Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 90
90 – เดินหน้าเพื่อถอย
หลังจากสังเกตเห็นความสงสัยในใบหน้าของแต่ละคน โรดส์รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“พวกเราไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะกลับทางเดิม”
“อันเดดแต่ละตัวนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่พวกมันไม่เก่งมาก เมื่อพวกมันวิ่งมาเป็นฝูง และเนื่องจากกลุ่มของพวกเราใหญ่ขึ้น พวกเราจะต้องเพิ่มระยะการป้องกันและนั่นหมายถึงพวกเราต้องเจอกับศัตรูที่มากขึ้น ถ้าพวกเรายังคงเดินหน้าต่อ แม้ว่าความแข็งแกร่งของอันเดดจะเพิ่มขึ้น แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่โดยรุมแบบก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น อันเดดระดับสูงมักอยู่ตัวเดี่ยวๆ และไม่รวมตัวกัน ทำให้พวกเรามีโอกาสรอดมากขึ้น”
“แต่อันเดดระดับสูงมีพลังในการสั่งการอันเดดระดับต่ำ…”
เห็นได้ชัดว่าเซเร็ครู้เกี่ยวกับพวกอันเดดมาบ้าง
“ไม่ต้องกังวลไป มันจะไม่เกิดขึ้น”
โรดส์ถือดาบและวาดแผนที่บนพื้น อันดับแรก เขาวาดวงกลม จากนั้นตามด้วยเส้น
“พวกเราอยู่ที่นี่ โชคดีสถานที่แห่งนี้อยู่ในช่วงรอยต่อ ดังนั้นพวกเราสมควรออกจากที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าพวกเราเร่งคงวามเร็วอีกหน่อย จากนั้นพวกเราจะผ่านตรงนี้….”
โรดส์ชี้ไปยังเส้นที่มใกล้รอยต่อและพูดต่อ
“จากนั้นพวกเราจะมาถึงพื้นที่อีกส่วนหนึ่งของสันเขา มีหุบเขาอยู่ที่นี่ ตราบเท่าที่พวกเราผ่านหุบเขานี้ไปได้ พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
คุดลาอดสงสัยไม่ได้ เขามองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา สิ่งที่บอกมานั้นมันไม่มีเหตุผลเลย
“เพราะว่าผมเคยมาที่นี่แล้ว”
เหมือนกับปกติ โรดส์ไม่ได้บอกรายละเอียดและตอบกลับคุดลาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มีอันเดด 2 ประเภทที่หุบเขาแห่งนี้ ตัวแรกคือโครงกระดูกยักษ์…ผมเดาว่าพวกคุณส่วนใหญ่คงถึงภาพมันออกตามชื่อนะ มันมีโครงกระดูกเพลิงขนาดใหญ่ที่มีพละกำลังทหาศาล ซึ่งความแข็งแกร่งของมันทำให้ขาดความคล่องตัว”
“มันมีความสามารถพิเศษในการทำลายตัวเองในวินาทีสำคัญ แม้ว่าการต่อส้จะดูเหมือนจบแล้ว อย่าคิดว่าคุณชนะแล้ว ชิ้นส่วนกระดูกยังสามารถโจมตีได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้เชื่อมต่อกับร่างต้น แต่มันก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน มีดวงวิญญาณไฟซ่อนอยู่ในกระโหลกของมัน ดังนั้นตราบเท่าที่พวกเราสามารถบดขยี้กระโหลกของมันได้ พวกเราจะสามารถเอาชนะมอนสเตอร์ตัวนี้ได้ โครงกระดูกยักษ์ไม่ได้มีความฉลาดมากนัก ถ้าพวกเราประสานงานกันและหลบการโจมตีของมันได้ พวกเราจะสามารถเอาชนะมันได้”
