Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 368 ลางสังหรณ์ขององค์ชายหลีก่วงซ่าน
บทที่ 368 ลางสังหรณ์ขององค์ชายหลีก่วงซ่าน
“โฮก!”
จอมมารแห่งโรคาแปลงกายกลับเป็นร่างคางคกสามตาอีกครั้งขณะเปล่งเสียงคํารามอย่างโกรธเกรี้ยวและกลืนร่างของหลงเฟยลงคอ เสียงร้องโหยหวนของชายวัยกลางคนผู้เคราะห์ร้ายยังคงดึงกึกก้องแม้ร่างถูกกลืนหายไปทั้งตัวแล้ว
“รสชาติของเจ้าสํานักผู้นี้ไม่เลวเลย ฮ่าๆๆ!”
จอมมารแห่งโรคาแผดเสียงหัวเราะลั่นก่อนออกแรงกระแทกแนวแผ่นศิลาที่เรียงรายหลายแผ่นจนแตกหักและกระโจนหลบหนีออกไป ในที่สุดมันก็สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการที่ถูกผนึกจองจําไว้เป็นระยะเวลาหลายพันปี
“ระวัง!”
เยี่ยฉวนโบกสะบัดธงชัยโลหิตกล้าก่อนกระโดดลอยตัวขึ้นสูงและห้อยศีรษะลงมาจากผนังถ้ําประหนึ่งค้างคาว
คุณหญิงแห่งสํานักมังกรนภา หนานเทียนโตว รวมถึงคนอื่นๆ เร่งกระโจนหลบหลีกออกไปให้พ้นทางเช่นเดียวกัน
เจ้าสํานักหลงเฟยมีวรยุทธ์สูงส่งยากต่อการรับมือพอแล้ว นับประสาอะไรกับวิญญาณร้ายเก่าแก่ซึ่งมีฐานการฝึกตนแข็งแกร่งในขั้นกึ่งปราชญ์ ต่อให้ผนึกกําลังกันอย่างแข็งขันก็ไม่อาจหยุดยั้งอีกฝ่ายให้อยู่หมัด นับว่ายังโชคดีที่จอมมารแห่งโรคาใส่ใจแต่จะออกไปสู่ภายนอกถ้ําจึงไม่เกิดการต่อสู้เป็นระลอกที่สองมันเพียงเปล่งเสียงคํารามดังสนั่นและพยายามออกห่างจากที่นี่โดยเร็วที่สุด แม้แต่อาณาเขตป้องกันและผงพิษที่ลอยกระจายอยู่บริเวณปากถ้ําซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยหลงเฟยยังไม่อาจฉุดรั้งแรงมหาศาลของวิญญาณร้ายซึ่งมาจากโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้
ทันใดนั้นเสียงคร่ําครวญอย่างเจ็บปวดพลันดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
กุนซือชราเหล่าหานไม่สามารถประคองตนเองได้อีกต่อไปจึงทรุดตัวลงกองกับพื้นร่างกายของเขาปราศจากอุณหภูมิเฉกเช่นมนุษย์มีเลือดเนื้อ แม้ร่างกายมีความแข็งแกร่งและทนทานต่อความเจ็บปวดเหนือคนธรรมดา ทว่าการเสียแขนไปหนึ่งข้างกลับทําให้พลังปราณในกายของเขาได้รับความเสียหายไม่น้อยหลังจากจอมมารแห่งโรคาหลบหนีไปเขาจึงไม่อาจฝืนตนเองให้ยืนหยัดต่อคุณหญิงมู่หรงเฟยหูที่เห็นบริวารของตนได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือพร้อมผืนผ้าสําหรับพันแผล ส่วนปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินหนานเทียนโตว และปรมาจารย์นาคากระจา ยกําลังไปโดยรอบเพื่อจัดการกวาดล้างสนามรบเมื่อครู่จนกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว นอกจากดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาที่ร่วงหล่นพวกเขายังพบตาราเล่มเล็กซึ่งเขียนคําว่า ตําราลับมังกรนภา ไว้บนหน้าปกดูเหมือนมันจะร่วงลงมาจากอกเสื้อของหลงเฟยขณะที่ทําการต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อครู่
สมบัติทั้งสองชิ้นเป็นของสํานักมังกรนภา ทว่าบัดนี้เจ้าของเดิมของมันตายตกไปเสียแล้ว ดังนั้นคุณหญิงมู่หรงเฟยหูจึงกลายเป็นผู้มีอํานาจสืบทอดบัลลังก์เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปเยี่ยฉวนส่ายศีรษะเป็นเชิงปรามไม่ให้ปีศาจเฒ่าหลัวเต่อริบพวกมันเป็นของตนและมอบคืนให้กับนางไป
