Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 36 ตลาดมืด
บทที่ 36 ตลาดมืด
ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนจากเหล่าภูติอสุรกายราวเสียงหอนของหมาป่าดังลั่นทั่วอาณาบริเวณ ปลุกให้บรรดาศิษย์หลายคนตื่นขึ้นจากการหลับใหล
ลมพายุรุนแรงโหมกระหน่ำพัดกวาดทั่วทั้งหอแปรธาตุ แม้แต่ทหารอารักขาที่ยืนประจำการอยู่ตรงเชิงเขายังรู้สึกหนาวเหน็บจนร่างกายสั่นสะท้าน
นับตั้งแต่เยี่ยฉวนกลับชาติมาเกิด…สถานการณ์นี้ถือเป็นการจู่โจมเยี่ยงมารผจญอย่างแท้จริง!
จินจื่อคุนยืนอยู่กลางลานกว้าง เขาห่อไหล่ลงเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นพร้อมดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจ้าก่อนปรบมือและกล่าวออก “ฮึ่ม! ผู้ใดซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น?! จงปรากฎกายต่อหน้าข้า!”
ปัง!
ทันใดนั้นเสียงระเบิดลั่นถึงขั้นทำลายโสตประสาทดังขึ้นอย่างกึกก้อง!
เสียงระเบิดรุนแรงนั้นเกิดจากการปรบมือเพียงครั้งเดียวของจินจื่อคุน ทั้งยังส่งเสียงหวีดหวิวไปทุบเหล่าโครงกระดูกเงาจนล้มครืน! ปราณฉีและเลือดภายในร่างของเขาพรั่งพรูออกและพุ่งไปด้านหน้าราวแม่น้ำสายใหญ่ รอบกายเปล่งประกายไปด้วยรัศมีแห่งปราณหยางจนบรรดาแมงป่อง ตะขาบและอสรพิษต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมมืดในระยะหนึ่งกิโลเมตรต่างหนีตายอลหม่าน…ตัวที่เลื้อยช้าก็ถูกปราณหยางกัดกร่อนเผาไหม้เป็นควันดำ!
เจ้าหอแปรธาตุยืนตระหง่านอยู่ตรงจุดเดิมพร้อมแสยะยิ้มอย่างเยาะเย้ย
ดวงจิตหยินท่องราตรีนิรนามควบคุมสายลมคลั่งและพยายามโจมตีเขาอย่างไร้ความลังเล ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเขากำลังบ่มเพาะกายหยางอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นปรปักษ์กับดวงจิตหยินทุกประเภท?!
ทันใดนั้นสายลมคลั่งกลับพุ่งแทรกผ่านโครงกระดูกเงาที่ถูกอีกฝ่ายทุบเมื่อครู่ ก่อนรวบรวมพวกมันเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเงายักษ์รูปร่างคล้ายนิ้วมือ พลางส่งเสียงหวีดหวิวไปยังจินจื่อคุนเป็นเชิงข่มขวัญ!
ดวงจิตของเยี่ยฉวนเริ่มโต้กลับอย่างดุร้ายเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีหยิ่งผยอง!
ดวงจิตของเขาควบคุมสายลมจนแปรรูปร่างเป็นนิ้วมือซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังปราณแห่งความตาย ประหนึ่งเทพเจ้าลงมือสังหารกองทัพที่ทรงพลังด้วยแรงเหวี่ยงอย่างรวดเร็ว! จินจื่อคุนขมวดคิ้วด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“หัตถ์มารลวงตาหรือ?! บัดซบ…เจ้าคือผู้ใดกัน?!”
ชายวัยกลางคนแผดเสียงร้องเมื่อรับรู้ความประมาทของตน โครงกระดูกเงาที่น่าสะพรึงเป็นเพียงสิ่งหลอกล่อ ดวงจิตของอีกฝ่ายที่แปรสภาพเป็นเงาหัตถ์มารลวงตาต่างหากที่เป็นจิตสังหารแท้จริง!
เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดดังกึกก้องท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรี….
จินจื่อคุนสัมผัสถึงความหนาวเหน็บที่แทรกผ่านผิวหนังไปถึงกระดูกดำจนร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม เขาถูกขัดจังหวะจนบ่มเพาะกายหยางอันศักดิ์สิทธิ์ไม่สำเร็จ ทั้งยังไม่สามารถบรรลุการฝึกตนไปอีกขั้น ส่วนดวงจิตของเยี่ยฉวนได้รับบาดเจ็บหนักจึงลดขนาดเงาหัตถ์มารลวงตาลง…ครั้นจู่โจมอีกฝ่ายเสร็จสิ้นก็ถอยกลับโดยทันที!
“บังอาจ! คิดว่าจะหนีเงื้อมมือข้าพ้นงั้นรึ?!”
จินจื่อคุนผู้ประสบความหายนะเพราะความประมาทเลินเล่อของตนขบกรามแน่นอย่างแค้นเคือง เขาจ้องมองดวงจิตหยินที่กำลังลอยหนีก่อนกระโจนไล่ตามไปอย่างเร่งร้อน!
