Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 48 ชายผู้นี้สติไม่ดีเป็นแน่!
บทที่ 48 ชายผู้นี้สติไม่ดีเป็นแน่!
“เฒ่าโหว…ฝันถึงสตรีนางใดอยู่รึ? บอกมาซิ!”
เยี่ยฉวนยิ้มพลางกวาดสายตามองเฒ่าโหวจอมลวงโลกตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูจากรอยยิ้มยามละเมอที่แฝงไปด้วยความหยาบโลนแล้ว ชายชราผู้นี้เป็นตาเฒ่าหัวงูอย่างแท้จริง…เขากล้าดีอย่างไรจึงเชิญชวนสาวน้อยพราวเสน่ห์มากัดกินตอไม้เหี่ยวเฉาจนสภาพเหมือนดักแด้ของตน? ต่อให้ชำระล้างอย่างสะอาดก็คงไม่มีสตรีนางใดสนใจเป็นแน่!
“ไม่เอาน่า! ไอ้หนุ่ม อย่าพูดจาเหลวไหล!”
เฒ่าโหวสะบัดศีรษะโดยแรงก่อนเหลือบไปเห็นสตรีงามเช่นจูซือเจียที่ยืนกอดอกมองอยู่ไม่ไกล ครู่นี้เยี่ยฉวนพูดกระเซ้าให้เขารู้สึกกระดากอายยิ่ง ทว่าขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อนกว่า…ชายชราแปรสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วและแสร้งทำราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขายิ้มพร้อมกล่าวออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไอ้หนู เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่เล่า? ยังไม่ถึงวันตั้งตลาดเสียหน่อย…”
“เอาดินมาให้ข้าอีกถุงหนึ่งซิ!” เยี่ยฉวนควักเหรียญออกมาสามตำลึงก่อนโยนไปบนแผงขายสินค้าของอีกฝ่าย
“ว่าอย่างไรนะ?!”
เฒ่าโหวจอมลวงโลกตาสว่างทันที!
ชายผู้นี้ต้องสติไม่ดีเป็นแน่! ทุกพื้นที่มีดินอยู่ทุกหนแห่ง…เขาสามารถไปขุดมาจากที่ใดก็ย่อมได้ แต่เขากลับเจาะจงมายังร้านนี้เพื่อซื้อมัน! เขามีเงินมากเสียจนไม่รู้ว่าจะจับจ่ายซื้อสมบัติใด หรือเสียสติไปแล้วกันแน่?!
จูซือเจียผู้ยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ถึงกับเบิกตากว้างด้วยกล่าวคำใดไม่ออก…
นางนึกไปว่าเยี่ยฉวนคงพบกับสมบัติล้ำค่าบางอย่างเข้าเป็นแน่ จึงติดตามมาด้วยความใคร่รู้ แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึงว่าเขาเร่งร้อนมาที่นี่เพื่อซื้อถุงบรรจุดินเท่านั้น!
เฒ่าโหวจอมลวงโลกลอบพึมพำไปอย่างนั้น สองมือของเขาหยิบพลั่วออกมาจากใต้โต๊ะอย่างคล่องแคล่ว “ข้าคิดราคาดินถุงละห้าตำลึง เจ้าต้องการกี่ถุงล่ะ?!”
จอมลวงโลกก็คือจอมลวงโลกอยู่วันยังค่ำ เขาตอบโดยโก่งราคาขึ้นจากสามเป็นห้าตำลึงหน้าตาเฉย ชายชราสนใจในตัวเงินมิใช่ตัวบุคคล แม้ลูกค้าผู้นี้จะเสียสติแต่อย่างน้อยก็คงมีเงินมากพอที่จะจ่าย
“ตาเฒ่าบัดซบ! เจ้ากล้าขูดรีดกันเพียงนี้เชียวรึ?!”
จ้าวต้าจื่อเบิกตากว้างด้วยความโมโห ยังไม่ทันสบถต่อ เยี่ยฉวนกลับบีบไหล่ของเขาเป็นเชิงปราม
“ห้าตำลึงก็ห้าตำลึง…ข้าไม่มีปัญหาเรื่องเงิน!”