คุณหญิงยื่นมือรับตาราเล่มนั้นไว้ ครั้นพลิกไปมาและชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่นางจึงตัดสินใจจุดไฟเผามันให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
“คุณหญิง! นี้ท่าน…” เยี่ยฉวนร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ตารานี้ถือเป็นเคล็ดวิชามารต้องห้าม เนื้อหาของมันให้โทษมากกว่าคุณประโยชน์ดังนั้นข้าคิดว่าควรทําลายมันให้สิ้นซากไปเสียจะเป็นการดีกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้คนทรยศเฉกเช่นหลงเฟยปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในสํานักมังกรนภา ส่วนดาบจันทร์เสี้ยวเล่มนี้…” นางทดลองกวัดแกว่งมันสองสามครั้งก่อนยื่นให้เยี่ยฉวนพร้อมกล่าวออก “คุณชายเยี่ย ผู้เฒ่าผู้แก่เคยกล่าวสุภาษิตไว้ว่าควรมอบดอกไม้สดให้กับผู้ที่ทําคุณความดี…ควรมอบอาวุธดาบให้เป็นรางวัลแก่วีรบุรุษเช่นนั้นขาขอมอบมันเป็นรางวัลให้กับเจ้า”
“คุณหญิง…”
เหล่าหานและปรมาจารย์นาคาอุทานออกด้วยความตื่นตระหนกยิ่ง
ดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาไม่เพียงเป็นสมบัติล้ําค่าเท่านั้นทว่ายังเป็นอาวุธสังหารทรงพลังชิ้นใหญ่ที่มีคุณสมบัติระงับชะตากรรมของสํานักมังกรนภา พวกเขาอุตส่าห์ได้รับมันกลับคืนหลังจากพยายามเสาะหามานานหลายปีอย่างยากลําบาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางจะตัดสินใจมอบมันให้คนนอกได้อย่างไรกัน?!
“ท่านหญิงน่ามันกลับคืนไปเถิด”
เยี่ยฉวนส่ายหน้าพลางเอ่ยปฏิเสธความปรารถนาดีจากอีกฝ่ายโดยรักษาท่าที่นิ่งสงบ “ตามตํานานกล่าวขานว่าอาวุธชิ้นนี้มีความสําคัญช่วยระงับชะตากรรมของสํานักมังกรนภามาหลายศตวรรษของขวัญพิเศษเช่นนี้ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
แม้อานุภาพทําลายล้างของมันจะทรงพลังเพียงใดแต่ตัวเขาเองก็มีธงชัยโลหิตกล้าซึ่งไม่ด้อยไปกว่ากันอยู่ในครอบครองแล้วที่สําคัญเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสมบัติดังกล่าวมากนัก
“คุณชายเยี่ย เช่นนั้นหากข้ากล่าวว่ายังมีรางวัลที่ล้ําค่ายิ่งกว่าสิ่งนี้ยินดีมอบให้ เจ้าจะรับมันไว้หรือไม่?”
คุณหญิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นว่าคอระหงนวลเนียน มือข้างหนึ่งดึงเสื้อผ้าให้หลุดลุ่ยออกเผยให้เห็นเนินเนื้อนุ่มที่ขาวผุดผ่องเป็นยองใยราวหิมะก่อนกล่าวต่อ “ตํานานก็เป็นเพียงเรื่องที่คนบอกเล่าสืบต่อกันมา ก่อนหน้านี้มันก็เคยหายสาบสูญไปพร้อมกับท่านเจ้าสํานักคนเก่าเป็นเวลาหลายปี ซึ่งสํานักของข้าก็ยังดํารงอยู่ได้ไร้ซึ่งความเสียหายใหญ่หลวง ตอนนี้แม้หลงเฟยตายตกไปแล้วแต่เหล่าสาวกที่จงรักภักดีต่อเขายังคงอยู่ ล่าพังตัวข้ามีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอที่จะก่าจัดคนเหล่านั้นให้พ้นทาง คุณชายเยี่ย…หากท่านไม่มีสิ่งใดเร่งด่วนก็อาศัยอยู่ในสํานักมังกรนภาต่ออีกสักสามสองวันเป็นไร? ให้โอกาสข้าได้ปรนนิบัติความสําราญให้เจ้าอย่างเหมาะสมเพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้ามีน้ําใจช่วยเหลือว่าอย่างไร?”
