Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - ตอนที่ 324 จ่าต้องกล้ํากลืน
บทที่ 324 จ่าต้องกล้ํากลืน
ครั้นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของเยี่ยฉวนจากไปแล้ว กองกําลังเสริมแห่งจักรวรรดิต้าฉันจึง เคลื่อนพลมาถึง
เมื่อมองดูสภาพของปราการศิลาในยามนี้แล้วทหารทุกนายต่างรู้สึกหวาดผวายิ่ง ครั้นเข้าไป ด้านในของป้อมปราการจึงพบทหารหลายนายนอนคว่าเปิดบันท้ายกันเป็นแถว ภาพตรงหน้า ทําให้ทุกคนตะลึงลาน บางคนต้องการก้าวไปด้านหน้าเพื่อช่วยเหลือทว่ากลับถูกกั้นขวางโดย ขอบเขตป้องกันที่มองไม่เห็นซึ่งนายทหารชั้นสามัญไม่สามารถพังทลายได้ พวกเขาจึงทําได้ เพียงรายงานขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนไปยังกองบัญชาการหลัก
ด้วยความสามารถของยอดฝีมือชั้นเลิศ ทําให้พวกเขาเดินทางผ่านระยะทางกว่าหนึ่งร้อยลื้มา ถึงสถานที่เกิดเหตุในเวลาไม่นานนัก
คราวนี้การคาดเดาของเยี่ยฉวนถูกต้องอีกครั้ง ทันทีที่องค์ชายรัชทายาทหลีก่วงฮ่านได้ยิน ข่าวจึงเร่งรุดมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเอง เพียงเห็นบั้นท้ายขาวสะอาดสะท้อนแสงจันทร์ห้อยล งมาจากคานหลังคาทั้งยังแกว่งไกวด้วยแรงลม จิตใจของเขาพลันสับสนอลหม่านด้วยโทสะที่ลุก โชนขึ้นอีกครั้ง
บั้นท้ายข้างซ้ายถูกกรีดเป็นคําว่า “ซื้อเจีย ข้ารักเจ้า” ส่วนบั้นท้ายข้างขวาเป็นรูปกบเกียจคร้า นที่มีใบหน้าครึ่งซีกแตกต่างกัน ด้านซ้ายเป็นเลือดเนื้อสมบูรณ์ ทว่าด้านขวากลับแข็งกระด้างคล้า ยชิ้นส่วนของโลหะ สิ่งที่ทิ้งร่องรอยไว้เหล่านี้หากไม่เรียกว่าเป็นการยั่วยุจะให้คิดเห็นเป็นอย่าง ไร?!
“ฝ่าบาทโปรดทรงระงับความโกรธเกรี้ยว ทั้งหมดนี้เป็นแผนชั่วร้ายของไอ้สารเลวเยี่ยฉวน พระ องค์ต้องทรงควบคุมอารมณ์ไม่ให้เป็นไปตามที่มันต้องการนะพ่ะย่ะค่ะ!”
พรตเต๋สังหารเห็นท่าที่เช่นนั้นขององค์ชายจึงเร่งฝีเท้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าก่อนโค้งคํานับถ วายคําเตือน เขากังวลว่าอีกฝ่ายที่เพิ่งสงบสติอารมณ์ด้วยความยากลําบากจะเกิดแรงอารมณ์ที่ ปะทุขึ้นอีกครั้งจนขาดสติและทําการโจมตีอย่างประมาท
“อ๊าก…” องค์ชายหลีก่วงซ่านแผดเสียงคํารามราวเสียงของอสุรกายกระหายเลือด จากนั้นเขา จึงต่อยอากาศว่างเปล่าโดยทุ่มพละกําลังทั้งมวลเพื่อระบายความคับแค้น กระทั่งขอบเขตป้องกัน ที่เกิดขึ้นเริ่มเกิดการกระเพื่อมไหว
มวลอากาศโดยรอบสั่นสะเทือนและม้วนตัวเป็นเกลียวจนเกิดกระแสลมบ้าคลั่ง ทันใดนั้นขอบ เขตป้องกันที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจึงสูญสลายไป พลทหารกว่าสามร้อยนายที่ถูกจับ แขวนห้องโตงเตงอยู่บนคานหลังคาอาเจียนออกเป็นเลือดกองใหญ่ อวัยวะภายในของพวกเขาระ เบิดออกกลายเป็นภาพน่าสยดสยองยิ่งท่ามกลางสายตาของฝูงชนจํานวนมาก ดวงตาของคนเห ล่านั้นเบิกค้างพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ปลิดปลิว
แม้กองกําลังเสริมแห่งจักรวรรดิต้าฉันจะมาถึงได้ทันเวลาจนพวกเขารู้สึกผ่อนคลายความวิตก ทว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานหายนะของชีวิตได้ ยิ่งไปกว่านั้น…พวกเขาไม่ได้ตาย ตกไปด้วยน้ํามือของศัตรู แต่กลับสิ้นใจลงเพราะน้ํามือของฝ่ายเดียวกันเอง!
