Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 55
55 – ต่อสู้ในสุสาน
ท่าทางและความมั่นใจของโรดส์ทำให้ชอว์น่าพูดไม่ออก อย่างที่พูดไป เขาชี้ไปที่ตัวเอง ตอนแรกชอว์น่าคิดว่าพวกเขาร่วมมือกัน แต่เมื่อโรดส์ออกคำสั่งกับคนในกลุ่มออกไป ไม่ใช่ว่าเรียกร้องให้พวกเธอทำตามคำสั่งของเขาหรอกหรือ?
แม้ว่าทุกคนจะแผยปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป ตอบสนองต่อคำสั่งของโรดส์
ตาแก่วอร์คเกอร์วางมือบนหน้าอกและกำลังดูสนุกสนานอยู่กับการวิ่งอยู่รอบๆ ระหว่างการวิ่งที่ยากลำบาก เขาได้เห็นและยอมรับความสามารถในการสั่งการของโรดส์ เขาสามารถบอกได้ว่าความรู้และความยืดหยุ่นในการเตรียมพร้อมของโรดส์นั้นอยู่ในระดับสูง น่าเสียดายข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเขาคือคำพูดที่แหลมคม ถ้าเขาพูดว่าหนึ่ง นั่นหมายความว่าหนึ่ง ถ้าเขาพูดว่าสอง ก็ต้องเป็นสอง เขาไม่ให้โอกาสผู้อื่นปฏิเสธเขา โรดส์ทำให้ชอว์น่าและคนในทีมเห็นแล้วว่าพวกเธออ่อนแอเกินไป และเขาไม่เชื่อใจพวกเธอ มันจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าจะทิ้งทุกอย่างไว้กับเขา
แม้ว่าเขาจะพูดปกติ แต่วิธีที่เขาพูดเหมือนกับการเอามือตบไปที่หน้า
เมื่อเทียบกับวอร์คเกอร์ที่อยากรู้ว่าสถานการณ์ต่อมาจะคลี่คลายอย่างไร มาร์ลีนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ชอว์น่าต้องตัดสินใจเข้าร่วมกับโรดส์ เธอไม่เข้าใจว่าทหารรับจ้างทำงานกันยังไง แต่เธอรู้ว่ามีกลุ่มของเธอเพียง 4 คนที่เข้ามาด้านในได้โดยที่แทบไม่เสียเหงื่อ ซึ่งไม่ใช่ชอว์น่าและคนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนคนมากกว่า แต่พวกเขากำลังจะตาย ดังนั้น การทำตามคำสั่งของโรดส์เป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดไม่ใช่รึ? เพื่อผลประโยชน์…? เอ๊ะ…จอมเวทย์ไม่เคยคิดว่าจำนวนเป็นข้อได้เปรียบ
ในทางกลับกัน ไลซ์ค่อนข้างอึดอัด เธอเป็นคนเดียวในทีมที่รู้จักชอว์น่าเป็นอย่างดีและตอนนี้ เพื่อนของเธอกำลังจะกลายมาเป็นลูกน้อง ยิ่งไปกว่านั้นความตรงไปตรงมาของโรดส์ไม่สนใจศักดิ์ศรีที่อยู่บนใบหน้าของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้ไลซ์ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้โง่และในเวลานี้ เธอเข้าใจดีว่าอยู่เงียบๆต่อไปจะดีกว่า
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์ ชอว์น่ารู้ดีว่าเธอจะต้องตอบอย่างรวดเร็ว และเธอมองไปยังโรดส์ อย่างไรก็ตามเธอยังลังเล
ความจริงนั้นเรียบง่าย เธอไม่อยากรับเงื่อนไขของเขา! เนื่องจากทั้งสองคนมาจากสองกลุ่มที่แตกต่างกัน และคนของเธออาจถูกใช้เป็นโล่มนุษย์ แต่เมื่อเห็นถึงทัศนคติที่มุ่งมั่นของโรดส์ เห็นได้ชัดว่าไม่มีการประนีประนอม หากเธอไม่เห็นด้วย เส้นทางต่อไปที่เธอจะเดินคือความตาย
เมื่อชอว์น่าจมอยู่กับความคิด มีเสียงจากด้านหลังดังขึ้น
“หึ ทำไมพวกเราต้องไปฟังคำสั่งของเจ้านี่ด้วย! พี่ใหญ่ ไม่ต้องไปฟังมัน! พวกเรามีคนเยอะกว่า ทางนู้นสิต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเรา!”
