Summoning the Holy Sword - ตอนที่ 81
81 – มุ่งหน้าสู่สันเขาแห่งความเงียบ
ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นในวันที่สอง โรดส์มาถึงทางเข้าเมืองดีพสโตนพร้อมด้วยกลุ่มของเขา เซเร็คที่อยู่ในชุดเกราะหนังทั่วไปและดาบเวทมนตร์ แม้ว่าเขาจะมาถึงก่อน แต่ในขณะนั้นเซเร็คเองก็ถือว่าเป็นทหารรับจ้าง เมื่อมองเห็นการมาถึงของโรดส์ เซเร็คก้าวออกมาและโบกมือให้เขา
“เจ้ามาตรงเวลาดีนี่”
เซเร็คพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาเหลือบมองไปยังไลซ์ มาร์ลีนและชายชราวอร์คเกอร์ ดวงตาของเขามาหยุดอยู่ที่แอน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทว่าเขาคืนสติอย่างรวดเร็วและทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนเจ้าจะพร้อมแล้วนะ”
“ใช่ครับ”
โรดส์ตอบเสียงเบาๆ
ในขณะที่ทั้งกลุ่มดูสงบนิ่ง เมื่อโรดส์ทิ้งระเบิดลงเมื่อคืน ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน
ไลซ์กังวลเรื่องความปลอดภัยของคนในกลุ่ม
มาร์ลีนตกใจด้วยความตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่าสันเขาแห่งความเงียบคือที่ไหน
ชายชราวอร์คเกอร์บ่นโรดส์ว่ากำลังพาคนทั้งกลุ่มไปตาย
และแอนที่ไม่ออกความเห็น มันไม่สำคัญว่าเธอจะไปที่ไหน ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนขี้เกียจ ดังนั้นปฏิกิริยาของเธอจึงเหมือนกับกำลังไปออกทริปท่องเที่ยว
“คนที่ผมขอมาล่ะครับ?”
“พวกเขาอยู่นี่แล้ว”
เซเร็คโบกมือไปยังเด็กสาวทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหลังของเขา คนแก่ที่สุดอายุราว 25 ปีและเด็กที่สุดอายุประมาณไลซ์
แตกต่างไปจากทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์ นักบวชทั้งสี่คนเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวออกมาอย่างชัดเจน มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักบวชมากมายจะถูกขอให้มาเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างเพื่อออกผจญภัย ไลซ์เป็นข้อยกเว้นพิเศษ
“ทั้งหมดสามารถร่ายเวทย์รักษาและบาเรียได้ เอาบ่ะไอ้หนู ข้าต้องเตือนเจ้าก่อนว่าพวกเขาเป็นคนของสมาคมทหารรับจ้าง แม้ว่าเพื่อนของข้าจะฝืนตัวเองให้ยอมรับข้อเสนอของเจ้า แต่มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถส่งพวกเขาไปตายได้ ข้าอยากให้มันชัดเจนตรงนี้…ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กพวกนี้ ข้าจะออกมาพร้อมกับพวกเขาทันที แต่ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เจ้าไว้ใจพวกเขาได้”
“ไม่มีปัญหา”
เมื่อได้ยินคำเตือนของเซเร็ค โรดส์ไม่ได้พูดอะไรและขอบคุณเขา จากนั้นเขาเดินตรงไปยังนักบวชทั้งสี่คนที่มองมาที่เขาด้วยความสงสัยและไม่สบายใจ บอกตรงๆพวกเขาไม่อยากออกเดินทางไปด้วย แต่ในฐานะสมาชิกของสมาคม พวกเขาต้องทำตามคำสั่ง