เหล่านายทหารที่เร่งฝีเท้ามาเสริมกําลังเผยสีหน้าซีดเผือดด้วยความตระหนกสุดขีด ทุกสาย ตาจับจ้องไปยังองค์ชายรัชทายาทซึ่งอยู่ในอารมณ์บ้าระห่กระทั่งสามารถสังหารผู้ใต้บังคับบัญ ชาโดยปราศจากสามัญสํานึก หลายคนร่างกายสั่นสะท้านด้วยกลัวว่าในอนาคตผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อาจเป็นตนเสียเอง ส่วนพรตเต๋สังหารแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นบิดเบี้ยวด้วยความขมขึ้นกับเหตุที่ เกิดขึ้น หลายครั้งที่เขาเพียรเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายระงับความโกรธแค้นด้วยเจตนาอันดี แต่ท้าย ที่สุดไม่ว่าหนทางใดกลับมิได้นําพาเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
“ฝ่าบาท นักพรตต่ําต้อยผู้นี้ไม่ได้ไร้ความสามารถ ทว่าพระองค์เองต่างหากที่…
พรตเต๋สังหารลอบผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อมีถ้อยคําบางอย่างปรากฏขึ้นในห้วง ค่าถึง ทว่าไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ดั่งใจคิด
หากเขามีอุปนิสัยหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ เวลาปิ้งโกรธกลับระงับอารมณ์ไม่ได้จนกลายเป็นคน ป่าเถื่อน แล้วเขาจะทําการใหญ่ให้ลุล่วงได้อย่างไรกัน?!
นักพรตเต๋วัยกลางคนไม่ปริปากเอ่ยค่าใด ทว่าจิตใจของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง ในตัวองค์ชายที่เขาเคารพศรัทธามาเป็นเวลาหลายปี ตามจริงแล้วการที่เขาถูกเฉือนใบหน้าออก ครึ่งซีกจนมีรูปลักษณ์ครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ ไม่จําเป็นต้องเก็บเป็นปมด้อยกระทั่งสูญเสียตัวตนถึง เพียงนี้ เพราะว่ากันด้วยสัจธรรมแล้วมนุษย์ไม่จําเป็นต้องใช้ใบหน้าเพื่อหาเลี้ยงชีพแต่อย่างใด ยิ่งเมื่อเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิคนใหม่แห่งราชวงศ์ต้าฉันแล้วแทบไม่ต้องกังวลว่าตนจะไร้สตรีร่วมเรียงเคียงหมอน สิ่งที่สําคัญกว่าก็คือภาวะทางอารมณ์…หากเขาฉุนเฉียว ปราศจากความรอบคอบและไร้ซึ่งสติปัญญาอันหลักแหลมจนไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่ถาโถมย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวขึ้นเป็นประมุขสูงสุดของแว่นแคว้น ต่อให้เขาขึ้นไปอยู่ในจุดนั้นทว่าคงไม่อาจดํารงอยู่ได้นานนัก
แม้องค์ชายรัชทายาทระเบิดความคับแค้นด้วยการสังหารทหารนับสามร้อยนายด้วยเคล็ดวิชา
กรพรรดิ์เพียงครั้งเดียว แต่ดูเหมือนนั้นจะยังไม่ทําให้เขาคลายความโกรธเกรี้ยวลง ใบหน้าของเขายามนี้โหดเหี้ยมกว่าช่วงเวลาปกติหลายเท่าตัวนัก กะบังลมของเขายกขึ้นลงเพราะความเหนื่อยหอบอย่างหนักหน่วง ดวงตาคู่นั้นแดงกราวต้องการกลืนกินชีวิตคนให้มากกว่านี้
หัวใจของเหล่านายทหารที่ยืนอยู่โดยรอบกระเด้งกระดอนรัวเร็ว พวกเขายกเท้าถอยกลับด้วยความหวาดหวั่นตามสัญชาตญาณ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาองค์ชายบ้าเลือดผู้นี้
“พรตเตสังหาร! ข้าต้องรออีกนานเพียงใดจึงจะสามารถบดขยี้ไอ้สารเลวนั่นให้ตายคามือ เล่า?!” หลีก่วงอ่านหันไปถามอีกฝ่าย ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาคงเสียสติไปแล้วและสั่งการให้จู่โจมสํานักหมอกเมฆาเสียเดี๋ยวนี้ เขากลับระงับโทสะที่ปะทุขึ้นเมื่อครู่ลง
พรตเต๋สังหารรู้สึกแปลกใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย เขารีบเอ่ยตอบขณะดวงตาฉายแววเปล่งประกาย “เราควรเดินหน้าทีละขั้นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามแผนการเดิม หากสํานักหมอกเมฆายังคงไร้การเคลื่อนไหว ต่อให้ไอ้เยี่ยฉวนหลบหนีไปเยี่ยงคนจรจัด มันก็หลบหนีไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น!”
