กระบี่จงมา - ตอนที่ 1003.1 ซ ้อนค่ายกล
โจวชิงเกาในทุกวันนี้ จู๋เชี่ยผู้นาแห่งกระโจมเจี่ยเชินในอดีต ก็ เหมือนอย่างค าสัพยอกของเจิ้งจวีจง คือผู้เลื่อมใสอิ่นกวานอันดับ หนึ่งซึ่งเป็ นที่ล่วงรู ้กันทั้งสองใต้หล้าอย่างแท้จริง
ช่วงเวลาที่เฉินผิงอันอยู่เฝ้ าหัวกาแพงเมืองของกาแพงเมือง ปราณกระบี่ จู๋เชี่ยก็เคยขอร ้องให้อิ่นกวานหนุ่มอนุญาตให้ตัวเองขึ้น ไปบนก าแพงเมือง หมายจะขอความรู ้จากเฉินผิงอัน ร่วมทบทวน สถานการณ์สู้รบไปด้วยกัน
ภายหลังสมาชิกในการประชุมของทั้งฝ่ ายศาลบุ๋นและฝ่ าย ภูเขาทัวเยว่ สองใต้หล้าคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ ในถ้อยคาที่โจวชิงเกาเอ่ย ก็ยิ่งไม่ปิดบังความเลื่อมใสที่ตัวเองมีต่อเฉินผิงอัน
อวี๋เสวียนกวาดตามองเถ้าธุลีของยันต์ที่ถูกเจิ้งจวีจงทาลายไป พยักหน้าเอ่ยว่า “ยันต์ดี”
เพียงแต่ว่าวิธีการของคนวาดยันต์ต่าช ้าไปสักหน่อย อีกทั้งยัง เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนมาเป็ นอย่างดี หมายจะเล่นงานอิ่นกวาน หนุ่มอย่างชัดเจน
เพราะยันต์นี้มีขีดจากัดของธรณีประตู จาเป็ นต้องรวบรวมเอา เลือดของคนคนหนึ่งมานอกจากนี้ทั้งเส้นผม เล็บมือและน้าลาย ฯลฯ ก็ล้วนสามารถน ามาท าเป็ น “กระดาษยันต์” ให้กับยันต์ประเภทนี้ได้
ด้วย หากว่าคนที่วาดยันต์สามารถนาแก่นเลือดแห่งชะตาชีวิตของผู้ ฝึกลมปราณที่เป็ นศัตรูกันมาได้ หรือสามารถนาจิตวิญญาณ พลัง จิตส่วนหนึ่งมา ระดับขั้นของยันต์ที่วาดออกมาก็จะสูงยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็วาดรูปลักษณ์ของผู้ฝึกลมปราณลงไป เขียนวันเดือนปีเกิด ที่แน่ชัดลงไปด้วย ยันต์จึงจะถือว่าสาเร็จ
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ คิดคานวณในใจอย่างว่องไว
ปีนั้นอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่แค่เฉินผิงอันเท่านั้นที่ ระมัดระวังรอบคอบอย่างถึงที่สุด ป๋ ายหมัวมัวที่เป็ นผู้ดูแลเรือน ตระกูลหนิงและน่าหลันเย่สิงที่เป็ นคนเฝ้ าประตูผู้อาวุโสทั้งสองท่าน ต่างก็ระมัดระวังกันมาก เคยกาชับเฉินผิงอันไว้นานแล้วว่าทุกครั้งที่ สระผมตัดเล็บล้วนต้องเก็บเส้นผมที่ร่วงและเศษเล็บมาให้หมด ทางที่ ดีที่สุดคือทาลายทิ้งไปทันที อย่าได้เหลือ “หลักฐาน” ไว้แม้แต่น้อย นอกจากนี้ทุกครั้งที่เฉินผิงอันไปดื่มเหล้าที่ร ้านเหล้าก็ระวัง รายละเอียดพวกนี้อย่างมาก
หลังจากเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อนแล้ว ต้องลงสนามรบอยู่ หลายครั้ง เฉินผิงอันก็ปิดบังตัวตนอย่างลึกล้าเรียกได้ว่าระวังตัวสุด ขีด ไม่ให้ถูกกระโจมเจี่ยจื่อของเปลี่ยวร ้างพุ่งเป้ าเล่นงาน ถึงขั้นที่ว่า แม้แต่วิธีที่ต้องปลอมตัวเป็ นสตรีเขาก็ยังเอามาใช ้ จนถึงทุกวันนี้ที่ นครบินทะยานก็ยังมี “เรื่องเล่าขานที่งดงาม” เรื่องหนึ่งอยู่เลย ซึ่ง มักจะถูกผู้ฝึกกระบี่สายของสิงกวานเอาไปเป็ นกับแกล้มแกล้มสุราที่ รสชาติเลิศล้าที่สุด