อีกอย่างนักบวชพวกนั้นบอบบางกว่าเหล่าจอมเวทย์มากนัก
“ผมคิดว่าคนของคุณควรระมัดระวังสถานที่ที่พวกเรากำลังจะไปนะ” โรดส์เมินเฉยต่อสายตาของพวกเขาและพูดเสียงเรียบ “พวกคุณควรรู้ไว้ว่าที่นั่นอันตรายมากและคุณอาจตายได้ อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่คุณทำตามคำสั่งของผม ผมจะปลอดภัย”
โรดส์กางมือออก
“โปรดทำตามคำสั่งของผม ถ้าผมบอกให้คุณทำอะไร แค่ทำมันและเชื่อในผลลัพธ์ ถ้าคุณทำตามที่ผมพูด คุณจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายใดๆ ผมเข้าใจสถานการณ์ของพวกคุณในตอนนี้ พวกคุณยังไม่เชื่อคำพูดของผม แต่ความจริงจะเป็นตัวพิสูจน์สิ่งที่ผมพูดออกไป และผมไม่อยากให้ใครฝ่าฝืนคำสั่งไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ผมหวังว่าจะไม่มีใครทำสิ่งที่ทำให้ผมลำบากใจ”
โรดส์หยุดไปชั่วขณะและกวาดตาไปมองนักบวชทั้งสี่คนซึ่งมีสีหน้าหลากหลาย
“ผมจะทิ้งพวกคุณไว้กับไลซ์ ถ้าคุณมีคำถามอะไร คุณสามารถถามเธอได้ ผมรู้ว่าบางคนในกลุ่มของคุณอาจจะแข็งแกร่งกว่าเธอ แต่กรุณาเชื่อมั่นใจทีมของผม ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ไปมากกว่าเธอ ถ้าคุณไม่อยากลำบาก ผมแนะนำให้ฟังคำแนะนำของเธอ”
โรดส์ไม่พูดต่อและเขาส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางได้ ในขณะนั้นเซเร็คเดินตรงเข้าไปหาโรดส์ด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“จริงๆ…ข้าว่าเจ้าพูดแรงกับเด็กสาวพวกนั้นเกินไปหน่อยนะ?”
“ผมไม่ได้สนใจในตัวของพวกเธอหรอก”
โรดส์ยักไหล่และส่ายศีรษะของเขา
“พวกเรากำลังออกไปทำภารกิจ นี่ไม่ใช่ทริปท่องเที่ยวหรือการออกเดทหรอกนะครับ ดังนั้นผมไม่มีเวลามาสนใจว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่….ผมสนใจอย่างเดียวคือให้พวกเขาทำตามคำสั่งของผม หลังจากจบภารกิจผมไม่สนใจอะไรในตัวพวกเขาหรอกครับ”
“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก” เซเร็คยิ้ม “สิ่งที่คุณพูดไปดูคล้ายกับพวกทหารเลยนะ”
“งั้นหรอครับ?”
เมื่อได้ยินการเปรียบเทียบ โรดส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวที่ต้องเจอเมื่อออกทำภารกิจ….ดีละ ในความคิดของข้า ข้าเป็นเพียงทหารรับจ้างธรรมดาไม่มีทักษะการพูดแบบนั้นหรอก”
โรดส์ไม่ตอบ ขณะเดียวกันเขาหันกลับและเดินตรงไปยังรถม้า
สันเขาแห่งความเงียบไม่ใช่ที่ที่อยู่ใกล้เมืองดีพสโตน ยิ่งไปกว่านั้นมีหลายคนในกลุ่มที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินทาง ดังนั้นเซเร็คจึงจัดเตรียมกองคาราวานไว้ให้ในการเดินทาง รถม้ามีทั้งหมด 6 ล้อและใช้ม้าทั้งหมด 8 ตัวในการลาก เนื่องจากสมาคมทหารรับจ้างไม่เข้มงวดเหมือนกับทหาร รถม้าเหล่านี้ถูกใช้ในการเดินทางของสมาชิกในสมาคมซะส่วนใหญ่