หลังจากเขาถูกลอบโจมตีจากดวงจิตหยินนิรนาม การฝึกตนให้บรรลุจากระดับสูงสุดของขั้นซิวฉือเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าก็เป็นอันหยุดชะงัก โดยไม่อาจคาดเดาอนาคตได้ว่าเมื่อไรจึงจะสามารถเข้าใกล้ระดับนั้นได้อีกครั้ง แผนการทั้งหมดของเขาพลังทลายลงจนพลาดโอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้ จะให้เขาปล่อยวางโดยไม่แก้แค้นได้อย่างไร?!
ดวงจิตของเยี่ยฉวนไม่อาจลอยหนีได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควรเพราะถูกปราณหยางทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ทำให้จินจื่อคุนผู้เปี่ยมด้วยความแค้นวิ่งไล่หลังมาจนเกือบตามทัน
แสงสีทองสว่างวาบพลันปรากฎขึ้นตัดกับความมืดมิด ขณะที่กรงเล็บของจินจื่อคุนกำลังจะตะครุบดวงจิตของอีกฝ่ายจนแตกออกเป็นเสี่ยง ชายวัยกลางคนหยุดชะงักฝีเท้าเพราะความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาอย่างกะทันหันจากบริเวณลำคอราวถูกตัวต่อต่อย เขายกฝ่ามือขึ้นทันควันเพื่อคลำหาต้นตอทว่าพบเพียงเลือดสีแดงฉาน หากช้ากว่านี้เพียงนิดอาจถูกแสงสีทองนั่นหลอดลมเข้าแล้ว!
ราชันจักจั่นทองคำที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดใดสักแห่งพุ่งเข้าจู่โจมศัตรูด้วยความรวดเร็วอันน่าตระหนกยิ่ง! ปีกคมกริบราวมีดโกนทั้งสี่ของมันเกือบทำร้ายจินจื่อคุนผู้บรรลุขั้นซิวฉือระดับที่เจ็ดจนสิ้นชื่อ!
ทุกความเคลื่อนไหวในการโจมตีศัตรูมีความเชื่อมโยงกันเป็นขั้นตอน…
เยี่ยฉวนจัดเรียงลำดับขั้นของอาวุธสังหารไว้เผื่อใช้โจมตีอีกฝ่าย เริ่มแรกเขาใช้โครงกระดูกเงามาหลอกล่อและรวบรวมพวกมันจนเกิดหัตถ์มารลวงตา จากนั้นให้ราชันจักจั่นทองคำหลบซ่อนตัวในมุมมืดเป็นอาวุธสังหารที่ร้ายแรงขั้นสูงสุด
โชคร้ายที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปดังที่เขาคาดหวัง…
เขารู้สึกเช่นนั้นเพราะลอบสังหารจินจื่อคุนไม่สำเร็จ และครั้งหน้าอาจใช้กลอุบายแบบเดิมมาโจมตีไม่ได้อีก ทว่ายังพอมีเรื่องดีในเรื่องร้ายอยู่บ้างเมื่อราชันจักจั่นทองคำเข้ามาสกัดกั้น ทำให้ดวงจิตของเขาอาศัยความมืดยามราตรีหลบหนีจากเงื้อมมืออีกฝ่ายได้ทันการณ์ ส่วนจินจื่อคุนก็ไม่อาจบรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าได้สำเร็จ
ยามราตรีกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง ปราศจากเสียงร้องโหยหวนของเหล่าภูติอสุรกายและเสียงหอนของหมาป่า เช่นเดียวกับการต่อสู้อันดุเดือดที่จบลงอย่างรวดเร็ว…
จินจื่อคุนเผยสีหน้าคล้ำเข้มขณะเพ่งมองไปยังทางที่ดวงจิตหยินนิรนามหายวับไป หลังใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ที่จะไล่ตามมัน…
เจ้าหอแปรธาตุทบทวนเหตุการณ์และกระบวนเคล็ดวิชาที่อีกฝ่ายใช้โจมตีทีละขั้นตอน ดวงจิตหยินนั้นไม่ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามเท่ากับการถูกลอบจู่โจมอย่างกะทันหันของราชันจักจั่นทองคำสี่ปีก ด้วยระดับขั้นการฝึกตนของเขาทำให้ไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา
หลังจากดวงจิตของเยี่ยฉวนหนีลับไป เสียงร้องโหยหวนของภูติอสุรกายและเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง รอบนี้เหล่าทหารอารักขาและบรรดาศิษย์ในสังกัดหอแปรธาตุถือคบเพลิงเร่งรุดมายังที่เกิดเหตุทันที ด้วยสัญชาตญาณว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น!
“ค้นให้ทั่ว! จอมมารปีศาจในคราบดวงจิตหยินท่องราตรีหายลับไปทางโน้น! มันต้องซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้เป็นแน่…ถูกปราณหยางของข้าโต้กลับเช่นนั้น คงบาดเจ็บหนักไม่อาจหนีได้ไกล!”
