะอาดราวกับหยก ยื่นจากทะเลเมฆลงมาข้างล่าง ฝ่ามือใหญ่เหมือนเทือกเขา เส้นลายมือเหมือนแม่น้ำแต่ละสาย บนแม่น้ำลำธารเต็มไปด้วยดอกบัวสีเขียวมรกตตูมเต่ง รอคอยที่จะผลิบาน ส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวา แล้วยังมีแสงจันทร์กระจ่างนวลตาสาดส่องลงมายังสระบัวแต่ละแห่ง ทันใดนั้นดอกบัวสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่องประกายแสงใสแวววาวก็พากันผลิบาน
เวทคาถาบทนี้ของเฉินผิงอัน เห็นได้ชัดว่าขโมยเรียนมาจากเซอเยว่ และตอนนั้นเซอเยว่ก็เลียนอย่างมาจากเจ้าอารามดอกบัวอีกที ถูกเฉินผิงอันร่ายใช้ก็มีความเหมือนทางรูปลักษณ์อยู่เจ็ดแปดส่วน เหมือนทางจิตวิญญาณสี่ห้าส่วน
ปีศาจหยวนซงเองก็ไม่สนใจว่าภูเขาลูกนั้นจะอยู่หรือไป เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมา สายฟ้าบริสุทธิ์รวมกันเป็นเส้นเส้นหนึ่ง สุดท้ายจำแลงกลายเป็นหอกยาวเลื่อมทองที่มีรอยแกะสลักเต็มไปหมด ถูกหลอมมาจากโครงกระดูกของเทพยุคบรรพกาล ถือเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำคัญไม่กี่ชิ้นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของหยวนซง
แหวกอากาศพุ่งออกมาจากยอดเขาของภูเขาทัวเยว่ กรีดลากเป็นเส้นตรงยาว คล้ายรุ้งยาวที่ทะลุผ่านดวงตะวัน ประกายแสงเจิดจ้าสะดุดตา
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ ยกเท้าขยับออกไปด้านข้างหนึ่งก้าว
ตอนที่อยู่นครเซียนจาน ตั้งแต่ต้นจนจบกายธรรมนักพรตของเฉินผิงอันมองเมินการโจมตีของเวทคาถาทั้งหลายไปอย่างสิ้นเชิง
เส้นแสงที่มาจากหอกยาวสีทองปักตรึงเข้าไปที่หัวไหล่ของกายธรรมชุดเขียว เมื่อเทียบกับกายธรรมหมื่นจั้งของเฉินผิงอันแล้ว แสงทองที่หอกยาวเล่มนี้ลากออกมาเล็กบางเหมือนเส้นด้ายที่ใช้เย็บผ้าเส้นหนึ่ง ตรงดิ่งเป็นเส้นตรง ปลายด้านหนึ่งของแสงกระบี่อยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ ปลายอีกด้านปักลงไปใต้ดินลึกร้อยกว่าลี้ ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาทัวเยว่คนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ดินอย่างลึกลับ ในมือของมันถือสมบัติหนักลักษณะคล้ายชามหยกขาว ทันใดนั้นมันพลันเผยร่างจริง ลักษณะเป็นกึ่งเจียวกึ่งมังกร กลืนถ้วยขาวที่รองรับเส้นสีทองลงท้องไปพร้อมกัน จากนั้นก็เริ่มใช้เวทคาถาหลบหนีขยับเคลื่อนไปด้านข้างอย่างว่องไว ใต้ดินสะเทือนเลือนลั่นเกิดเสียงฟ้าคำรามดังเป็นระลอก
เส้นสีทองเหมือนคมดาบที่เริ่มกรีดเฉือนไหล่กายธรรมของเฉินผิงอันในแนวเฉียง กระตุ้นให้เกิดเสียงครูดหยาบบาดหูเหมือนมีดที่แกะสลักลงบนหินทอง ก่อให้เกิดสะเก็ดแสงไฟนับไม่ถ้วน