แม้ว่าจะมีลมแรงที่สันเขาแห่งความเงียบ สมาคมทหารรับจ้างห้ามไม่ให้ใช้เรือบินในการเดินทางครั้งนี้ เหตุผลนั้นง่ายมาก ข้อแรกเพราะว่าเกิดการโจมตีเรือบินพ่อค้าขึ้นเร็วๆนี้ เรือบินนั้นตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย ข้อสองคือที่นั่นไม่มีท่าเรือและโรดส์และผู้ติดตามของเขาไม่เคยมีประสบการณ์จากการกระโดดจากที่สูง โลกนี้ไม่มีร่มชูชีพ และแม้ว่าพวกเขาจะลงพื้นได้อย่างปลอดภัย พวกเขาอาจจะถูกกินโดยอันเดดพวกนั้น
การตายก่อนทำภารกิจให้สำเร็จถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรแก่การทำตาม
ดังนั้นแม้ว่ากองคาราวานจะช้ากว่า แต่มันปลอดภัยกว่าเรือบินมากนัก
โชคร้ายสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ตลอด
ถนนมุ่งหน้าสูงสันเขาแห่งความเงียบนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก มันเต็มไปด้วยทางขรุขระและยากลำบากและเกือบจะไม่มีใครกล้าเดินทางไปยังดินแดนร้างเหล่านั้น แม้ว่าไลซ์และชายชราวอร์คเกอร์จะเคยเป็นทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์มาก่อนยังไม่กล้ามาที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงมาร์ลีนและนักบวชทั้งสี่คน พวกเขาไม่สนใจภาพลักษณ์ของพวกเขาอรกต่อไป พวกเขาล้มกลิ้งออกมาจากรถม้าและอ้วกออกมา แต่มีบางคนที่แปลกประหลาด แอนยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง เธอเป็นคนเดียวที่หลับอยู่ที่มุมรถม้า
ตามแผนเดิมของพวกเขา หลังจากที่มาถึงสันเขาแห่งความเงียบ ทั้งหมดจะต้องออกเดินทางทันที แต่ที่ไหนได้ทุกคนในตอนนี้มึนเมาไปกับการเดินทางอย่างมาก แข้งขาของพวกเขาอ่อนยวบ พวกเขาไม่แม้แต่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู….ซึ่งเป็นนักบวชทั้งสี่คน โรดส์และเซเร็คไม่มีทางเลือก ครึ่งหนึ่งของพวกเขาทั้งหมดจำเป็นต้องพัก
“หวังว่าคนพวกนั้นจะสามารถต้านไว้ได้จนกระทั่งพวกเราไปถึงนะ”
โรดส์กระซิบกับตัวเองและมองไปยังกลุ่มก้อนเมฆที่ดำมืดอยู่เหนือป่า
ค่ำคืนผ่านมาถึง แต่ป่านี้กลับแปลกมาก ไม่มีเสียงของสัตว์ดังออกมาแม้แต่ตัวเดียว
โรดส์รู้แล้วว่าอะไรอยู่ตรงหน้า มันไม่มีอะไรเลยนอกว่าออร่าแห่งความตาย เขาได้แต่หวังว่าคนพวกนั้นจะอยู่รอดจนกระทั่งพวกเขาไปถึง
แต่โรดส์ไม่เชื่อในความสามารถของพวกเขาในการเอาชีวิตรอด เขาเคยมีประสบการณ์มากมายคล้ายกับภารกิจนี้ในเกม ส่วนใหญ่ NPCs จะยอมจำนนต่อความตาย ก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง ซึ่งมันส่งผลอย่างมากต่อความพยายามของโรดส์ที่ต้องต่อสู้เข้าไปจนถึงจุดช่วยเหลือ
“ไม่ต้องกังวลไป”
เซเร็คมองโลกในแง่บวกและพูดขึ้น
“ข้ารู้จักหัวหน้าของวิคตอเรียส ไวน์ดี เขาเป็นชายหนุ่มที่รอบคอบมากคนหนึ่ง เขาไม่มาตายง่ายๆหรอก แม้ว่าโอกาสในการรอดชีวิตจะเข้าใกล้ศูนย์ พวกเราก็ต้องทำเต็มที่เพราะพวกเราคือสมาคมทหารรับจ้าง”
ความรับผิดชอบ