เยี่ยฉวนหยุดชะงักครู่หนึ่งขณะมองไปยังเฒ่าโหวจอมลวงโลกด้วยรอยยิ้ม ก่อนกล่าวออก “แต่…ข้าไม่ต้องการดินที่ถูกขุดขึ้นอย่างลวกๆ เช่นครั้งก่อน ข้าต้องการดินที่มีเมล็ดพืชผสมอยู่ด้วย!”
“ไอ้หนุ่ม สิ่งที่เจ้าต้องการคือเมล็ดพืชเหล่านั้นหรอกรึ?!”
เฒ่าโหวตอบกลับพร้อมคิดตามอย่างรวดเร็ว ถึงเขาจะแก่แต่สมองของเขายังปราดเปรื่องไม่เขรอะไปด้วยสนิม ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายเจิดจ้าและเจ้าเล่ห์ประหนึ่งจิ้งจอกเฒ่า!
“ถูกแล้ว! ตั้งแต่ข้านำเมล็ดเหล่านั้นไปเป็นอาหารให้ฝูงปลาที่ข้าเลี้ยงไว้ พวกมันก็ร่าเริงเสียจนกระโดดโลดเต้นอยู่เหนือผิวน้ำไม่หยุดหย่อน” เยี่ยฉวนกล่าวตอบอย่างหนักแน่น จ้าวต้าจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ลอบแสดงความนับถือต่อข้ออ้างที่อีกฝ่ายสรรหา
ศิษย์พี่ใหญ่ของเขามีฝีมือด้านการเสแสร้งตบตาผู้อื่นนัก! ขณะที่กำลังพูดเรื่องโกหก…สีหน้าของเขาปราศจากความแตกตื่นหรือท่าทีกระสับกระส่ายโดยสิ้นเชิง เยี่ยฉวนแสร้งให้ผู้อื่นมองว่าตนเป็นคนโง่ ทว่าคนที่ตัดสินว่าเขาโง่กลับไร้ซึ่งความเฉลียวฉลาดอย่างแท้จริง!
จูซือเจียที่เริ่มเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว จ้องเขม็งไปยังเยี่ยฉวนอย่างโกรธเคืองและชิงชังที่เขาสามารถเล่นละครตบตานางได้สำเร็จ
นางระงับอารมณ์โกรธไว้ในใจไม่ให้พุ่งเข้าทำร้ายอีกฝ่าย พลางอดทนรอดูฉากต่อไป เพราะยังมีข้อสงสัยที่ยังไม่กระจ่างเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืชที่เขาให้ความสำคัญถึงเพียงนี้…
“เงินจำนวนห้าตำลึงมีมูลค่ามากจริง…ถึงกระนั้นก็เถอะ! แม้เจ้ามีเงินมากเพียงใดก็ไม่อาจหาซื้อมันที่อื่นได้อย่างแน่นอน!” เฒ่าโหวจอมลวงโลกนั่งลงที่เก่าก่อนโก่งราคาอย่างเจ้าเล่ห์ ชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการขูดรีดเยี่ยฉวนอย่างเต็มที่!
“นั่นไม่ใช่ปัญหา…เจ้ามีจำนวนเท่าใด ข้าต้องการทั้งหมด!”
เยี่ยฉวนมองท่าทีของชายชราออกจึงไม่หลงกลและทำการต่อรองจนอีกฝ่ายตกตะลึง จ้าวจ้าจื่อเห็นแววตาที่มีนัยแอบแฝงของศิษย์พี่ใหญ่ จึงหยิบถุงบรรจุเหรียญเงินใบใหญ่ออกมาวางโครมต่อหน้าเฒ่าโหวอย่างรู้หน้าที่…ถุงใบนี้มีน้ำหนักมาก และอาจมีเงินรวมกันมากกว่าสองร้อยตำลึง!
ไอ้หนุ่มผู้นี้ร่ำรวยจริงๆ งั้นหรือ?
เฒ่าโหวรู้สึกประหลาดใจยิ่ง เขายังไม่ทันตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ไร้ชื่อที่ปะปนอยู่กับดินเหล่านั้นว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง ครั้นกำลังจะแจกจ่ายเป็นของกำนัล จู่ๆ ก็มีบุคคลมาขอซื้อโดยให้ราคาสูงเกินความเป็นจริง!
