Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 322 ปราการศิลา
บทที่ 322 ปราการศิลา
ขณะที่เยี่ยฉวนและศิษย์ร่วมสํานักกาลังประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการรบในห้องโถงหมอกเมฆาฝ่ายองค์ชายรัชทายาทก็ได้เรียกผู้บัญชาการระดับสูงของกองทหารแต่ละหน่วยเพื่อหารือเช่นกัน
หลังหยุดพักรบเพื่อรับประทานอาหารชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปดูเหมือนองค์ชายจะมีสติยั้งคิดและปราดเปรื่องขึ้นบ้างเวลานี้เขาตระหนักแล้วว่าเยี่ยฉวนในปัจจุบันไม่ใช่ศิษย์ชั้นสามัญเฉกเช่นที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปทั้งการจัดการกับอีกฝ่ายยังกระทําได้ยากเข็ญนักครั้งนี้เขาควรเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เพิ่งพบพานและเชื่อฟังคําชี้แนะจากพรตเตสังหารผู้มากประสบการณ์คงเป็นการดีกว่ากองทัพทหารเคลื่อนพลผ่านย่านเมืองเก่าผิงหยวนไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังภายรอบกายมากขึ้นพวกเขาจําเป็นต้องใช้กองกําลังจํานวนมากเพื่อกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาให้สิ้นซาก
กระบวนทัพเพื่อทําศึกอย่างเต็มรูปแบบแห่งจักรวรรดิต้าฉันสําแดงให้เป็นที่ประจักษ์แล้วโดยแสดงให้เห็นถึงอานุภาพสังหารอันร้ายแรงจนน่าสะพรึงกลัว!
ไม่นานนักกองกําลังแนวหน้าจึงเริ่มปฏิบัติการขั้นตอนแรกคือลงมือเผาป่ารกชัฏทั้งหมดในย่านเมืองเก่าผิงหยวนให้มอดเป็นจุณโดยไม่ให้หลงเหลือแม้แต่ต้นกล้าเถาวัลย์ทุกต้นไหม้เกรียมจนไม่เหลือซากผืนป่าหนาทึบสลายหายไปภายในระยะเวลาอันสั้นเวลานี้บริเวณโดยรอบเมืองไม่หลงเหลือสถานที่ให้เร้นกายหลบซ่อนอีกต่อไปเมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเมืองจะมองเห็นทุกสรรพสิ่งเบื้องล่างกินรัศมีกว้างถึงสิบลี้ซึ่งตัดปัญหาด้านการถูกลอบโจมตีอย่างสมบูรณ์
ครั้นทําการดับเปลวเพลิงทั้งหมดจนเหลือเพียงควันสีเทาลอยกรุ่นกองทัพแห่งจักรวรรดิต้าฉันจึงเริ่มสร้างค่ายเป็นฐานที่มั่นแห่งใหม่ขึ้นบนยอดเขา แรงงานชาวนาชาวไร่คนเลี้ยงสัตว์รวมถึงเกวียนรถม้าทั้งหมดในรัศมีหนึ่งร้อยถูกกะเกณฑ์ให้ลําเลียงหินก้อนใหญ่เพื่อก่อสร้างป้อมปราการที่แข็งแกร่งขึ้นในเวลาอันรวดเร็วทหารชั้นเลิศหลายพันนายรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันพื้นที่อย่างเข้มงวดหากมีผู้ใดคิดโจมตีฐานที่มั่นจะต้องฝ่าด่านชั้นนี้ไปให้ได้เสียก่อนและด้วยความแข็งแกร่งโดยรวมของสานักหมอกเมฆาอาจจําเป็นต้องใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงกว่าจะฝ่าฟันไปได้ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสําหรับการวางกลยุทธ์ขั้นต่อไปเพื่อโจมตีกลับ
ตอนนี้มีเพียงปราการชั้นแรก ต่อไปจะมีปราการด่านที่สอง… สาม…
กองทัพทหารเริ่มเคลื่อนพลไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่องตามคําบัญชาการจากองค์ชายรัชทายาท