โรดส์ไม่ได้ตอบเซเร็ค สมาคมทหารรับจ้างแสดงออกมาว่าเป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง และพวกเขาเต็มไปด้วยกลุ่มทหารรับจ้างระดับสูง อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีอำนาจในการยุบกลุ่มทหารรับจ้างเพื่อยกระดับของตัวเอง พลังและความรับผิดชอบเป็นของคู่กัน เหล่าทหารรับจ้างจะต้องรับคำสั่งของสมาคมและในทางกลับกันสมาคมจะคอยช่วยเหลือเหล่าทหารรับจ้างเป็นการตอบแทน
การร้องขอกำลังเสริมจากสมาชิกที่น่ารังเกียจของสมาคมนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หรือตายไปแล้ว เมื่อสมาคมทหารรับจ้างได้รับคำร้อง พวกเขาจะต้องส่งคนออกไปช่วยเหลือ
สิ่งนี้แสดงถึงความน่าเชื่อถือและความยึดมั่นอันแรงกล้าที่มีต่อสัญญา ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่กลุ่มทหารรับจ้างส่วนใหญ่กล้าออกไปผจญภัยก็เพราะเรื่องนี้
ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่ประเมินราคาไม่ได้
“ฉัน…ฉันเดินต่อไม่ไหวแล้ว ไลซ์”
มาร์ลีนพักที่ต้นไม้ ขาของเธออ่อนแรงลงราวกับเยลลี่ หัวของเธอหมุนไปมาราวกับไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป สิ่งปฏิกูลเปอะเปื้อนไปทั่วร่างของเธอ ความรู้สึกที่แย่กว่าต้นไม้เวทมนตร์ที่เธอเคยกิน เธอเงยหน้าขึ้นและอาเจียนออกมา ในขณะที่ไลซ์ร่ายเวทย์ช่วยบรรเทาอาการของเธอ
“อดทนไว้มาร์ลีน หายใจเข้าลึกๆ พักสักหน่อยนะ”
“หายใจเข้าลึกๆ…อ็อกกกกกก….!!!”
ร่างของมาร์ลีนก้มลงและลำคอของเธอสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
….ดูเหมือนว่าเธอจะอ้วกสิ่งที่เธอกินไปเมื่อคืนออกมาหมดเลย
นักบวชคนอื่นเองก็ไม่ดีไปกว่ามาร์ลีน โชคดีที่พวกเธอร่ายเวทย์รักษาได้ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเธอซีดเซียวเป็นอย่างมากและล้มตัวลงนอนลงไปที่พื้นอย่างเหนื่อยล้า ถ้าใครมาเห็นภาพตรงหน้า พวกเขาอาจจะไม่เชื่อว่าคนเหล่านี้จะมาเผชิญหน้ากับเหล่าอันเดด
“หาววววว….”
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเดินทางครั้งนี้
แอน
เธอหาวออกมาขณะที่ปีนลงจากกองคาราวานและยืดร่างกาย หลังจากยืดเส้นยืดสายเสร๋จ เธอมองไปยังคนเหล่านั้นด้วยแววตาแปลกใจและพบว่าเด็กสาวทั้งหมดจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาคมกริบ
มันช่วงไม่ยุติธรรม…
จากนั้นเธอหันไปหาโรดส์และพูดขึ้น “อ่า หัวหน้า พวกเรามาถึงแล้วเหรอ? เมื่อไหร่พวกเราจะออกเดินทางล่ะ?”
“3 ชั่วโมงนับจากนี้ ให้พวกเขาพักกันหน่อย”
เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่มีพลังงานเต็มเปี่ยม โรดส์รีบชี้ไปที่จุดตั้งแคมป์อย่างรวดเร็วและตอบ
“คุณเองก็ควรไปหาอะไรกินและพักบ้าง จากนี้ไปพวกเราจะเริ่มภารกิจแล้ว อย่าลืมหน้าที่ของตัวเอง”
“แน่นอน…รับประกันได้หัวหน้า เมื่อแอนอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีปัญหาแน่นอน!”