สายตาของนางเปล่งประกายวาบหวาม ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
ถึงแม้หลงเฟยสิ้นชีพไปแล้วทว่าเหล่าสาวกคนสนิทของเขายังคงอยู่เป็นหนาม ยอกอกภายในสํานักมังกรนภา เวลานี้พลังอํานาจของมู่หรงเฟยหูอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้มันปราบปรามฝ่ายศัตรูให้ยอมสยบ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางต้องเสียยอดฝีมือชั้นเลิศที่สวามิภักดิ์ต่อนางและบิดาไปหลายคน หากจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่คงต้องอาศัยแรงกำลังจากเยี่ยฉวนคอยหนุนหลัง ส่วนดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาก็นับว่าไร้ประโยชน์เสีย แล้ว หากมันเปลี่ยนมือไปเป็นของเยี่ยฉวนเห็นทีคงเกิดผลมากกว่านอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษที่นางเต็มใจปรนเปรอให้เขา…
คุณหญิงมู่หรงเฟยหูกล่าวโดยแฝงความนัยลึกซึ้ง ทว่าเยี่ยฉวนกลับเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วความรู้สึกบ้าคลั่งเฉกเช่นค่าคืนที่ผ่านมาถูกปลุกเร้าขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง!
“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักสองถึงสามวัน ยังมีสหายเก่าอีกรายที่ยังไม่ออกไปจากสํานักของท่าน ข้าคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องไปเยี่ยมเยียนเขาเสียหน่อย” เยี่ยฉวนพยักหน้าพลางยื่นดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาให้หนานเทียนโตวเก็บรักษา ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดันเมื่อนึกไปถึงบุคคลซึ่งเขาเกลียดชังเป็นที่สุด
หลีก่วงซ่าน…องค์ชายผู้นั้นทําให้สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลับกลาย เป็นเลวร้ายแทบทุกครั้งหลังจากแผนกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาล้มเหลวเขาก็ยังไม่ คิดยอมแพ้และดิ้นรนเสาะหาทุกวิถีทางเช่นการพึ่งพาความช่วยเหลือจากสํานักมังกรนภาให้สร้างปัญหาเป็นครั้งที่สองคราวนี้เยี่ยฉวนหมดความอดทนแล้ว เขาตัดสินใจจะหยุดยั้งปัญหาทั้งหลายที่ต้นเหตุ
“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็กลับไปยังสํานักกันเถิด!”
คุณหญิงแห่งสํานักมังกรนภาออกค่าสั่งก่อนหมุนกายเดินจากไป
นางคิดใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ทุกคนยังไม่ทราบข่าวคราวเป็นตายร้ายดีของเจ้าสํานักหลงเฟยพวกเขาต้องเร่งกลับไปจัดการวางแผนยึดครองอานาจของสํานักพร้อมกําจัดบรรดาสาวกของหลงเฟยให้สิ้นซากเพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นทําการก่อกบฏในภายหลัง
ครั้นสํารวจสนามรบเมื่อครู่ว่ากลับคืนสู่สภาพเดิมทุกคนจึงเร่งฝีเท้ากลับออกไปนอกถ้ํา จากนั้นหนานเทียนโตวจึงกวัดแกว่งดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาเพื่อให้ถปีศาจนี้พังถล่มลง ทําให้พื้นที่ภายในซึ่งเคยเป็นสถานพันธนาการจอมมารแห่งโรคาถูกปิดตายไปตลอดกาล