ดังนั้นช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียว เกินครึ่งก็น่าจะเป็ นช่วงก่อนที่เฉิน ผิงอันจะรับหน้าที่เป็ นอิ่นกวาน ได้ออกรบแทนหนิงเหยา การจับคู่ เข่นฆ่ากับหลีเจินลูกศิษย์ปิดส านักของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร ้าง ครั้งนั้น
เวทคาถาบนภูเขามีความประหลาดมหัศจรรย์หลากหลาย มากมายจนมิอาจป้ องกันได้หวาดไหวอย่างแท้จริง
ภายหลังหวนกลับมายังไพศาล ในอารามหวงฮวาของนครเซิ่น จิ่งราชวงศ์ต้าเฉวียน เฉินผิงอันเคยถูกเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ที่ปิดบัง ชื่อแซ่ใช ้ร่มกระดาษน้ามันคันหนึ่งต่างกระบี่บินแทงทะลุผ่านหน้าท้อง …
เพราะตราประทับชิ้นนั้น หลิวเม่าผู้เป็ นเจ้าอารามจึงได้ถูกทางฝั่ง ของศาลบุ๋นตรวจ สอบมาก่อนแล้ว จึงสามารถตัดออกจากผู้ต้อง สงสัยได้ หรือจะเป็ น…นักพรตน้อยสองคนที่ยังไม่ได้หลอมลมปราณ?
มีโอกาสเฉินผิงอันจะต้องกลับใบถงทวีปไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ตัวเอง หรือไม่ก็สามารถส่งกระบี่บินไปบอกยอดเขามี่เซวี่ยอย่างลับๆ ให้ชุยตงซานรีบตรวจสอบก่อนได้?
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นักพรตแบ่งสมาธิเป็ นเรื่องที่ สิ้นเปลืองแรงใจที่สุด หลักการเหตุผลข้อนี้ไม่ระวังไม่ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าจะระวัง”
นักพรตฉุนหยางท่านนี้กาลังเตือนถึงเรื่องที่เฉินผิงอันแบ่งแยก ดวงจิตออกไปก่อนหน้านี้ว่าต้องระวังให้มาก
เรื่องการแบ่งแยกดวงจิตมีธรณีประตูสูงผลประโยชน์น้อยสาหรับ บนภูเขา ผลประโยชน์กับความเสี่ยงไม่ใช่อัตราส่วนโดยตรง ข้อแรก จาเป็ นต้องใช ้ยันต์แทนตัวซึ่งกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งมีราคาสูงมาก แต่ ตบะและขอบเขตของร่างแยกกลับต่ากว่าร่างจริงไปมาก อีกทั้งตัว แทนมิอาจเป็ นฝ่ ายฝึกตนได้ด้วยตัวเองจึงค่อนข้างเหมือนซี่โครงไก่ ข้อที่สอง เนื่องจากเฉินผิงอันคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เรือน กายแข็งแรงทนทานเหนือเกินกว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ถึงได้สามารถ เรียกใช ้ยันต์มากมายขนาดนั้นในเวลาเดียวกัน หาไม่แล้วดวงจิตดวง หนึ่งสิงอยู่บนยันต์เดินท่องอยู่ในฟ้ าดินเพียงลาพังก็เหมือนเปลวเทียน ความเร็วในการเผาผลาญปราณวิญญาณของยันต์หุ่นเชิดแผ่นหนึ่ง จะว่องไวอย่างมากส าหรับผู้ฝึ กตนห้าขอบเขตบนแล้วการกระท า เช่นนี้แทบไม่มีผลประโยชน์ใดๆ บนมหามรรคาให้กล่าวถึง กลับกัน หากร่างแยกเจอกับเรื่องไม่คาดฝัน มิอาจถูกร่างจริงดึงกลับคืนมาได้ เป็ นเหตุให้จิตวิญญาณของผู้ฝึกตนได้รับความเสียหาย จิตวิญญาณ ไม่ครบถ้วนก็ต้องเสียใจจนไส้เขียว ได้แต่โอดครวญอย่างทุกข์ ทรมานใจ ด้วยเหตุนี้จึงได้ไม่คุ้มเสีย
เจิ้งจวีจงกล่าว “ความผิดพลาดแบบเดียวกันอย่าได้ทาผิดเป็ น ครั้งที่สอง เชื่อว่าทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างน่าจะมีปีศาจใหญ่ที่เริ่ม
ลงมือศึกษาชุยฉานแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เจ้าจะตามหาเครื่องกระเบื้อง แห่งชะตาชีวิตมาให้ครบทุกชิ้นก็ควรเร่งมือเข้าหน่อย”