ทหารรับจ้างหนุ่มสวมชุดเกราะหนัง เหน็บดาบสองมือไว้ด้านหลัง เขามองไปยังโรดส์อย่างไม่สนใจ
“บาร์นนี่ หุบปากไปซะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ทหารรับจ้างหนุ่มพูดมา ชอว์น่าเริ่มปวดหัว เธอโบกมือและบอกให้เขาหยุด แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มชื่อบาร์นนี่ไม่ได้สนใจฟังคำพูดของเธอเลย
“แต่พี่ใหญ่ ชายคนนี้เขา…มากเกินไป..เขาเพิ่งจะบอกว่าให้พวกเราไปเป็นโล่ให้พวกมันเข้าไปคว้ารางวัลมา! คนน่ารังเกียจแบบนี้ พวกเรา….”
“คนน่ารังเกียจ?”
โรดส์ไม่ได้โกรธ แต่กลับเป็นมาร์ลีนที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืน
“นั่นเป็นวิธีที่ทหารรับจ้างปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณงั้นเหรอ?! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรา แกได้ตายอยู่ในสุสานไปแล้ว!”
“ต่อให้ไม่มีพวกเจ้า พวกเราก็อยู่ได้”
บาร์นนี่กัดฟันและตอบกลับ มาร์ลันพูดอย่างเย็นชาและไม่สนใจเขาอีกต่อไป ในความคิดของเธอ สำหรับขุนนาง เธอไม่จำเป็นต้องไปเสียน้ำลายอันมีค่าของเธอไปกับทหารรับจ้างหยาบคายแบบเขา
ท่าทางเย่อหยิ่งของมาร์ลีนทำให้ทหารรับจ้างหนุ่มโกรธ เขาถุยน้ำลายลงพื้นและกำลังจะพูด อย่างไรก็ตาม กลับเป็นชอว์น่าที่โกรธ
“หุบปากไปเลยนะ บาร์นนี่! ถ้าฉันได้ยินคำพูดออกมาจากปากของแก แกออกจากกลุ่มไปเลย”
“พี่ใหญ่….”
เมื่อเห็นชอว์น่าโกรธ บาร์นนี่ก็รู้สึกผิดอย่างมาก
ใครจะไปสนล่ะว่าพวกมันเป็นขุนนางหรือไม่?
พวกเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ แต่พวกคนน่ารังเกียจเหล่านี้พยายามใช้เราเป็นโล่มนุษย์งั้นรึ?
ถุ้ย!
พวกเราทหารรับจ้างก็มีศักดิ์ศรี พวกเราจะยอมให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเราได้อย่างไร?
บางทีพี่ใหญ่อาจจะกลัวขุนนางพวกนี้ แต่ข้าไม่ใช่!
แม้ว่าพวกเขาจะมีเงินและอำนาจ แต่ข้าจะต่อสู้ด้สวยทุกอย่างที่ข้ามีจนกว่าจะตาย!