“อื่ม… ดําเนินตามแผนการเดิม เข้ายึดครองสํานักหมอกเมฆามาอยู่ใต้อาณัติของข้าให้จงได้!”
สุ่มเสียงขององค์ชายหลีก่วงซ่านแหบพร่า ครั้นสั่งความจบแล้วจึงหมุนกายกลับเพื่อหวนไปยังกองบัญชาการหลักซึ่งตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าผิงหยวน
เขาเกลียดชังเยี่ยฉวนลึกลงไปถึงกระดูกดํา หากเป็นไปได้เขาต้องการกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้ และตามล่าเยี่ยฉวนเพื่อฉีกทิ้งร่างออกเป็นส่วนๆทั้งเป็น! แต่ในวินาที สุดท้ายเขากลับระงับความแค้นราวไฟสุมในอกลงอย่างยากลําบาก ไม่ใช่เพราะต้องการเปลี่ยนเจตนาเดิม…ทว่าเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าความโกรธไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา
อดทน!
ต้องอดทน! จ่าต้องกล้ํากลืนฝืนทนต่อไป!
องค์ชายเผยสีหน้าคลําหม่นขณะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างสุดกําลัง จากนั้นเขาจึงจากไป ด้วยความเร็วราวลมเหาะ ที่ปรึกษาถึงอี้เซียนไม่รอช้ารีบเรียกทหารอารักขาส่วนตนเพื่อติดตามองค์ชายกลับไปด้วยท่าที่กระตือรือร้น
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง!”
“กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
หลังองค์ชายจากไปไกล นักพรตเต๋าวัยกลางคนจึงโค้งคํานับอีกฝ่ายตามธรรมเนียมปฏิบัติ เหล่าทหารรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เพราะพวกเขาเคารพองค์ชายหลีก่วงฮานอย่างสุดซึ้ง แต่เป็นเพราะแข้งขาของเขาอ่อนแรงเสียจนยืนหยัดแทบไม่ไหว สําหรับพวกเขา แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการทําศึกครั้งนี้ไม่ใช่ศัตรูเช่นเยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆา ทว่าเป็นแม่ ทัพโลหิตกล้าอย่างองค์ชายรัชทายาทแห่งต้านผู้นี้ต่างหาก! หากอนาคตเขาบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้งพวกเขาอาจโดนลูกหลงเข้าสักวัน
“ทหารอารักขา! จัดการสะสางสนามรบเสีย! เพิ่มจํานวนทหารเพื่อประจําการในแต่ละปราการจากหนึ่งพันนายเป็นสามพันนาย และส่งยอดฝีมือผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต่เพื่อคุ้มกันในแต่ละป้อมปราการให้แน่นหนา!”
พรตเตสังหารประกาศค่าสั่งเสียงกร้าว สายตาทอดยาวไปไกลถึงแนวเทือกเขาซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป จิตสังหารภายในใจทะยานสูงขึ้นจนถึงขีดสุด
อาการทุกข์ทรมานจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมลายหายไปจนสิ้น ตราบใดที่องค์ชายรัชทายาทไม่เข้าแทรกแซงแผนการเดิมจนเกิดความล้มเหลวไปมากกว่านี้ ทั้งยังมอบอํานาจบัญชาการกําลังทหารให้กับเขา ไม่นานอาจกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาให้สิ้นซากและสังหารเยี่ยฉวนสำเร็จอย่างแน่นอน หลังส่งยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าไปประจําการในแต่ละป้อมปราการ หากอีกฝ่ายลอบโจมตีอีกครั้งก็ไม่ง่ายเช่นครั้งนี้อีกต่อไปแล้ว!
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจะช่วยพิสูจน์ว่าการกวาดล้างในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง!