“ว่าอย่างไร? หากเงินเหล่านี้ยังไม่เพียงพอเช่นนั้นข้าคงจนปัญญาจะซื้อมันแล้วล่ะ…แม้ปลาคราฟของข้าจะชอบกินเมล็ดพันธุ์นั้น แต่หากมันแพงเกินไป เห็นทีข้าควรกลับไปเปลี่ยนอาหารให้พวกมันเสียใหม่…” เยี่ยฉวนส่ายศีรษะพร้อมตั้งท่าจะคว้าถุงเหรียญเงินคืน
“ช้าก่อน! ข้าจะเก็บเงินจำนวนนี้ไว้เป็นค่ามัดจำ…เจ้าค่อยกลับมาที่นี่เมื่อครบสามวันก็แล้วกัน!” เฒ่าโหวกล่าว
“ไม่ ข้าต้องการพวกมันเดี๋ยวนี้!” เยี่ยฉวนเอ่ยตอบ เขาอาจเจรจาต่อรองในเรื่องของราคาได้ ทว่าเขาไม่อาจยอมรับข้อต่อรองเรื่องระยะเวลาที่ล่าช้าออกไป เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากที่อาจตามมาภายหลัง
“ไม่ได้! รอให้ครบสามวัน…นั่นคือข้อตกลง!”
เฒ่าโหวปฏิเสธการค้าขายเช่นกันเมื่อการต่อรองกับเยี่ยฉวนไม่เป็นผล เขาต้องการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าแท้จริงแล้วเมล็ดพืชเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างไร? หรือเป็นสมบัติล้ำค่าหรือไม่? จะได้ฉวยโอกาสโกงราคาให้สูงขึ้นไปอีกเพื่อตัดทอนขีดจำกัดในการซื้อของอีกฝ่าย
ขณะนั้นเอง สตรีผู้งดงามสะดุดตาและเปี่ยมไปด้วยความสง่างามเดินผ่านมา…
สตรีรูปโฉมหมดจดผู้นี้เตี้ยกว่าจูซือเจียเล็กน้อย บุรุษผู้แข็งแกร่งอาจยกตัวนางให้ลอยขึ้นจากพื้นดินด้วยมือเพียงข้างเดียว ทั้งรูปร่างยังโค้งเว้าเย้ายวนได้สัดส่วน ปทุมถันทั้งคู่ของนางดูใหญ่โตกว่าของจูซือเจียเสียอีก! คงไม่น่าแปลกใจนักหากจะมีบุรุษเพศหลายคนมองตาเป็นมันจนน้ำลายไหลหยดย้อย ทว่าจูซือเจียกลับเบ้ปากอย่างไม่ถูกชะตาเมื่อเห็นอีกฝ่าย
ขณะที่เยี่ยฉวนกำลังต่อรองกับเฒ่าโหวอย่างไม่มีใครยอมใคร หลิวหงจอมเจ้าชู้ที่เห็นร่างอันคุ้นตาจึงหมุนเอวบางของตนปรี่เข้าไปหาทันที “โอ้ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆานี่เอง! ไม่น่าเชื่อว่าเราสองจะมีวาสนาได้พบกันอีก เฒ่าโหว…เจ้าอย่าได้ตระหนี่นักเลย จำหน่ายเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นให้เขาเร็วเถิด”
หลิวหงเป็นสตรีร่างเล็กงดงามผุดผ่อง…อุปนิสัยหรือก็กล้าหาญและดื้อรั้น เสื้อผ้าที่นางสวมใส่สั้นเสียจนเห็นเรือนร่างชัดเจน เฒ่าโหวเห็นเช่นนั้นจึงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ใบหน้าที่สวยสดของสตรีช่วยชะโลมจิตใจที่เหี่ยวเฉาของชายชราให้เบ่งบานอีกครั้ง จิตใจโสมมพลันนึกไปว่าร่างขาวโพลนยั่วยวนของสาวน้อยพราวเสน่ห์ที่เขาเห็นในความฝันจะใช่หลิวหงผู้นี้หรือไม่?!