ทุกย่างก้าวพวกเขาจะทําการเผาป่าทึบโดยรอบจนวอดวายไม่เหลือซากเป็นลําดับแรกโดยใช้กลยุทธ์เผาหน้าดินให้เกรียมเพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดเติบโตได้อีกหลังจากเผาทุกสิ่งในระยะสิบลี้เสร็จสิ้นแล้ว กองทัพทหารจึงทําการสร้างป้อมปราการชั้นนอกเพิ่มเติมด้วยสภาพแวดล้อมโดยรอบทําให้ไม่สามารถค้นหาก้อนหินได้ทันเวลาพวกเขาจึงเลือกใช้วัสดุที่หาง่ายเช่นดินเหนียวเพื่อสร้างเป็นกําแพงสูงตระหง่านพร้อมใช้ท่อนซุงขนาดใหญ่เสริมไว้เป็นฐานและรัวนอก จากนั้นจึงวางกําลังไว้อย่างแน่นหนา
เป็นเวลาเจ็ดวันติดต่อกันแล้ว ทว่าสํานักหมอกเมฆายังคงนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวของฝ่ายศัตรูไม่แน่ว่าพวกเขาอาจมีความวิตกเกี่ยวกับกองทัพอันทรงพลังมหาศาลของจักรวรรดิต้าฉันจนไม่กล้าแม้แต่จะรุกคืบ การที่สํานักหมอกเมฆาไร้การตอบสนองทําให้ปราการป้องกันฐานที่มั่นทุกด่านเสร็จสิ้นโดยราบรื่น
ณ บริเวณฐานที่มั่นองค์ชายรัชทายาทหลีก่วงซ่านปลีกวิเวกตนเองอย่างสันโดษอยู่ภายในห้องบรรทมทั้งยามทิวาและราตรีเขาร่ำสุราเพื่อบรรเทาความเงียบเหงาเพียงลําพังพร้อมทําการตรวจสอบรายงานความคืบหน้าของกองกําลังอย่างถี่ถ้วน
เมื่อปราศจากการขัดขวางจากสํานักหมอกเมฆาความเร็วในการเคลื่อนทัพของพวกเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวีเหนือความคาดหมายทุกวันพวกเขาจะรุกคืบเข้าใกล้เขตแดนของอีกฝ่ายถึงหลายสิบลี้ทว่าสําหรับองค์ชายแล้วความเร็วเพียงเท่านี้ยังนับว่าชักช้าไม่ทันการณ์หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเห็นที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนกว่าจะไปถึงประตูทางเข้าของสํานักหมอกเมฆาเป็นแน่
เวลาหนึ่งเดือนเต็มคงทําให้ไอ้เด็กเหลือขอเยี่ยฉวนเตรียมวางแผนการมากมายเพื่อรับมือกับเขาหากมันและศิษย์น้องร่วมสํานักทุกคนละทิ้งสํานักและหลบหนีไปยังสถานที่อื่นก่อนแล้ว…เช่นนั้นเขาควรไปตามหาพวกมันเพื่อล้างแค้นจากที่ใดเล่า?
องค์ชายหลีก่วงซ่านครุ่นคิดไปถึงความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายที่ทําให้ตนพลาดพลั้งเสียที่ครั้งแล้วครั้งเล่ายิ่งหวนนึกถึงเขายิ่งรู้สึกหดหูจนแทบระงับโทสะไว้ไม่ได้และบุกเข้าไปสังหารอีกฝ่ายด้วยตนเอง เวลานี้เขาไม่กลัวว่ากองกําลังทหารจะกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาไม่สําเร็จทว่ากลัวว่าเยี่ยฉวนจะหลบหนีการเผชิญหน้าจนความพยายามทั้งหมดของเขาเสียเปล่าหากเป็นบุคคลอื่นคงยอมยืนหยัดปกป้องสํานักของตนซึ่งสืบทอดอารยธรรมมาแต่โบราณกระทั่งตัวตายเป็นแน่แต่เมื่อเป็นเยี่ยฉวนแล้วเขาไม่สามารถคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้แม้เพียงนิดสิ่งนี้ทําให้เขารู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
ล่วงเข้าสู่วันที่แปด… ตกกลางคืน ข่าวสารแห่งความสําเร็จจึงถูกส่งกลับมายังฐานที่มั่นหลักปราการด่านที่ห้าถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์แล้วทั้งยังมีกําลังทหารนับพันนายประจําการอยู่ที่นั่นอย่างเข้มงวด