โรดส์อธิบายถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของโครงกระดูกยักษ์อย่างชัดเจน เซเร็คและคุดลาพยักหน้าอย่างเข้าใจเรื่องวิธีในการจัดการมัน
“ต่อมา ใกล้กับทางออกหุบเขาเป็นอาณาเขตของอัศวินแห่งความตาย”
โรดส์ใช้ดาบของเขาวาดวงกลมอีกวง
“อัศวินแห่งความตายนั้นทรงพลังมาก คุณลองจินตนาการว่าความแข็งแกร่งของมันใกล้เคียงกับคุณเซเร็คและอย่างที่คุณเซเร็คพูดก่อนหน้านี้ มันเป็นอันเดดระดับสูงซึ่งมีความสามารถในการควบคุมอันเดดระดับต่ำ ลูกสมุนที่มันสั่งการได้นั้นคือพวกโครงกระดูกยักษ์”
มือของโรดส์หยุดลง
“ซึ่งเป็นเหตุผลว่าพวกเราต้องจัดการโครงกระดูกยักษ์ทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่าโครงกระดูกยักษ์จะไม่สามารถส่งโทรจิตเตือนอัศวินแห่งความตายได้ ถ้ามันถูกโจมตีหรือการต่อสู้ดังเกินไป อัศวินแห่งความตายจะสัมผัสได้ถึงพวกเรา….จากนั้นใครก็คงเข้าใจนะว่านี่แหละปัญหา”
คุดลาประหลาดใจเล็กน้อยและอดเห็นด้วยกับกลยุทธ์ของโรดส์ไม่ได้ ตอนแรกเขาคิดว่าโรดส์จะเด็กเกินไปที่จะเป็นผู้บัญชาการ แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้ยินรายละเอียดในการจัดการกับมอนสเตอร์และวิธีการเอาชนะพวกมัน ความสงสัยทั้งหมดของเขาหายไปในทันที
โรดส์เผยคำแนะนำที่ทั้งกลุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้อแรก เขาอธิบายการโจมตีของศัตรูและสอนวิธีรับมือกับการโจมตีเหล่านี้ เขาบอกถึงรายละเอียดของสกิลที่พวกเขาต้องใช้ ซึ่งเป็นทักษะที่น่าชื่นชมและเป็นสิ่งที่มีสาระอย่างมาก
ณ สถานที่แห่งนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าเขาไม่มีความรู้เท่ากับโรดส์เพราะเขารู้ว่าไม่มีหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างคนใดใช้วิธีการแบบนี้ ส่วนใหญ่หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างทั่วไปจะมอบตำสั่งให้โจมตี ป้องกันหรือถอย และคุดลาเชื่อว่านั่นเป็นวิธีในการสั่งการกลุ่มทหารรับจ้าง เขารู้ว่าจุดที่ยากที่สุดในการสั่งการคือความเร็วปฏิกิริยาของหัวหน้ากลุ่มและความเข้าใจคำสั่งของลูกน้อง อย่างไรก็ตาม โรดส์ได้เปิดโลกใหม่ให้กับเขา
คุดลาตกใจอย่างมาก มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการออกมาได้
ทหารรับจ้างแต่ละคนมีระดับสกิลแตกต่างกัน และสไตล์การต่อสู้ยังไม่เหมือนกัน ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้สั่งการจะบอกให้พวกเขาทำทีละขั้นตอน
ไม่ต้องสงสัยเลยถ้าคุดลาเป็นผู้เล่น เขาคงเป็นจอมปลวกที่อยู่ในรัง สำหรับโรดส์ที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าที่จะต่อสู้กับบอส ผู้เล่นทุกคนจะต้องเตรียมพร้อม
“เอาล่ะ เข้าใจแล้วนะ”
โรดส์ปรบมือ