เพราะหากจิตวิญญาณบางส่วนของผู้ฝึกตนมิอาจดึงกลับมาที่ ร่างจริงได้ โรคที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก็จะมีเยอะมาก อีกทั้งยังจะรับมือได้ ยากมากกว่ากันขึ้นทุกที เบาหน่อยก็เป็ นเหตุให้ผู้ฝึกตนยากจะฝ่ า ทะลุคอขวดของบางขอบเขตไปได้ จิตแห่งมรรคามิสมบูรณ์ หนัก หน่อยก็คือถูกผู้ฝึกตนที่เป็ นศัตรูอย่างพวกเฝยหราน โจวชิงเกาคว้า โอกาสไว้ได้ ยกตัวอย่างเช่นเอาดวงจิตดวงนั้นไปทาเป็ นแก่นยันต์ หลอมเป็ นกระดาษยันต์ ขัดเกลาท าลายตบะได้ตามใจชอบ ถึงขั้น ที่ว่าอาจทาลายไปถึงรากฐานมหามรรคา ผลลัพธ ์ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเอาอย่างซิ่วหูซุยฉาน ใช ้วิธีการที่ คล้ายคลึงกับการสร ้างคนกระเบื้อง หุ่นเชิดยันต์ขึ้นมา ต่อให้ระดับ ความสูงจะอยู่ห่างชั้นจากชุยฉานมาก ถูกกาหนดมาแล้วว่ามิอาจ “เปลี่ยนจากแขกมาเป็ นเจ้าบ้าน” ได้ แต่ก็จะต้องมีโอกาสสร ้าง สถานการณ์บางอย่างที่ทาให้เฉินผิงอันปวดหัวอย่างถึงที่สุดได้ แน่นอน ความเกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายก็เหมือนคนกระเบื้องที่อยู่ข้าง กายชุยตงซานซึ่งมีความเกี่ยวพันแนบแน่นกับเกาเฉิงวิญญาณ วีรบุรุษของนครจิงกวานชายหาดโครงกระดูก
ดวงจิตดวงหนึ่งยังเป็ นเช่นนี้? แล้วถ้าเครื่องกระเบื้องแห่งชะตา ชีวิตตกไปอยู่ในมือของเปลี่ยวร ้างเล่า?
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเงียบๆ
เจิ้งจวีจงเอ่ยต่ออีกว่า “ยังคงเป็ นเพราะเห็นทัศนียภาพของบน ยอดเขามาน้อยเกินไปมีเหตุผลให้พออภัยได้”
เมื่อครู่นี้หากไม่เป็ นเพราะหลี่ซีเซิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึง ส่งเสียงเตือนทุกคนเป็ นเหตุให้แสงกระบี่ของป๋ ายจิ่งแค่ระเบิดยันต์ใน ส่วนน้อยเท่านั้น
หาไม่แล้วเฉินผิงอันจะต้องขอบเขตถดถอยเพราะเหตุนี้ และเชื่อ ว่าเขาจะยิ่งจดจาได้อย่างลึกซึ้งแน่นอน
และนี่ก็เป็ นสาเหตุที่เจิ้งจวีจงรู ้แต่แรกแล้วทว่ากลับจงใจแสร ้งทา เป็ นมองไม่เห็น
คนที่พอจะฉลาดอยู่บ้างหากไม่เคยล้มหัวทิ่มหัวต่ามาก่อน แล้ว เจอแค่เรื่องลาบากเล็กน้อยที่ไม่เจ็บไม่คันก็ง่ายที่จะยกให้เป็ นเรื่อง ของดวง ไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่ฉลาดมากพอ
กระแสน้าขึ้นปราณวิญญาณครั้งที่สามมิอาจสั่นคลอนกายธรรม ใหญ่โตมโหฬารของหลี่เซิ่งได้สักกะฝึก จึงพุ่งผ่านภูเขาทะเลยันต์มา
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนประหนึ่งเสาหิน กลางกระแสน้า พอ น้าไหลผ่านก็แยกตัวกันออกไปเองโดยอัตโนมัติ
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวได้รับการยอมรับว่าเป็ นผู้ประสบ ความส าเร็จด้านเวทคาถาวิชาอภินิหาร คือบรรพบุรุษแห่งวิถียันต์และ วิถีของการหลอมโอสถในใต้หล้า
เมื่อศึกเดินขึ้นฟ้ าสิ้นสุดลงก็ถูกผู้ฝึ กตนบนยอดเขายุคหลัง ขนานนามให้เป็ นบรรพจารย์แห่งหมื่นวิชา บรรพบุรุษแห่งเซียนดิน
คราวก่อนเฉินผิงอันไปเยือนเมืองหลวงต้าหลีมารอบหนึ่ง จึงได้รู ้ ความลับจากเฟิงอี๋และสารถีเฒ่ามาไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของการเผาเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต ของถ้าสวรรค์หลีจู แรกเริ่มสุดก็เป็ นวิชาลับที่สืบทอดมาจากหยาง เหล่าโถวแห่งร ้านยาและอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