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันบ่อยครั้งเข้า ในช่วงแรกการโจมตีของสํานักหมอกเมฆาอาจทําให้กองทัพทหารแห่งจักรวรรดิต้าฉันอกสั่นขวัญแขวนจริง ทว่าเมื่อเหตุการณ์ดําเนินไปอย่างไม่เร่งรีบ ฝ่ายที่ประสบความเสียหายหนักกว่ากลับเป็นอีกฝ่ายเสียเอง ไม่นานพวกมันจะพลาดท่าเสียที่จนพ่ายแพ้ราบคาบ แผนการลอบโจมตีอันแยบยลอาจไม่ได้ผลทุกครั้งไป ทั้งยังอาจต้องเผชิญหน้ากับหลุมพรางและการโต้กลับอย่างรุนแรงเกินคาดเดา ในปราการแต่ละด่านอาจมีกองกําลังทหาร จํานวนเพิ่มขึ้นถึงห้าพันนายหรืออาจสมทบขึ้นเป็นหนึ่งหมื่นนาย ยิ่งเมื่อมียอดฝีมือร่วมในการทําศึกครั้งนี้ หากอีกฝ่ายโจมตีโดยประมาทอาจเพลี่ยงพล้ําจนถึงแก่ความตาย
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทําให้ขวัญกําลังใจในกองทัพต้าฉันเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก องค์ชายหลีกวงส่านพลันบังเกิดความหวังที่จะพลิกกลับมาชนะอีกครั้ง ในทางกลับกันสํานักหมอกเมฆาที่เต็มไปด้วยศิษย์ผู้บาดเจ็บเดินทางกลับเข้าไปพักฟื้นยังสํานักเป็นการด่วน ครั้นฐานที่มั่นของกองทัพแห่งจักรวรรดิต้าฉันทวีความแข็งแกร่งและมั่งคงขึ้นกว่าเก่าทั้งยังคืบเข้าใกล้สํานักขึ้นเรื่อยๆ ทําให้สถานการณ์ปัจจุบันเริ่มเลวร้ายลงทุกขณะ จูซื้อเจียและศิษย์ร่วมสํานักต่างขมวดคิวด้วยความตึงเครียด แม้แต่ปีศาจเฒ่าหลัวเต่อที่มีอุปนิสัยเย่อหยิ่งเป็นนิจยังรู้สึกจนปัญญา ส่วนเยี่ยฉวนเข้าสู่สมาธิฝึกตนอย่างสันโดษทําให้ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก นั่นทําให้ทุกคนยิ่งเป็นกังวลและใช้สติปัญญาอย่างหนักว่าควรทําอย่างไรต่อไป
หลังเยี่ยฉวนทิ้งของกํานัลเป็นเครื่องเย้ยหยันให้แก่องค์ชายหลีก่วงฮาน เขาจึงหวนกลับไปยังสํานักหมอกเมฆาและเริ่มทําการฝึกตนในทันที อันที่จริงเขาตระหนักถึงสิ่งที่สํานักหมอกเมฆาต้องรับมือแล้ว แต่เขายังมุ่งมั่นที่จะฝึกตนอย่างสันโดษเพื่อกระตุ้นทางอ้อมให้จซื้อเจีย ปีศาจเฒ่า หลัวเต๋อ รวมถึงคนอื่นๆ ได้ช่วยกันระดมความคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง เพราะแรงกดดันมหาศาลที่เกิดขึ้นครั้งนี้ สามารถปลุกศักยภาพของแต่ละคนให้ตื่นขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นผลดีให้ทุกคนสามารถบรรลุขั้นการฝึกตนครั้งยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่จะถูกศัตรูบีบคั้นให้แพ้พ่าย บรรดาศิษย์หรือสัตว์อสูรกายที่มีเจตจํานงเด็ดเดี่ยว กระทั่งสามารถรอดชีวิตจากหายนะในครั้งนี้จึงเป็นบุคคลที่เยี่ยฉวนต้องการให้อยู่เคียงข้างจวบจนวาระสุดท้าย
เยี่ยฉวนไม่ต้องการคนอ่อนแอ! ที่เขาต้องการคือยอดฝีมือชั้นเลิศตัวจริงที่สามารถติดตามเขา เพื่อร่วมอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และครอบครองดินแดนรกร้างกว้างใหญ่แห่งนี้!
แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนเทือกเขาหมอกเมฆาย่ําแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าสําหรับเยี่ยฉวน แล้วทุกสิ่งยังคงอยู่ในความคาดหมายของเขา ทั้งยังสามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา!