กระบี่จงมา - ตอนที่ 803.3 พบเจอกับอาจารย์ผู้เฒ่า
ก่อนหน้านี้ติดตามผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่มีอู๋ซวงเจี้ยงเป็นหนึ่งในนั้นขึ้นไปบนภูเขาทัวเยว่ที่เป็นภาพมายาแทบจะใกล้เคียงกับของจริง เมื่อเฉินผิงอันเดินเหยียบไปถึงบนยอดเขา ผลคือพอก้าวออกไปอีกก้าว เฉินผิงอันก็ค้นพบว่าตัวเองกลับมาที่ริมลำคลองดังเดิม
เฉินผิงอันเพียงแค่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนบางอย่างของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ถึงขั้นจำไม่ได้ เดาไม่ออกว่าระหว่างเท้าแรกกับเท้าหลังนี้ สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเขาพูดอะไรไปบ้างกันแน่
เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายแค่นั้น
รอกระทั่งเขากลับมาที่ริมลำคลองก็เห็นเพียงหลี่เซิ่งกับป๋ายเจ๋อ
อาจารย์ หย่าเซิ่ง ล้วนพากันหายตัวไปเหมือนพวกผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนอื่นๆ
นางเองก็หายตัวไปด้วย
เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งยองอยู่ริมน้ำ จับจ้องแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้นต่อไป เลียนแบบหลี่ไหว ในเมื่อเป็นเรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว
เพียงแต่ตอนอยู่ที่เกาะนกแก้วแล้วได้รู้ว่าเจ้าเศรษฐีบ้านนอกอย่างหลิ่วชื่อเฉิงถึงกับจ่ายเงินฝนธัญพืชมากถึงหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญถึงจะซื้อกระเบื้องแก้วเขียวมรกตหนึ่งร้อยแผ่นมาจากฮว่อหลงเจินเหรินได้
คนที่ ‘ทำการค้าเก่งมาก’ ผู้นี้ อย่าว่าแต่ให้ไปเป็นนักบัญชีที่ภูเขาลั่วพั่วบ้านตนเลย ต่อให้เลียนแบบเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่เฝ้าประตูใหญ่ให้กับเทพเจ้าแห่งโชคลาภเหวยเหวินหลง เจ้าหลิ่วชื่อเฉิงก็ไม่มีคุณสมบัติแล้ว
ตอนอยู่ที่ร้านผ้าห่อบุญบนเกาะนกแก้วยังยืมเงินจากคนอื่น ผลคือรอกระทั่งได้พบเจอกับอวี้พ่านสุ่ยและหยวนโจ้วก็ต้องมาติดหนี้อีก
ดังนั้นเฉินผิงอันที่มองแม่น้ำแห่งกาลเวลาซึ่งลี้ลับมหัศจรรย์เส้นนั้นจึงไม่คิดอะไรมากอีกแล้วจริงๆ เพียงแค่คิดว่าตัวเองมองแม่น้ำเงินเทพเซียนสายหนึ่งเท่านั้น
อดไม่ไหวหันไปมองหลี่เซิ่งแวบหนึ่ง
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “ให้จั่วโย่วดูแลถุงเงิน สู้ให้เจ้ามาเป็นคนดูแลไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันจึงรู้ว่าความคิดที่ตนมีต่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไม่มีหวังแล้วแน่นอน
จึงหันไปสอบถามความรู้เรื่องโพ่จื่อลิ่ง หลี่เซิ่งตอบกลับมาแค่ประโยคเดียวว่า รอให้ออกไปจากที่แห่งนี้เมื่อไหร่ ซีผิงจะอนุญาตให้เจ้าไปเปิดเอกสารลับของศาลบุ๋นได้
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะขอบคุณ
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “ทางฝั่งของเรือราตรีมักจะมีแสงกระบี่เปล่งออกมาบ่อยๆ หวังว่าเจ้าจะไม่ปล่อยให้คนรู้สึกว่ารอนานนัก เพราะอีกเดี๋ยวอาจยังต้องไปพบคนอีกคน เจ้าถึงจะกลับคืนไปยังเรือราตรีได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในใจเต็มไปด้วยข้อสงสัย
พบใครกัน?