เมื่อสํารวจดูในแผนที่จึงพบว่าปราการทั้งห้าด่านถูกสร้างให้เชื่อมต่อกันเป็นเส้นตรงโดยหัวหอกของมันเจาะทะลุเข้าไปยังเทือกเขาหมอกเมฆาโดยเฉพาะปราการด่านที่ห้าซึ่งเพิ่งถูกสร้างขึ้นสําเร็จบนยอดเขาสูงเป็นที่รู้จักในนามปราการศิลาภูเขาทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยหินก้อนยักษ์จํานวนนับไม่ถ้วนอย่างหนาแน่นทั้งสามด้านเป็นหน้าผาสูงซึ่งทําให้ป้องกันได้ง่ายและฝ่ายศัตรูทําการโจมตีได้ยากส่วนด่านหน้าเป็นทุ่งราบกว้างใหญ่หากวันใดสภาพอากาศเป็นใจจะมองเห็น แนวเทือกเขาในระยะสิบที่อยู่ห่างออกไป ปราการทุกด่านถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแกร่งเพื่อเชื่อม โยงไปยังปราการด่านถัดไปความก้าวหน้าทั้งมวลรวดเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ครั้นข่าวอันประเสริฐนี้แพร่กระจายไปในวงกว้างพลทหารทั้งหมดต่างโห่ร้องเสียงดังเพื่อแสดงความยินดีส่วนองค์ชายรัชทายาทมีความสุขเปี่ยมล้นกระทั่งร่ำสุราหนักจนมีนเมาลุ่มพับไป
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าเวลานี้ กองกําลังทหารซึ่งประจําการอยู่บนภูเขาปราการศิลาซึ่งเป็นด่านชั้นนอกกําลังตั้งรับการต่อสู้นองเลือดอันเดือดดาลอย่างกะทันหันเหนือความคาดหมาย!
เช่นเดียวกันกับกองกําลังทหารซึ่งประจําการอยู่บริเวณย่านเมืองเก่าผิงหยวน พวกเขาต่างตื่นเต้นยินดีกับชัยชนะที่ได้รับจนเริ่มตั้งวงร่ำสุราเพื่อเฉลิมฉลองทหารบางนายคว้าไหสุราบริสุทธิ์มาร่วมดื่มไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าสุราหมักนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรบางที่นายทหารระดับสูงบางคนอาจพกพามาด้วยเพื่อใช้เป็นสิ่งประโลมจิตใจหรือมันอาจถูกทิ้งไว้โดยผู้ใช้แรงงานที่ถูกเกณฑ์มาสร้างป้อมปราการก็เป็นได้โดยปกติแล้วกองทัพทหารมีกฎเกณฑ์เข้มงวดว่าด้วยการดื่มสุราบังคับให้พลทหารทุกคนออกกําลังกายเป็นนิจและมิให้ผู้ใดดื่มติดต่อกันเกินสามจอกแต่ด้วยความปีติยินดีทั้งมวลทําให้พวกเขาร่ำสุรากันจนเมาหัวราน้ำพอฤทธิ์ของมึนเมาแล่นผ่านลําคอลงไปก็ไม่มีผู้ใดจดจํากฎนั้นได้อีก
ท่ามกลางม่านแห่งความมืดมิดยามราตรี ภูเขาปราการศิลาเงียบสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ร้องขับกล่อมเป็นบางครั้งคราว
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาสํานักหมอกเมฆาไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้นกองทัพทหารสามารถทําภารกิจทั้งหมดจนลุล่วงก่อนระยะเวลาที่กําหนดทําให้พวกเขาผ่อนคลายความแน่นหนาของการป้องกันจนหละหลวม โดยเฉพาะหลังร่ำสุราจนมึนเมาไร้สติยิ่งขาดความระมัดระวังเท่าที่ควรจะเป็นเพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่าปราการศิลานี้แข็งแกร่งเพียงพอแล้วที่จะป้องกันการโจมตีจากศัตรโดยไม่ต้องลงแรงเองด้วยซ้ำดังนั้นทุกคนจึงยังผ่อนคลายและร้องรําทําเพลงอย่างสนุกสนาน
และแล้วภยันตรายก็มาเยือนเมื่อกองทัพทหารที่เคยแข็งแกร่งราวหินผาอยู่ในสภาพที่ไร้การป้องกัน
บุคคลแรกที่สังเกตเห็นความผิดประหลาดที่เกิดขึ้นคือพลทหารคนหนึ่งที่ลุกไปปัสสาวะทันทีที่ปลดกางเกงออกจึงพบว่าก้อนหินที่เรียงรายอยู่โดยรอบมีลักษณะแตกต่างจากช่วงกลางวันลิบลับทันใดนั้นแผ่นผ้าสีเขียวขจีกลับปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขาเมื่อขยี้ตามองอีกครั้งจึงพบว่ามันไม่ใช่แผ่นผ้าทว่าเป็นเถาวัลย์เส้นยักษ์!