นอกจากนี้ก็เหมือนอย่างกล่องกระบี่ที่โซ่วเฉินสะพายไว้ที่มี ประวัติความเป็ นมา โซ่วเฉินที่เป็ นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของโจวมี่ แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง เพื่อให้เป็ นของขวัญมอบกลับคืนในการกราบ อาจารย์ โจวมี่ก็ได้มอบสมบัติหนักชิ้นนี้ไปให้ กล่องกระบี่วาดเป็ นรูป สามภูเขาสี่มหาสมุทรห้าขุนเขาสิบลาน้าของยุคบรรพกาล มีความ ต่างจากภาพยันต์ท านายที่แท้จริงของลัทธิเต๋าที่แพร่หลายในโลกยุค หลังจนเกือบจะเรียกได้ว่าเยอะจนพร่าเพื่ออย่างมาก ภาพจริงของ สามภูเขาหนึ่งในนั้นต่างก็มี “สภาพการณ์” ของต้นตารับดั้งเดิม เหมือนภาพเทพนั่งนิ่งดุจศพ วานรผ่านภูเขาสะพายธนูเดิน มังกรอ า พรางเมฆบินทะยานสู่เก้าชั้นฟ้ า สามภูเขาแบ่งออกเป็ นดูแลเรื่องโชค วาสนาหยินหยางและห้าธาตุ ก าหนดระยะเวลาเป็ นตายและความสั้น ยาว กลุ่มดาวหลักดาวรองและชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์น้า เมื่อผ่าน การหลอมอย่างลับๆ กับมือของโจวมี่เอง กล่องกระบี่ใบนี้ก็มีวิชา อภินิหารเพิ่มมามากกว่าเดิมหล่อหลอมมันให้กลายเป็ น “สุสาน
กระบี่” แห่งหนึ่ง สามารถบารุงหล่อเลี้ยงกระบี่บินได้เก้าเล่ม ขณะเดียวกันก็ฟูมฟักวิชาอภินิหารเก้าอย่างที่แตกต่างกัน ต่อให้เป็ น ผู้ฝึ กลมปราณที่แต่เดิมไม่ใช่ผู้ฝึ กกระบี่ ขอแค่ได้กล่องนี้ไปครอง ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งกว่าผู้ฝึกกระบี่
และของชิ้นนี้แรกเริ่มสุดก็เป็ นอาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่หลอม
ขึ้นมา เพียงแต่ว่าพลัดตกไปอยู่ในมือของโจวมี่
เนื่องจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหวก็อยู่ที่นี่ด้วย และอวี๋เสวียนเอง ก็เคารพผู้สูงศักดิ์จึงไม่ได้เล่าเรื่องเล่าลือหลายเรื่องให้เฉินผิงอันฟัง
ว่ากันว่าผู้ฝึ กตนหญิงสองคนในสิบผู้กล้าของใต้หล้าอย่าง อาจารย์หล่อหลอมหลันฉีและผู้ฝึกลมปราณที่บุกเบิกเส้นทางนอกรีต มากมายผู้นั้น อันที่จริงพวกนางต่างก็มีความสัมพันธ ์ที่ดีเยี่ยมกับ อาจารย์ซานซานจิ่วโหว
ชุยตงซานเคยยกตัวอย่างให้ฟัง อยู่นอกฟ้ าอย่าว่าแต่ผู้ฝึ กตน ขอบเขตบินทะยานเลยต่อให้เป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ก็ยังเป็ นแค่ เด็กน้อยที่มีเพียงมือเปล่าเท้าเปล่า ใต้หล้าทุกแห่งที่เผชิญหน้าด้วยก็ คือลูกเหล็กลูกหนึ่ง
อวี๋เสวียนทอดถอนใจเอ่ยว่า “จาต้องยอมรับว่าการกระทานี้ของ โจวมี่ถือเป็ นแผนการอย่างโจ่งแจ้ง”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หากมองใต้หล้าเปลี่ยวร ้างทั้งแห่งเป็ น เรือข้ามฟากลาหนึ่งที่ล่องทะยานมากลางความว่างเปล่า ถ้าอย่างนั้น
ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็ต้องมีสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็ นจุด ศูนย์กลางค่ายกลที่คอยควบคุมเรือยักษ์ลานี้ พวกเขาใช ้ปราณ วิญญาณฟ้ าดินเป็ น “ถ่านฟืน” อย่างนั้นหรือ?”