“ข้ายอมรับข้อเสนอ”
ในที่สุดชอว์น่าก็ตัดสินใจ ที่สุดแล้วอันเดดเหล่านั้นเป็นงานที่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังครุ่นคิดถึงวิธีในการเอาชนะเนโครแมนเซอร์บ้านั่นไม่ได้ เนื่องจากเด็กหนุ่มคนนี้มั่นใจอย่างมาก ทางที่ดีปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการ
“ผมต้องการให้ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งของผมอย่างไม่มีเงื่อนไข”
หลังจากที่ได้ยินคำตัดสินใจของชอว์น่า โรดส์เริ่มพูดอีกครั้ง ขณะที่เขามองไปยังทหารรับจ้างด้านหลังเธอด้วยสีหน้าสงบ
“ถ้าคุณเชื่อฟังคำสั่งของผม ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาชีวิตของพวกคุณ ไม่เช่นนั้น…ชีวิตของพวกคุณจะไม่เกี่ยวข้องกับผม”
เมื่อเขาพูดจบ โรดส์สังเกตสีหน้าของทหารรับจ้างหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังนักดาบสาวผมแดง
“ถ้าใครไม่ยินดีฟังคำสั่งของผม คุณสามารถลุกขึ้นยืนได้ ผมไม่อยากมีปัญหาระหว่างต่อสู้”
“ฮึบ!”
บาร์นนี่รู้ว่าโรดส์กำลังมองเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงถอนลมหายใจออกมา ในความคิดของเขา ขุนนางคนนี้พยายามคำขู่เพื่อให้พวกเขาแบ่งแยกทีม ดังนั้นเขาจะไม่ออกไปอย่างแน่นอน เมื่อเขาพบหลักฐานว่าขุนนางนั่นวางแผนอะไรไว้ เขาจะหยุดมัน
ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไรจากข้า ข้าจะไม่ให้เจ้าทำสำเร็จ!
ชายหนุ่มกำหมัดและสาบานกับตัวเองอย่างลับๆ
—
เมื่อรวมกลุ่มกับทีมของชอว์น่า ความเร็วในการจัดการกับอันเดดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในไม่ช้า พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ชั้นล่างของสุสานใต้ดิน
“ตูม! ตูม! ตูม!”
เสียงสายฟ้าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง อันเดดมากมายกระเด็นไปไกลและชิ้นส่วนของมันกระจัดกระจายลงพื้น
แท้จริงแล้ว พวกเขาแข็งแกร่งมาก…..
ขณะที่เธอเหลือบมองไปยังจอมเวทย์สาว ซึ่งถือคทากวัดแกว่งอย่างง่ายดายและขุนนางหนุ่ม โรดส์ ซึ่งออกคำสั่งอยู่ด้านหน้าอย่างใจเย็น ความสงสัยในตอนแรกของชอว์น่าเริ่มลดลง การหลอมรวมเวทมนตร์ของมาร์ลีนและคำสั่งที่ไหลลื่นของโรดส์เป็นการผสานงานที่สมบูรณ์แบบ เหล่าอันเดดที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ชอว์น่าและทีมของเธอเกือบเอาชีวิตไม่รอดถูกกำจัดอย่างง่ายดาย
ไม่มีข้อสงสัย พวกเขาแข็งแกร่งมาก…..
ชอว์น่าอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหมาล่าเนื้อสีดำที่ติดตามอยู่ด้านหลังโรดส์ เธอเคยดูการประเมินของโรดส์ เธอรับรู้ความแข็งแกร่งของโรดส์ในดันเจี้ยนได้ชัดเจนยิ่งกว่าตอนที่เธอเคยเป็นผู้ชม
“พวกเรามาถึงแล้ว”
แตกต่างไปจากชอว์น่าที่ฟุ้งซ่าน โรดส์ไม่เคยหยุดสนใจศัตรู หลังจากที่จัดการคลื่นอันเดดหลายต่อหลายกลุ่ม เขาตรวจสอบบริเวณรอบๆตลอดจากนั้นเขาเอาแหวนออกมาจากกระเป๋าของเขาและสวมลงบนนิ้ว หินผูกวิญญาณที่เขาได้รับมาจากบ้านผีสิงถูกฝังอยู่ที่หัวแหวน โรดส์ได้ตัดหินออกเป็น 3 ส่วนและใส่มันลงไปในแหวนเงินที่เขาหาซื้อมา โดยใช้ทักษะเล่นแร่แปรธาตุระดับต่ำของเขา
ขนาดของหินผูกวิญญาณสามารถบ่งบอกได้ถึงระดับของวิญญาณที่ถูกขังได้ ยกตัวอย่างเช่น หินก้อนเล็กไม่สามารถกักขังวิญญาณที่แข็งแกร่งได้ แต่ถ้าหินก้อนใหญ่เกินไปและวิญญาณดวงเล็ก มันจะเป็นการเสียเปล่า ตอนนี้หินมีขนาดพอดี และเหตุผลที่โรดส์นำหินผูกวิญญาณออกมานั้นเป็นอีกหนึ่งเรื่อง
วูซซซซซ!!
หมอกหนาทึบไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหมอกหายไป ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นมีเงาปรากฏขึ้นบนพื้น และพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว หากเป็นแต่ก่อน ทุกคนคงจะตกใจกับการโจมตีอย่างกระทันหัน แต่โรดส์ได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว มาร์ลีนเริ่มร่ายเวทย์อย่างบ้าคลั่ง เธอสร้างกำแพงลมปกป้องทีมเอาไว้และป้องกันไม่ใช่เงาดำเข้ามา
โครงกระดูกค่อยๆก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมา
“หิ หิ หิ หิ หิ….”
ในเวลาเดียวกันนั้น น้ำเสียงเย็นเยือกและคมกริบดังสะท้อนมาจากทุกทิศทางออกมาพร้อมกับรัศมีแห่งความชั่วร้ายและความตาย
“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเจ้าสามารถบุกมาถึงห้องของข้าได้…”
“เนโครแมนเซอร์!”
ชอว์น่าคำรามเสียงต่ำ จากนั้นเธอยกดาบขึ้น ไม่นานเปลวเพลงสีแดงอาบทั่วดาบ เป็นคุณสมบัติของอาวุธเวทมนตร์ธาตุไฟที่เธอได้รับมากเป็นเวลานาน มันถูกเรียกว่า ‘ดาบเผาไหม้’
“ฟังคำสั่งของผมและอย่าลืมคำพูดของผมก่อนหน้านี้”
เมื่อเปรียบเทียบสีหน้าของชอว์น่าที่ตึงเครียดกับโรดส์ที่สงบนิ่ง เขาถือเครื่องหมายแห่งดวงดาวไว้ในมือและหรี่ตามองหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปรอบตัวเขา ความมืดเริ่มหนาแน่นขึ้น มันเหมือนกัยผ้าม่านที่มองไม่เห็นและเหนี่ยวรั้งทุกคนในห้อง โลกของพวกเขากำลังจมสู่ความมืดมิด ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าการโจมตีครั้งถัดไปจะมาจากที่ไหน
อย่างไรก็ตาม โรดส์รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เขายกดาบขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยขึ้นเหนือหัว
วินาทีถัดมา ทุกคนพบว่าดาบของโรดส์เปล่งแสงทะลุผ่านความมืดราวกับหลอดไฟในยามค่ำคืน
คล้ายกับการเปิดเวทีโรงละคร ม่านแห่งความมืดถูกฉีกออก เนโครแมนเซอร์ ซึ่งสวมชุดคลุมสีดำกำลังถอยหลังไปอย่างน่าสังเวช ในมือของมันถือไม้เท้าที่ทำขึ้นจากโครงกระดูก ตอนนี้ มันมองโรดส์ด้วยสีหน้าตกใจ
เด็กหนุ่มคนนี้มองทะลุศิลปะแห่งความมืดของเขาได้งั้นรึ?
แต่โรดส์ไม่สนใจว่าเนโครแมนเซอร์จะหาคำตอบอย่างไร? ในวินาทีถัดมา โรดส์ยกดาบขึ้นอีกครั้งและฟันลงไปทันที
“ทำตามแผน!”