ท่าไม่ดีแล้ว! ข้าศึกบุกโจมตี!
พลทหารผู้นั้นตอบสนองต่ออันตรายที่คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งแรกพวกเขาจึงกําชับกันและกันอย่างหนักแน่นว่าหากมีผู้ใดพบเห็นแม้แต่เงาของเถาวัลย์ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณธรรมดาหรือไม่ก็ต้องเร่งรายงานเตือนภัยเป็นการด่วน!
เขาไม่ใส่ใจที่จะดึงกางเกงขึ้นให้เรียบร้อยแต่กลับคว่าแตรเขาสัตว์ขึ้นเป่าเพื่อส่งสัญญาณเตีอนทันทีทว่ายังไม่ทันทําเช่นนั้นกลับมีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาราวแมลงวันตัวน้อยบินผ่านแต่แล้วความรู้สึกเย็นวาบกลับแผ่ซ่านขึ้นจากบริเวณลําคอทันที่ที่ใช้ฝ่ามือแตะจึงพบว่าเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลทะลักเป็นสาย นายทหารเคราะห์ร้ายล้มตัวลงกระแทกพื้นดินสิ้นใจทันทีสติสัมปชัญญะก่อนตายทําให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่แมลงวันธรรมดาแต่เป็นจักจันทองค่หก ปีกซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่งยังไม่ทันยกมือขึ้นตะปบลมหายใจสุดท้ายจึงปลิดปลิวเสียก่อน
ครั้นสังหารเหยื่อด้วยกระบวนการโจมตีที่เงียบเชียบเพียงครั้งเดียวราชันจักจั่นทองค่าหกปีกจึงบินผละจากศพเพื่อค้นหาเป้าหมายใหม่ต่อไป
ขณะเดียวกันเสียงกรอบแกรบพลันดังขึ้นอีกครั้งอย่างเนิบช้าเถาวัลย์หลายเส้นเพิ่มจํานวนขึ้นอย่างต่อเนื่องปกคลุมรอบภูเขาซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหินที่เรียงรายอยู่อย่างหนาแน่นกระทั่งโอบล้อมรอบปราการศิลาสูงตระหง่าน ครึ่งทางก่อนขึ้นสู่ยอดเขาปรากฏศิษย์สํานักหมอกเมฆาจํานวนมากซึ่งมีอาวุธสังหารครบมือบุกรุกขึ้นมาในยามวิกาลพวกเขาต่างสวมชุดคลุมสงครามอันเป็นแบบแผนเดียวกันบางคนกระชับดาบยาวไว้ในมือแน่น…บางรายเหาะทะยานขึ้นในอากาศด้วยกระบี่บินกองทัพเหล่านี้นําโดยศิษย์พี่หญิงจซื้อเจียพวกเขากําลังรอช่วงจังหวะสุดท้ายที่ใกล้จะมาถึง
บริเวณเชิงเขาเยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นเพื่อทําการฝึกตนเขาโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งเจ็ดใบในจุดตันเถียนพลางอ้าปากคายกระบบินสะบั้นมังกรสีแดงเลือดออกมาอาวุธสังหารอานุภาพรุนแรงดังกล่าวทะยานขึ้นสูงสู่ท้องฟ้ากลายเป็นแสงสีแดงครั้นมันลอยกวาดผ่านม่านแสงของปราการศิลาขอบเขตป้องกันต่างๆจึงคลายตัวลงอย่างน่าอัศจรรย์ปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินที่รอคอยจังหวะอันเหมาะสมมาเป็นเวลานานระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นเถาวัลย์จํานวนมหาศาลแผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบราวคลื่นในมหาสมุทรที่ถาโถมอย่างรุนแรงพร้อมกับกองทัพศิษย์สํานักหมอกเมฆาที่รุดไปด้านหน้าด้วยความสึกเหิมและพลังใจเต็มเปี่ยม!