“อา…คุณหนู คือว่า…” ชายชรากล่าวอย่างตะกุกตะกัก
หลิวหงงดงามเสียจนเขาลอบกลืนน้ำลายด้วยโลภในตัณหา ทว่าต่อหน้าแล้วเขาต้องเคารพและระมัดระวังคำพูดไม่ให้เสียมารยาท นางเป็นถึงบุตรสาวของท่านเจ้าสำนักเบญจลักษณ์…ส่วนเขาเป็นเพียงศิษย์ชั้นนอกของสำนักเท่านั้น แม้มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในตัวนางเพียงใด เขาก็ยังเจียมตัวด้วยเพราะคางคกน่าเกลียดไม่ควรผยองไปกินเนื้อหงส์
“ว่าอย่างไร? เงินที่ท่านชายเสนอให้ท่านไม่เพียงพองั้นหรือ?!” หลิวหงเอ่ยถามพร้อมเผยสีหน้าเย็นชา
“มิได้ขอรับ! เงินจำนวนนี้เพียงพอแล้ว…”
เฒ่าโหวหยุกชะงักไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวออกอย่างตรงไปตรงมา “ข้าได้รับเมล็ดพืชถุงนั้นมาจากผู้อื่นอีกที และก่อนหน้านี้ได้แจกจ่ายมันไปจนหมดแล้ว ดังนั้นหากยังต้องการ…ข้าก็จะไปถามเขาอีกครั้ง”
“คนผู้นั้นคือใครหรือ?” หลิวหงเอ่ยถาม
“เขาเป็นศิษย์ชั้นนอกของสำนัก นามว่าอู๋เฟิง ข้าได้ยินมาว่าบัดนี้เขาถูกย้ายไปยังเหมืองแร่มณีคราม หากท่านต้องการไปพบเขา ข้าเกรงว่า…” เฒ่าโหวเอ่ยตอบอย่างกระดากอาย
บรรดาศิษย์สำนักหมอกเมฆามีงานอดิเรกคือการปลูกพืชสมุนไพร เช่นเดียวกับศิษย์ของสำนักเบญจลักษณ์ที่ถูกบังคับให้ลงไปขุดเหมืองแร่บ่อยครั้ง ราวเป็นแรงงานราคาถูกที่สำนักไม่จำเป็นต้องจ้าง เหมืองแร่มณีครามตั้งอยู่ในทุ่งกลางหุบเขาลึกที่มีอสุรกายปีศาจพลุกพล่าน…หากประมาทเพียงเล็กน้อยอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ศิษย์ที่ลงไปยังเหมืองใต้ดินจะทำงานโดยไม่พบเจอโลกภายนอกเป็นเวลาสามถึงหกเดือน ดังนั้นผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องหากต้องการเข้าไปภายในอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะไปเอง!”
หลิวหงหันกลับมาสบตาเยี่ยฉวนโดยไม่ใส่ใจท่าทีเอียงอายของชายชราแม้แต่น้อย แม้ทหารอารักขาประจำเหมืองเข้มงวดจนบุคคลนอกไม่สามารถเข้าไปภายในได้ ทว่าด้วยฐานันดรของนางทำให้สามารถเข้าออกได้อย่างเสรี “ท่านชายเยี่ยโปรดวางใจให้ข้าเป็นผู้จัดการเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เถิด ท่านจะกลับมาตามระยะเวลาที่เฒ่าโหวกำหนด หรือต้องการไปยังเหมืองใต้ดินกับข้าเพื่อตามหาคนผู้นั้น?”
“ข้าจะไปกับเจ้า” เยี่ยฉวนกล่าวตอบ
เขาไม่มีเวลารอนานถึงเพียงนั้นเพราะการประลองครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างสามสำนักใกล้เข้ามาทุกที จุดประสงค์ของเขาคือต้องการผลชิ่งหยางเป็นตัวช่วยในการฟื้นฟูพลังยุทธ์อย่างรวดเร็ว
“อืม…ท่านชายช่างเด็ดเดี่ยวเสียจริง! เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
ดวงตาคู่งามของหลิวหงเปล่งประกายสดใส นางหมุนกายออกจากร้านของเฒ่าโหวและนำทางไปโดยไม่รอช้า
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
จ้าวต้าจื่อรู้สึกวิตกกังวลเมื่อเห็นศิษย์พี่ใหญ่ตั้งท่าจะก้าวเดินตามนางไป
หลิวหงคือใคร?