อวี๋เสวียนลูบหนวดส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าผู้อาวุโสยังมองเส้นสนกล ในไม่ออก”
หลวี่เหยียนหรี่ตามองไปยังจุดหนึ่งของเปลี่ยวร ้าง เอ่ยเสียงทุ้ม หนักว่า “ครึ่งหนึ่งเป็ นปราณวิญญาณที่ใช ้เงินทุ่มออกมา อีกครึ่งหนึ่ง กลับมี…ปราณกระบี่โผล่มากะทันหัน”
เจิ้งจวีจงกระตุกมุมปาก “หากตอนนั้นใต้เท้าอิ่นกวานยืนกรานจะ ไปให้ความช่วยเหลือไม่ใช่เปลี่ยนแผนกลางคันด้วยการหันไปถาม กระบี่ที่ภูเขาทัวเยว่แทน ก็จะยิ่งเป็ นการเพิ่มถ่านและฟื้นเข้าไปอีกกอง หนึ่งแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง กลางอากาศก็มีภาพหนึ่งที่ คล้ายกับภาพการเคลื่อนโคจรของหมู่ดาวบนฟากฟ้ าปรากฏขึ้น เขา อธิบายว่า “โจวมี่เคยใช ้ขุนเขาสายน้าที่มีอาณาเขตกว้างขวางซึ่งมี ร่องเจียวหลง ฝูเหยาทวีปละใบถงทวีปเป็ นหนึ่งในนั้นสร ้างค่ายกลลับ แห่งหนึ่งขึ้นมากับมือตัวเอง แรกเริ่มร่องรอยนั้นตื้นเขินมาก ก็เหมือน รอยเล็บบางๆ ที่มนุษย์ธรรมดาเผลอขีดข่วนลงบนแขนตัวเอง ค่ายกล นี้เพิ่งจะเป็ นดั่งก้อนหินที่โผล่พ้นน้าเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่กลับ เหมือนจะแบ่งใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้างออกเป็ นหยินและห ยาง เป็ นเหตุให้ใต้หล้าสองแห่งในตอนนี้เหมือนแม่เหล็กสองก้อนที่
ถูกดูดเข้าหากัน รอกระทั่งเฝ่ยหรานเปิดค่ายกลใหญ่ ทิศทางที่หัวเรือ ของตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร ้างหันไปก็จะเริ่มเกิดการเบี่ยงเบน บวก กับที่ปี ศาจใหญ่ได้วางแผนอยู่นอกฟ้ ามานานมากแล้ว แอบเล่น ตุกติกบางอย่าง เรือลานี้จึงเปลี่ยนมาเข้าสู่วิถีการโคจร “ชิงเต้า” (เส้นทางที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร ์เคลื่อนไปทางท้องฟ้ าด้าน ตะวันออกในช่วงระยะทางหนึ่ง) ซึ่งจะทาให้เรือลานี้ยิ่งนานก็ยิ่ง เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น”
กระแสน้าขึ้นปราณวิญญาณระลอกที่สามมาถึงแล้ว
เพราะเมื่อครู่นี้เกือบจะก่อเรื่องใหญ่ ป๋ ายจิ่งจึงยอมถอยให้ก้าว หนึ่งอย่างที่หาได้ยาก “เจ้าขุนเขา ผลประโยชน์ครั้งนี้แบ่งกันสองต่อ แปดส่วน”