หลังจากตอบเขา แอนฮัมเพลงและเดินไปยังจุดตั้งแคมป์และหยิบเนื้อออกมาจากกระเป๋า 2-3 ชิ้นและเริ่มย่างกินที่แคมป์ไฟ เมื่อเทียบกับเด็กสาวคนอื่นๆที่เหลือพลังงานไม่ถึงครึ่งของเธอ มาร์ลีนที่เฉียดตายและกลุ่มของเธอ ที่ตอนนี้อยูีในสภาพตรงกันข้าม
“ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าจะรับเธอ”
เซเร็คหยิบแก้วน้ำร้อนออกมา 2 ใบและนั่งข้างโรดส์ ในขณะเดียวกัน เขาส่งแก้วใบหนึ่งให้โรดส์
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีหลายเรื่องซ่อนอยู่สินะ”
“คุณรู้จักแอนเหรอ?”
“ข้าเคยเจอไม่กี่ครั้งหรอก นิสัยของเธอค่อนข้างสร้างปัญหา ความสามารถของเธออยู่ในระดับสูงเลยล่ะ อย่าตัดสินจากความว่าง่ายของเธอ เพราะว่าเมื่อเธอเอาจริง เด็กสาวคนนี้ทรงพลังอย่างมาก”
“ผมเองก็เห็นด้วย”
เขาไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของแอนมากนัก แต่เมื่อมองที่ความสามารถจากการทดสอบรับเข้ากลุ่ม เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าความสามารถของเธอเป็นของจริง และ….
“คุณรู้เกี่ยวกับอดีตของเธอรึเปล่าครับ?”
ด้วยร่างผอมเพียวนั้น แอนสามารถหยิบโล่ขึ้นมาได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวและขว้างออกไปได้ โรดส์ได้แต่สงสัย เขาคิดว่าค่าสถานะ Vit และ Str ของเขาค่อนข้างสูงแล้วนะ แต่การหยิบโล่ที่มีน้ำหนักหลายสิบกิโลออกมาถือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่จะมาที่นี่ โรดส์ได้มอบโล่หัวใจศิลาที่เขาได้มาจากก้อนหินแห่งความโดดเดี่ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีให้กับเธอและโล่นั้นแน่นอนว่าไม่ได้มีน้ำหนักเบาๆ
แอนนั้นดีใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้รับโล่เวทมนตร์ เธอวิ่งเข้ามากอดและจูบเขา นั่นทำให้โรดส์ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แต่เนื่องจากเป็นนิสัยของเธอ เขาทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย
“ข้าก็บอกได้ไม่หมดหรอกนะ แต่ข้ารู้มาว่ากลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์พบเธอที่ภูเขา ในขณะนั้น เธออายุเพียง 1-2 ปี และเธออยู่ร่วมกับสัตว์ป่า นั่นทำให้ชายคนหนึ่งนำเธอออกมาและรับเธอมาเลี้ยง ดูเหมือนว่านรกจะไม่ใช่ที่ของเธอ….เท่าที่ข้านึกได้เธอจะกัดคนที่แตะต้องเธอและชายคนนั้นถูกกัดไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”
“บอกตรงๆ มีคนมากมายบอกเขาให้ขายเธอ บ้างก็ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บเธอเอาไว้ แต่ชายคนนั้นก็ดันทุรังและยืนกรานจะเก็บเธอไว้ ท้ายที่สุดเธอสอนให้เธอพูด เขียนและเรียนรู้เหมือนกับมนุษย์ บางทีจนถึงตอนนั้น เขาคงคิดว่าเธอเปรียบเสมือนลูกสาวของเขา เด็กค่อยๆโตขึ้นและกลายเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่นิสัยของเธอ….ยังไงก็เถอะ ข้าได้ยินทุกสิ่งเกี่ยวกับมาร์คไวท์และการออกมาถือเป็นเรื่องดี ความแข็งแกร่งของเด็กคนนั้นหาตัวได้ยากนัก ข้าเคยสงสัยว่าชาติกำเนิดของเธออาจจะเป็นบาบาเรี่ยน(คนเถื่อน) แต่….”
จากนั้นเซเร็คยิ้มออกมา
“ข้าไม่เคยได้ยินบาบาเรี่ยนที่มีหุ่นผอมเพียวขนาดนี้มาก่อนในชีวิตของข้า ถ้าเธอเป็นคนแคระ เธอก็สูงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังสวยด้วยสิ”
เซเร็คหยุดและสีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“เอาล่ะ เรื่องคุยเอาไว้แค่นี้ก่อน กลับมาที่เรื่องที่จะเกิดขึ้นก่อน ข้าอยากรู้วิธีที่เจ้าจะพาพวกเราเข้าไปในสันเขาแห่งความเงียบได้อย่างปลอดภัย เจ้าบอกแค่ว่าเจ้าคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี….ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเจ้า ในฐานะที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ข้าอยากรู้แผนของเจ้า”
“แน่นอน ไม่มีปัญหา”
โรดส์เงยหน้าขึ้นและเผยให้เห็นสีหน้ามั่นใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน
มันไม่ใช่การแสดง เขามีประสบการณ์ทำให้เขามั่นใจอย่างมาก ย้อนกลับไปในเกม สันเขาแห่งความเงียบเป็นดันเจี้ยนที่มีปัญหามาก ผู้เล่นมากมายได้เรียกมันว่า ‘ดินแดนแห่งการทำลายล้างกิลด์’ และใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้จะต้องเผชิญหน้ากับความตาย นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมทุกคนเลือกที่จะผ่านดันเจี้ยนนี้ เนื่องจากไอเทมที่ได้จากที่นี่เรียกได้ว่าน้อยมาก และตัวดันเจี้ยนเองก็แข็งแกร่ง นั่นทำให้ไม่มีผู้เล่นอยากที่เข้าไปลุย
ในฐานะราชาแห่งเฟิร์สคิลในเกม โรดส์จบดันเจี้ยนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยและสร้างรูปแบบที่บรรดาผู้เล่นเรียกกันว่า ‘รูปแบบ 9+1’
สำหรับรูปแบบ 9+1 นั้นประกอบไปด้วยนักบวช 9 คนและผู้เล่นที่มีระยะโจมตี AOE(โจมตีระยะกว้าง) ในดันเจี้ยน โรดส์จะป้องกันเหล่านักบวชและใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์สังหารเหล่าอันเดด
ยังไงก็ตาม สันเขาแห่งความเงียบที่เคยถูกเรียกว่า ‘ดินแดนแห่งการทำลายล้างกิลด์’ ได้กลายมาเป็นสถานที่ฟาร์มค่าประสบการณ์สำหรับเหล่านักบวช เนื่องจากพวกเขาเป็นคลาสสายสนับสนุน มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเลื่อนระดับกับผู้เล่นคนอื่นในดันเจี้ยนหรือการจัดการสันเขาแห่งความเงียบด้วย ‘รูปแบบ9+1’ ดังนั้นดันเจี้ยนนี้จึงกลายมาเป็นจุดเก็บระดับหลักของเหล่านักบวช เมื่อพวกเขาอยากจะเป็นผู้เล่นสาย PK หรือ PvE ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถจบสันเขาแห่งความเงียบได้อย่างลื่นไหล พวกเขาจะได้รับสกิลและค่าประสบการณ์มากมายจากที่นี่
ในฐานะหัวหน้ากิลด์ โรดส์เคยพาพวกนักบวชมาเก็บระดับที่นี่และฝึกฝนในดันเจี้ยน สำหรับตัวเขาเอง เขาสามารถหลับตาเดินผ่านสถานที่นี้ได้อย่างง่ายดาย
มีเรื่องสำคัญที่มาก ซึ่งครั้งหนึ่ง เขาได้นำเหล่านักบวชเข้ามาเคลียร์ดันเจี้ยนและในด่านสุดท้าย บอสไม่ปรากฎตัวขึ้น นี่ทำให้เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ออกจากดันเจี้ยนเพื่อรีเซ็ตมหท่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้เล่นมากมายบอกว่าบอสถูกสังหารโดยโรดส์มากเกินไปจนกลัวเขาไปในที่สุด
นั่นเป็นเหตุผลแม้ว่าหลายคนจะหวาดกลัวการเข้าสันเขาแห่งความเงียบนี้ แต่โรดส์ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวต่อสถานที่แห่งนี้อีกแล้ว
ครั้งนี้ โรดส์ได้นำนักบวชมาด้วย 5 คนซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ ‘รูปแบบ 9+1’ แต่เขาไม่ได้กังวลแต่อย่างไร เขาเป็นคนพัฒนารูปแบบนี้ขึ้นมาเอง ดังนั้นเขารู้จุดเข้าและออกทั้งหมดของแผนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสมาคมทหารรับจ้างยังไม่สามารถมอบนักบวชให้เขา 8-9 คนได้ในคราวเดียว แค่ 4 คนก็ถือว่าเต็มที่แล้ว ไลซ์ที่มีสายเลือดทูตสวรรค์สามารถแทนที่ช่องว่างได้ถึง 2 ช่องในแผนนี้และมาร์ลีนที่มีเวทย์ AoE ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหา
ท้ายที่สุด เซเร็คเอวก็มีส่วนในภารกิจนี้ นักดาบระดับ 40 นั้นเพียงพอสำหรับช่องว่างที่เหลือ
ดังนั้นโรดส์มั่นใจอย่างมาก
“สำหรับภารกิจนี้ นักบวชทั้งหมดจะเป็นตัวหลักในการสร้างความเสียหาย”
“นักบวชเนี่ยนะ?”
เซเร็ครู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“แม้ว่าข้าจะคาดหวังกับเรื่องนี้….แต่ไอ้หนู เจ้าต้องเข้าใจนักบวชพวกนี้ไม่ใช่อัศวินวิญญาณนะ พวกเธอไม่มีเวทย์โจมตี และยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนี้ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ เจ้าจะผลักพวกเธอไปตายหรือไงกัน?”
โรดส์ส่ายศีรษะ
“ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาไปอยู่แนวหน้า จะดีกว่าถ้าให้พวกเขาโจมตีจากแนวหลัง”
“ดังนั้นผมอยากให้คุณเซเร็คไปรวมกับพวกเขาในแนวหลังและปกป้องพวกเขา ความกดดันของพวกเขาจะได้ลดลง ถ้าคุณอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ผมกังวลเล็กน้อยที่คุณบอกว่าพวกเธอไม่เคยต่อสู้มาก่อน”
“ความกดดันของพวกเราจะลดลง?”
เซเร็คสับสนทันที เขาเคยมาที่สันเขาแห่งความเงียบมาก่อนและเข้าใจว่าอันเดดพวกนี้จะออกมาเป็นคลื่นๆ แม้ว่าเขาจะเป็นปรมจารย์นักดาบก็เป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพอันเดด ดังนั้นเด็กหนุ่มคนนี้พูดมาได้อย่างไรว่าแรงกดดันจะลดลง ถ้าให้เขาไปอยู่แนวหลัง?
บางทีเจ้าอาจจะไม่กลัวอันเดดละมั้ง?
เจ้ากำลังปั่นหัวพวกข้าอยู่? หรือว่าเจ้ามีแผน?
ทันใดนั้น เซเร็คคิดในใจ ร่างเงาของชายชราวอร์คเกอร์ปรากฎขึ้นออกมาจากป่าด้วยสีหน้าขนลุกขนพอง
“ข้าพบร่องรอยที่พวกเขาทิ้งเอาไว้แล้ว”
เขาเดินไปหาโรดส์และพูดเสียงต่ำ