นางคือบุตรสาวของท่านเจ้าสำนักเบญจลักษณ์ ฐานะของนางสูงส่งยิ่ง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักของนางและสำนักหมอกเมฆาจะไม่ตึงเครียดเท่าความสัมพันธ์ระหว่างสำนักเครื่องนิล ทว่าเบื้องหลังแล้วพวกเขาทำการแข่งขันกันอยู่เสมอ ยามนี้เยี่ยฉวนตกปากรับคำจะไปกับหลิวหง หากทั้งหมดนั่นเป็นแผนการลอบโจมตีจากอีกฝ่ายจะทำอย่างไร?!
“เจ้าอ้วน ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรอก…กลับสำนักไปก่อนเถิด แต่หากคืนนี้ข้ายังไม่กลับมาจงไปหาบริวารโอสถ และบอกกล่าวแก่เขาให้มาช่วยเหลือ” เยี่ยฉวนออกคำสั่งก่อนก้าวขายาวๆ ตามหลิวหงไป…
“นี่! ไอ้คนสารเลว เจ้าจะไปกับสตรีนางนั้นจริงหรือ?” จูซือเจียปริปากหลังจากนิ่งเงียบมานาน นางขบกรามแน่นอย่างไม่เข้าใจตนเองเสียเลย ว่าเมื่อเห็นเยี่ยฉวนกับหลิวหงผู้มีเรือนร่างเย้ายวนนางนั้น เหตุใดจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ
ชื่อเสียงของหลิวหงแห่งสำนักเบญจลักษณ์โดดเด่นจนแม้แต่ศิษย์ในสำนักหมอกเมฆายังรับรู้ ทั้งความงดงามของนางยังเลื่องลือเป็นที่ประจักษ์ เรือนร่างเย้ายวนดึงดูดความสนใจจากบุรุษเพศหลายราย ส่วนเยี่ยฉวนแม้ไม่บรรลุขั้นการฝึกตนจนเก่งกาจทว่าเขาก็ดำรงตำแหน่งเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ การที่เขาไปกับนางสองต่อสองเช่นนี้คงไม่…
จูซือเจียสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ ตอนที่เยี่ยฉวนใช้เงินหลายร้อยตำลึงเพื่อแลกกับถุงดินไร้มูลค่ายังพอทำใจยอมรับได้ เพราะเขาเป็นคนเบาปัญญาและไร้ทักษะการใช้จ่าย ทว่าตอนที่เขามีท่าทีสนิทชิดเชื้อกับหลิวหงผู้มากมารยา นางกลับโกรธาจนดวงตาแทบลุกเป็นไฟ!
“ข้ากำลังอยู่ท่ามกลางสงครามชิงรักหักสวาทหรือนี่? ศิษย์น้องหญิงยังเป็นห่วงเป็นใยข้ามากเช่นเคย อย่ากังวลไป…ข้ายังประพฤติตนเหมาะสมคู่ควรกับเจ้า รับรองได้ว่าจะไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้น เจ้าควรไปอาบน้ำชำระร่างกายเสีย แล้วคืนนี้หากข้ากลับมาจะไปพบเจ้าที่เดิม!”
เยี่ยฉวนยิ้มด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม
จูซือเจียฟังเยี่ยฉวนพูดเชิงสองแง่สองง่ามเช่นนั้นก็โกรธจัดจนเผลอกระทืบเท้าเร่าๆ จากนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นเฒ่าโหวที่กำลังลอบมองแผ่นหลังของนางอย่างหยาบโลน ทันใดนั้นชายชราเฒ่าหัวงูจอมลวงโลกก็ต้องประสบกับความน่าสังเวช เมื่อจูซือเจียที่โกรธเกรี้ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เตะขวดโหลและไหจำนวนมากที่วางเรียงรายอยู่บนแผงของเขาตกแตกจนไม่เหลือชิ้นดี!