คงไม่ใช่ว่าไปพบปรมาจารย์มหาปราชญ์หรอกกระมัง?
เฉินผิงอันเองก็ไม่กล้าถามให้มากความ
ป๋ายเจ๋อสลัดหลี่เซิ่งทิ้งเอาไว้ เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเพียงลำพัง คนสองคนที่อายุต่างกันมาก หนึ่งนั่งหนึ่งนั่งยองอยู่ริมลำน้ำ พูดคุยกันถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของแจกันสมบัติทวีป ปีนั้นป๋ายเจ๋อออกจากบ้าน พาภูตจิ้งจอกที่เป็นสตรีแต่งกายสวมชุดชาววังคนหนึ่งติดตามมาอยู่ข้างกาย ออกท่องไปทั่วใต้หล้าไพศาลด้วยกัน การที่ได้ไปพบเจอกับเฉินผิงอันบนทางสะพานไม้เลียบริมหน้าผาในคืนหิมะตกริมชายแขนของต้าหลี แน่นอนว่าเป็นการกระทำโดยตั้งใจของป๋ายเจ๋อ
เกี่ยวกับสภาพการณ์ที่เฉินผิงอันต้องแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจเอาไว้ อาจารย์ป๋ายเจ๋อยิ้มเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า รอกระทั่งใต้เท้าอิ่นกวานเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน สภาพการณ์จะดีกว่าเดิมมาก
ได้ยินอาจารย์ป๋ายเจ๋อเรียกตัวเองว่าอิ่นกวาน เฉินผิงอันก็อดอึดอัดขัดเขินขึ้นมาไม่ได้
หากในอนาคตวันใดได้หวนคืนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วได้ลงใต้ไปเที่ยวใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เฉินผิงอันเจอกับใครล้วนไม่สนใจ หวังเพียงว่าตนอย่าได้เจอกับคนที่อยู่ข้างกายนี่อีกเลย
แต่ขอแค่ต้องไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เหลือพระจันทร์เพียงสองดวง ดูเหมือนว่ายากมากที่จะไม่ได้เจออาจารย์ป๋ายเจ๋ออีก
“เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องคิดมาก ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”
ป๋ายเจ๋อยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร ในฐานะบัณฑิต มั่นใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่อยู่ในใจ ทำเรื่องที่มีคุณธรรมจริยธรรม ถ้าอย่างนั้นบนเส้นทางการฝึกตนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาช่วงชิงผลประโยชน์ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เจ้าเดินไปทีละก้าวอย่างสบายใจ”
สตรีร่างสูงใหญ่สวมชุดขาวคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก่อนใคร นางนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า
แล้วจึงตามมาด้วยซิ่วไฉเฒ่า หย่าเซิ่ง ตามมาด้วยอวี๋โต้ว ลู่เฉิน ภิกษุเสินชิง นักพรตหญิง คนพิฆาตมังกร เจ้าอารามผู้เฒ่า อู๋ซวงเจี้ยง รวมไปถึงคนอีกสองสามคนที่เฉินผิงอันไม่รู้จักซึ่งต่างก็หวนคืนกลับมาที่ริมลำคลองอีกครั้ง
ราวกับว่าทุกคนต่างพากันเดินทางไกลมารอบหนึ่ง กลับมาอย่างปลอดภัยไร้ความเสียหาย ราวกับว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ทุกคนต่างก็หลับฝันไปตื่นใหญ่ เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็ลองย้อนนึกถึงความฝันนั้น ทว่ามันกลับพร่าเลือน
ทุกคนล้วนเหมือนมองจันทร์ริมน้ำอยู่บนฝั่ง ไม่ว่าความคิดใดก็ล้วนเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง ขยับความคิดก็คือการโยนก้อนหินลงน้ำ ริ้วน้ำกระเพื่อมขึ้นมา มีแต่จะทำให้ดวงจันทร์ในน้ำยิ่งพร่าเลือนมองเห็นไม่ชัด
ดังนั้นผู้ฝึกตนใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างแท้จริงกลุ่มนี้ต่างก็จมเข้าสู่ภวังค์ความคิด ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร
บางทีอาจมีแค่เจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงที่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายซึ่งเป็นข้อยกเว้น เพราะดูเหมือนลู่เฉินจะกำลังลังเลว่าควรจะรำลึกความหลังกับเฉินผิงอันดีหรือไม่ สอบถามเขาสักประโยคว่า ทุกวันนี้เขียนตัวอักษรเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
สตรีชุดขาวที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันพลันเปิดปากขึ้นมาก่อนด้วยการยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อหลายปีก่อนอยู่ที่นอกฟ้า เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ข้าจึงบุกเบิกซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่งให้เป็นสถานที่ฝึกกระบี่ วันหน้านายท่านสามารถบินทะยานไปฝึกตนอยู่ที่นั่นได้ อยากไปก็ไป อยากกลับก็กลับ ทางฝั่งศาลบุ๋นไม่มีทางขัดขวาง ใช่หรือไม่ หลี่เซิ่ง?”
หลี่เซิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”
เฉินผิงอันฟังด้วยความอกสั่นขวัญผวา
หลี่เซิ่งขยับเส้นสายตามามองคนหนุ่มสะพายกระบี่แล้วเอ่ยเสริมมาอีกประโยคจริงดังคาด “ใช่ไหม เฉินผิงอัน?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่แข็งใจตอบไปว่า “อาจารย์หลี่เซิ่งว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”
ลู่เฉินยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นจับประคองงอบดอกบัวบนศีรษะที่เอียงเอน จากนั้นปรบมือยิ้มเอ่ยชื่นชม “บ้านเกิดของข้านี้ คือดินแดนแห่งมารยาทจริงๆ”
ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ฝีมือพัฒนาขึ้นแล้วนะ”
ภิกษุเฒ่ายกสองมือพนม เอ่ยคำว่าอามิตตาพุทธก่อน แล้วจึงพยักหน้า “ความฉลาด เป็นผลมาจากความฉลาด”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจอย่างมาก พวกเจ้าต่างก็เป็นขอบเขตสิบสี่ พวกเจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ
บรรยากาศริมลำคลองผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน
หลี่เซิ่งพลันประสานมือคารวะทุกคน จากนั้นลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การประชุมสิ้นสุดลงแล้ว แยกย้ายกันกลับบ้านเถิด”
ไม่มีใครเปิดปากถามอะไร แต่ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นคล้ายจะเดาเรื่องหนึ่งได้ การประชุมครั้งนี้ แม้ว่าบรรพจารย์ของทั้งสามลัทธิต่างก็ไม่ได้เผยโฉม แต่จะต้องคอยมองทุกคนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
หลังจาก ‘แยกย้ายกันกลับบ้าน’ แล้ว เกินครึ่งคงจะมีผลลัพธ์ที่เป็นดั่งน้ำลดหินผุดรอคอยทุกคนอยู่
หลี่เซิ่งคลายพันธนาการออก ป๋ายเจ๋อลุกขึ้นยืน หายตัวไปจากริมลำคลองก่อนใคร
ซิ่วไฉเฒ่าวิ่งตุปัดตุเป๋เหยาะๆ มาตลอดทาง มานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแทนป๋ายเจ๋อ ยื่นมือออกไปลูบ พูดอย่างผิดหวังว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าป๋ายผู้นี้เป็นผู้อาวุโสอย่างไรกัน ทำไมไม่ทิ้งก้อนสีทองไว้ที่พื้นสักก้อนนะ”
ลู่เฉินเขย่งปลายเท้าโบกมือให้แต่ไกลๆ “เฉินผิงอัน ไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ ข้ารอเจ้าอยู่นะ”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ภิกษุเฒ่าเสินชิงยิ้มบางๆ คล้ายเอ่ยปริศนาธรรมกับเฉินผิงอัน “บรรยากาศของภูเขาตะวันออก กระแสลมของมหาสมุทรเหนือ ฝึกศีล สมาธิ ปัญญา ต้อนรับพระไภษัชยคุรุ”
แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังลุกขึ้นยืน พนมสิบนิ้ว คารวะกลับคืนภิกษุเฒ่าอย่างนอบน้อม
ลู่เฉินคลี่ยิ้มด้วยสีหน้าปลาบปลื้มยินดี พยักหน้าพูดกับตัวเองว่า “สนิทสนมกับข้ามากกว่าจริงเสียด้วย ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องมารยาทจอมปลอมพวกนี้”
ริมตลิ่งแม่น้ำแห่งกาลเวลา สุดท้ายผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่แต่ละท่านต่างก็เหมือนดวงดาวที่ถือกำเนิดจากแผ่นดิน พุ่งขึ้นไปยังม่านฟ้า พริบตาเดียวก็หายลับไป
อู๋ซวงเจี้ยงจะไปเที่ยวเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่อ ไปหาเรื่องเฒ่าหูหนวกของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ก่อนหน้านี้อวี๋โต้วเหลือบตามองคนหนุ่มสะพายกระบี่ที่สวมชุดเขียวก่อนแวบหนึ่ง แล้วถึงหวนกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัว ไปนั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิงต่อ
คนพิฆาตมังกรที่ตอนนี้ใช้นามแฝงว่าเฉินจั๋วหลิวคิดว่าจะไปหาจิงเฮาที่เป็นนกพิราบยึดรังนกกางเขนมานานสามพันปีคนนั้น อีกฝ่ายควรจะย้ายรังยกรังให้กับเจ้าของเดิมได้แล้ว
ชิงกงไท่เป่า? ชิงกงอะไร?
แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ฝึกตนของเขา
หากปีนั้นเขาไม่ตัดสินใจพิฆาตมังกร ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลก็ไม่มีทางเหลือนครจักรพรรดิขาวเพียงแห่งเดียวแล้ว ต้องมีนครจักรพรรดิเขียว (ชิง) ก่อนถึงจะถูก
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปที่เดิม
นางหันตัวกลับมา ยื่นมือที่กำเป็นหมัดหลวมๆ ส่งให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่เข้าใจ แต่ก็ยังแบฝ่ามือ ทว่ากลับถูกนางกุมมือไว้กะทันหัน ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อดูเหมือนเพียงแค่ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว พอคิดอย่างนี้สัญญาหกสิบปีก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรได้ ข้าแค่งีบหลับในสถานที่ฝึกกระบี่ไปก็พอ ถึงเวลานั้นอย่าได้พาสตรีคนอื่นไปที่นอกฟ้าล่ะ หากถึงเวลาแล้วยังไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ก็บอกกับหลี่เซิ่งสักคำ”
เฉินผิงอันถอนหายใจ พยักหน้าเบาๆ ถือว่าเป็นการตอบรับนางแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าสูดลมหายใจดังเฮือก ตามองตรงไม่ล่อกแล่ก ยืดเอวตั้งตรง พูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรมว่า “ทัศนียภาพฝั่งตรงข้ามช่างงามยิ่งนัก”
นางปล่อยมือออก ลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม เอ่ยว่า “ทำไมจะต้องไปนอกฟ้าให้ได้ด้วยล่ะ สามารถไปเที่ยวที่ใต้หล้าไพศาลได้นะ เมื่อหมื่นปีก่อน อันที่จริงก็อยู่ที่บ้านเกิดมาโดยตลอด ไม่เคยได้ไปไหนมาเลย”
นางกะพริบตาปริบๆ “อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล? ข้ากลัวว่าจะได้กลิ่นน้ำส้มฉุนเกินไปน่ะสิ” (น้ำส้ม ภาษาจีนหมายถึงความหึงหวง กินน้ำส้มก็จะหมายว่าหึง)
เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน หุบปากฉับทันใด
นางมองเฉินผิงอัน เห็นตัวเองจากดวงตาของเขา และในดวงตาของนางเองก็มีเพียงแค่เขาเท่านั้น
นางคลี่ยิ้มกว้าง ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ไปล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
นางกลายร่างเป็นสายรุ้งจากไป แหวกม่านฟ้าตรงดิ่งไปยังนอกฟ้า
นาทีถัดมาเฉินผิงอันก็ค้นพบว่าตัวเองมาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง
ยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน
มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล กำลังหัวเราะร่ามองมาที่ตน
เฉินผิงอันค้อมตัวคารวะนิ่ง ไม่เอ่ยอะไรอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า “นี่จะได้อย่างไร จะได้อย่างไร พิธีการใหญ่เกินไปแล้ว ต่อให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าจะอายุน้อยแค่ไหน จะศึกษาเล่าเรียนอย่างมานะหมั่นเพียรมากเท่าไร ต่อให้การฝึกอบรมกายใจจะยอดเยี่ยมแค่ไหน อยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเชี่ยวชาญเท่าไร ถึงอย่างไรก็ไม่อาจรับเกียรติที่ใหญ่เทียมฟ้านี้เอาไว้ได้…”
หลี่เซิ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ทนเห็นท่าทางได้เปรียบแล้วยังไม่รู้จักพอของซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มากที่สุด จึงยิ้มเอ่ยว่า “พิธีการใหญ่เกินไป? ก่อนหน้านี้ใครที่ทำหน้าด้านตื๊อขอร้องกันล่ะ”
ซิ่วไฉเฒ่าถูมือเอ่ยว่า “ตีคนไม่ตบหน้า ด่าคนไม่แฉข้อบกพร่อง แม้แต่กฎเกณฑ์เล็กน้อยแค่นี้หลี่เซิ่งก็ยังไม่เข้าใจ แบบนี้ไม่ประเสริฐเลยนะ”
คนที่เป็นอาจารย์ เรื่องที่สามารถขอร้องได้ ไยจะไม่ขอร้องเล่า
อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นหัวเราะร่า “ซิ่วไฉ ลูกศิษย์ของเจ้าคนนี้ไม่เห็นจะหล่อเหลาอย่างที่เจ้าพูดเลยนะ”
เฉินผิงอันยืดตัวขึ้นตรง รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
จากนั้นแสงสว่างก็เปล่งวาบขึ้นมาในหัว จิตใจของเฉินผิงอันสั่นสะท้าน
ถ้าอย่างนั้นการรวมตัวกันที่ริมลำคลองของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ก่อนหน้านี้ ผลคือสุดท้ายแล้วแม้แต่ว่าประชุมเรื่องอะไรก็ยังไม่รู้ ก็สามารถอธิบายได้แล้ว
อาจารย์ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที พยักหน้าเอ่ยว่า “ฉลาด ไม่นึกว่าจะฉลาดกว่าที่คิดไว้มาก แบบนี้สิถึงจะถูก เล่าเรียนเขียนอ่านไม่มีสติปัญญา แล้วจะอ่านหนังสือเล่าเรียนไปทำไม”
ผู้เฒ่าหัวเราะชอบใจ “หนึ่งคนทำดี”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย รอคอยอยู่ชั่วครู่ก็ได้แต่รับคำต่อว่า “หมื่นคนมีแรงบันดาลใจ”
ผู้เฒ่าถามต่อไปว่า “ความรู้ที่ใหญ่ยิ่งกว่า?”
เฉินผิงอันตอบ “ล้วนเชี่ยวชาญ”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก”
——