ขณะที่พวกเขาเดินทางกลับด้วยความรวดเร็วแข่งกับเวลาแต่ยังระมัดระวังไม่เร่งความเร็วจนเป็นที่ผิดสังเกต ด้วยเกรงว่าเหล่าสาวกของหลงเฟยที่เฝ้ายามอยู่บริเวณรถม้าอาจเกิดความสงสัย ทันทีที่พ้นเขตอันตรายทุกคนจึงเพิ่มความเร็วถึงขีดสุดและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยกระบี่บิน ส่วนเยี่ยฉวนและหนานเทียนโตวกลับใช้วิธีวิ่งบนพื้นราบซึ่งให้ความเร็วรุดหน้ากว่ากระบี่บินเสียอีกคุณหญิงและคนอื่นๆ ที่เห็นสิ่งนี้รู้สึกถึงจนกล่าวคําใดไม่ออก
ยามดึกสงัด บรรยากาศเงียบงันเพราะปราศจากเสียงผู้คนเดินพลุกพล่าน…
เหล่าศิษย์ผู้ฝึกตนต่างแยกย้ายเข้าที่พํานักส่วนตัวของตนเพื่อนอนหลับพักผ่อนหรือทําการฝึกตนอย่างสันโดษ สํานักใหญ่ปกคลุมไปด้วยความเงียบเฉกเช่นที่ควรจะเป็นโดยไร้สิ่งผิดปกติใดคนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าเจ้าสานักหลงเฟยออกไปปฏิบัติภารกิจและยังไม่กลับมาที่สําคัญยังไม่รู้ว่าเขาตายตกไปแล้วมีเพียงบุคคลหนึ่งที่รอคอยการกลับมาของอีกฝ่ายด้วยความกระวนกระวาย
ภายในลานรับรองใกล้ห้องโถงมังกรนภาซึ่งจัดเตรียมไว้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาเยือนสํานัก ตะเกียงน้ํามันยังคงถูกจุดสว่างไสวอยู่อย่างนั้น
ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียง ชายหนุ่มสวมหน้ากากนังหลังตรงอยู่หน้าโต๊ะเขียน หนังสือในมือข้างหนึ่งจุ่มปลายพู่กันลงบนหมึกที่คนรับใช้บดเตรียมไว้ให้ ท่าทางของเขาดูเหมือนต้องการลอกเลียนแบบอักษรหรือเขียนจดหมายบางฉบับ ทว่าผ่านไปเนิ่นนานแล้วเขายังไม่จรดปลายพู่กันลงบนกระดาษตรงหน้าเสียที หัวใจของเขาเกิดความกระสับกระส่ายจนไม่รู้ว่าควรเขียนเนื้อความลงไปอย่างไรผ่านไปอึดใจหนึ่งเขาจึงออกแรงนิ้วจนพู่กันหักคามือเป็นสองท่อน
“ฝ่าบาท เวลาล่วงเข้าสู่กลางดึกแล้ว พระองค์ควรพักผ่อนวรกายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ราชองครักษ์นายหนึ่งก้าวไปด้านหน้าพร้อมประสานมือค่านับถวายค่าแนะนํา
“พักผ่อนงั้นรึ? วันพรุ่งนี้ก็ถึงกําหนดออกเดินทางไปยังสํานักหมอกเมฆาเพื่อสังหารไอ้สารเลวเยี่ยฉวนนั่นแล้ว แต่จนป่านนี้เจ้าสํานักหลงเฟยยังไม่กลับมาอีกเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะให้ข้าข่มตาหลับลงได้อย่างไร?!”
องค์ชายหลีก่วงซ่านตวาดด้วยความวิตกกังวล จากนั้นจึงยืนขึ้นและเดินวนไปรอบห้องรับรองอย่างไม่เป็นสุข หลังผ่านไปพักใหญ่เขาจึงเดินวกกลับมานั่งลงที่เดิมอีกครั้งก่อนหยิบพู่กันด้ามใหม่ขึ้นมาปลายพู่กันจุ่มน้ําหมึกหนึ่งครั้งก่อนจรดลงบนกระดาษเป็นค่าว่าเยี่ยฉวน’ จนถมเต็มพื้นที่ว่างบนแผ่นกระดาษนั้น
เขาไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเกี่ยวกับความร้อนรนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนในค่ําคืนนี้ รู้เพียงว่าลางสังหรณ์มีแต่ความบิดเบี้ยวซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อนึกถึงเยี่ยฉวน ที่มีพละกําลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเทียบเท่าตนทุกขณะสมองยิ่งสับสนวุ่นวายอย่างยากจะระงับฟันกรามขบเข้าหากันแน่นด้วยอารมณ์เกลียดชัง