ย้อนกลับไปในเกม หลังจากที่เขาสั่งการ โรดส์มักจะพูดบางอย่างเพิ่มเติม เช่น “ถ้าพวกคุณไม่สนใจ ผมจะเตะคุณออกไป” แต่เนื่องจากตอนนี้เขาไม่ได้เล่นเกม ถ้ามีบางสิ่งผิดพลาด มันไม่สามารถย้อนกลับมาได้
โรดส์ไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับพวกคนตาย
หลังจากจบการพูดคุยกับเซเร็คและคุดลา โรดส์เข้าไปรวมตัวกับทุกคน และอธิบายอันตรายที่พวกเขาจะเจอ รวมถึงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน ในครั้งนี้ รูปแบบกลุ่มจะแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย โรดส์ ซีเลียและเซเร็คจะเป็นหน่วยโจมตีหลัก ในขณะที่แอนจะรับหน้าที่ป้องกันเหล่านักบวช สำหรับเหล่าทหารรับจ้าง พวกเขาไม่ได้รับหน้าที่หนักมาก เนื่องจากโรดส์ไม่คุ้นชินกับพวกเขา กลับกันเขาเตรียมให้คนพวกนั้นร่วมมือกันป้องกันจากด้านหลังร่วมกับคุดลา เนื่องจากเขาได้บอกวิธีการจัดการกับโครงกระดูกยักษ์ไปแล้ว โรดส์มองเห็นว่าคุดลาเป็นคนฉลาด ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหา
อย่างไรก็ตาม มีสองจุดใหญ่ๆที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้
“แล้วฉันล่ะ? ฉันไม่ต้องไปโจมตีหรอ?”
มาร์ลียขมวดคิ้ว
“เวทย์วงกว้างของคุณจะส่งผลเป็นวงกว้าง มันรบกวนคนอื่นๆ เป้าหมายของพวกเราคือการจบการต่อสู้โดยใช้เวลาน้อยที่สุด และไม่ดึงความสนใจมาที่พวกเรามากเกินไป”
“ฉันก็เห็นด้วย….”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของโรดส์ มาร์ลียพยักหน้า จากนั้นเธอเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ให้ฉันร่ายเวทย์ใบ้ล่ะ? ถ้าทำแบบนั้น ฉันสามารถป้องกันไม่ให้ศัตรูได้ยินเสียงได้นะ”
โรดส์ประหลาดใจอย่างมาก
“คุณสามารถร่ายเวทย์ใบ้ได้เหรอ?”
“แน่นอน!”
มาร์ลีนพยักหน้ารัวๆราวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก
“แต่คุณเป็นจอมเวทย์ธาตุไม่ใช่รึ?”
“ฉันชำนาญเวทมนตร์ธาตุ แต่ฉันก็ใช้เวทย์ลวงตากับเวทย์พื้นฐานได้นะ”
“…..”
โรดส์มองไปยังมาร์ลีนที่เงยหน้าขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ ในที่สุดโรดส์ก็เข้าใจเหตุผลที่ผู้คนเรียกเธอว่าจอมเวทย์อัจฉริยะในรอบร้อยปี….ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเลยมีผู้เล่นมากมายบ่นเรื่องที่ไม่สามารถเอาชนะเธอได้ อาจะเรียกได้ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นหนึ่งในร่างก็อปปี้ของบอสเลยก็ว่าได้
“ไอ้หนู ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากให้ข้า….”
วอร์คเกอร์จับคางของเขาและเผยแววตาซับซ้อน หน้าที่ของเขาก่อนหน้านี้คือการมองหาและแกะรอยศัตรูจากระยะไกล เรียกได้ว่าเขาไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้เลย อย่างไรก็ตาม โรดส์ตัดสินใจว่าต้องใช้งานเขาในครั้งนี้
“เจ้าอยากให้ข้าไปล่อความสนใจของมอนสเตอร์ พวกมันประสาทสัมผัสไวไหม?”
“ไวสิ”
โรดส์พยักหน้า
“แต่ไม่ต้องกังวลไป ผมจะบอกสิ่งที่คุณต้องทำ”
สำหรับแอนและไลซ์ หน้าที่ของพวกเธอไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาไม่แม้แต้บอกไลซ์ถึงสิ่งที่ต้องทำ เพียงขอให้เธอควบคุมจักหวะการโจมตี ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบที่กำลังจะมาถึง แต่มันยังเป็นโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์มากขึ้น ไลซ์ยังคงทำหน้าที่โจมตีได้อย่างคงเส้นคงวา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเธอมากนัก
โรดส์ไม่ได้พูดอะไรกับแอนมากเช่นกัน แต่เขาเข้าใจเหตุผลที่รองหัวหน้ามาร์คไวท์อยากหาโอกาสไล่เธอออก วิธีที่เธอแสดงความคิดเห็นออกมานั้นตรงเกินไป ทหารรับจ้างส่วนใหญ่กำลังมองมาที่เธอตอนนี้ ทิ้งไว้เพียงโจรลูกครึ่งเอลฟ์ที่เคยคิดจะฆ่าเธอ ถ้ามีโอกาส
จนถึงตอนนี้ ภายใต้บรรยากาศที่ดึงเครียด แอนยังคงฮัมเพลงออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าจะเป็นเรื่องไม่ตั้งใจ แต่ต้องบอกว่า….เธอเหมาะสมกับตำแหน่งแทงค์อย่างมาก วิธีที่เธอแสดงออกมานั้นดุดันและแข็งกร้าวมาก
หลังจากออกมาจากโขดหิน ลมเย็นๆพักเข้ามา ทำให้ทุกคนหนาวสั่น
“ไปกันเถอะ”
โรดส์พูดเสียงเรียบ ขณะที่เขาเดินออกจากถ้ำตามมาด้วยคนอื่นๆ
บางทีทเทพธิดาแห่งโชคก็เข้าข้างพวกเขา พวกเขาเดินผ่านป่าโดยไม่พบกับเหตุการณ์ใดๆ และเมื่อพวกเขาออกจากป่า ทุกคนรู้สึกโล่งอก แต่ก่อนที่พวกเขาจะผ่อนคลาย พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใหม่
ตูม! ตูม! ไลซ์ร่ายแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมมาทันที ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ขอบหน้าผา เมื่อมองไปที่เงาด้านล่างที่กำลังเดินไปมาในหุบเขา ทุกคนรับรู้ได้ทันทีเมื่อพวกเขาเห็นมอนสเตอร์
โครงกระดูกยักษ์
เหมือนกับชื่อของมัน พวกมันเป็นโครงกระดูกไม่มีเนื้อ พวกมันสูงประมาณ 3 เมตรและโครงกระดูกของพวกมันไม่ได้ดูอ่อนแอแต่อย่างใด แต่พวกมันทั้งหมดเดินวนไปมารอบๆหุบเขาอย่างไร้ซึ่งความคิด หัวขนาดใหญ่ของมันหมุนไปรอบๆตลอดเวลา ด้านในนั้นเผยให้เห็นดวงไฟที่มอบชีวิตให้กับมัน มันสว่างราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็ก เปล่งแสงสีเขียวสว่างไปรอบหุบเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง พวกเขาจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่?
ไม่มีใครมั่นใจ
“โอเค ฟังผมดีๆนะ”
โรดส์สูดลมหายใจเข้าและพูดเสียงต่ำ เขาหันไปรอบๆและส่งสัญญาณให้ชายชราวอร์คเกอร์
วอร์คเกอร์ก้มลงอย่างรวดเร็วและเดินไปข้างหน้า เงาทั้งสองก้าวตรงไปยังโขดหินใกล้ๆหุบเขา
“ยิงธนูไปที่นั่น จำไว้นะ ห้ามยิงโดน ยิงแค่เฉียดๆ ประมาณ 5 เมตรพอ”
“ได้”
ชายชราวอร์คเกอร์พยักหน้า จากนั้นเขาดึงคันธนูออกมาและเล็งไปที่เป้าหมาย ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายไป ขณะที่เขากำลังเล็ง
เมื่อโครงกระดูกยักษ์มองกลับไปและเดินไปอีกฟากหนึ่งของหุบเขา โรดส์ตะโกน
“ตอนนี้แหละ!!”