จินจื่อคุนเผยสีหน้าเย็นเยือกและคล้ำหม่นขณะออกคำสั่ง สิ้นคำทหารอารักขาจึงเดินเรียงแถวออกไปทันที ทหารที่ถูกเกณฑ์มาตามล่าจอมมารปีศาจเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนบรรยากาศของทั้งสำนักเริ่มตึงเครียด แต่แม้ค้นหาทั่วก็คว้าน้ำเหลวเพราะไม่พบร่องรอยใดๆ ผู้ใดจะคาดคิดว่าจอมมารปีศาจดังกล่าวไม่ใช่อสุรกาย…แต่กำลังพำนักอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในสำนักหมอกเมฆาในยามนี้!
เยี่ยฉวนรีบหลอมรวมดวงจิตเข้ากายหยาบทันทีที่กลับถึงยอดเขาเมฆาอินทนิล เขาทำการลบร่องรอยต่างๆ จนหมดสิ้น ทุกสิ่งถูกกระทำอย่างเงียบเชียบ ครั้นรุ่งเช้าของวันใหม่มาเยือน…บาดแผลต่างๆ บนร่างกายของเขาทยอยดีขึ้นตามลำดับ มีเพียงใบหน้าที่ยังปรากฏรอยแดงเป็นแถบ
ร่างกายของเขายังไม่บรรลุถึงขั้นซิวฉือ…แม้มีประสบการณ์มากเพียงใดก็ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่าย คืนวานนี้หากดวงจิตของเขาไม่แข็งแรงเพียงพอและไม่ได้รับการคุ้มครองจากราชันจักจั่นทองคำ เกรงว่าคงถูกกายหยางอันศักดิ์สิทธิ์ของจินจื่อคุนบดขยี้จนสิ้นชีพ!
“ศิษย์พี่ใหญ่…ศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ!”
จ้าวต้าจื่อตะโกนเรียกหาศิษย์พี่ใหญ่ตั้งแต่รุ่งสาง พอเยี่ยฉวนเปิดประตูเขาจึงเร่งกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ศิษย์พี่ใหญ่! เมื่อคืนท่านได้ยินเสียงร้องน่าสยดสยองของเหล่าภูติอสุรกายหรือไม่?! โอ้…จอมมารปีศาจช่างเปี่ยมด้วยพลังอันไร้ที่ติ! แม้แต่ท่านเจ้าหอแปรธาตุก็… เอ๊ะ! ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดสิ่งใดขึ้น? เหตุใดใบหน้าของท่านจึง…”
เจ้าอ้วนตกใจยิ่งเมื่อเห็นศิษย์พี่ใหญ่มีสีหน้าซีดเซียว ทั้งร่างกายยังอ่อนระโหยโรยแรง!
“เมื่อคืนข้าไปเดินเล่นผ่อนอารมณ์ที่บริเวณหลังภูเขา ระหว่างนั้นกลับพบสัตว์อสุรกายที่ทรงพลัง จึงต่อสู้จนร่างกายบาดเจ็บเล็กน้อย…” เยี่ยฉวนสรรหาข้ออ้างอื่นมาตอบเจ้าอ้วนก่อนเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เกิดเหตุใดขึ้นรึ?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านคงไม่รู้! เมื่อคืนมีเสียงร้องของภูติอสุรกายโหยหวนราวเสียงหมาป่า…เช้าวันนี้หอแปรธาตุก็ถูกลมพายุพัดถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง ช่างน่ากลัวนัก!” จ้าวต้าจื่อเผยสีหน้าหวาดกลัวขณะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฉากๆ ราวเห็นด้วยตาตนเอง เขาเว้นระยะครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “ศิษย์พี่ใหญ่ แม้การประลองระหว่างสามสำนักจะกระชั้นชิดเข้ามาทว่ายังพอมีเวลาเหลืออยู่…ท่านไม่ควรเฉียดเข้าใกล้หุบเขาหลังสำนักที่เต็มไปด้วยอันตรายหากยังไม่บรรลุถึงขั้นซิวฉือ อ้อ จริงสิ! วันนี้มีการจัดงานตลาดมืด ท่านใคร่ไปเดินชมหรือไม่? บางทีท่านอาจพบสมบัติล้ำค่าบางชิ้น หรืออาจซื้อยาเม็ดที่ดีที่สุดในราคาไม่แพงมารักษารอยแดงบนใบหน้าให้หายอย่างรวดเร็ว!”
“โอ้… ตลาดมืดงั้นรึ?!” เยี่ยฉวนพึมพำ
“ลักษณะของตลาดนี้คล้ายคลึงกับตลาดค้าของเถื่อนทั่วไป แต่การวางแผงของมันลึกลับยิ่งกว่า…ครั้งก่อนที่ท่านสั่งให้ข้าไปตรวจสอบเรื่องของโท่วป่าเซียงเนียว ข้าไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น แต่ข้าใช้วิธีจ่ายเงินจำนวนหนึ่งจ้างยอดฝีมือเร้นลับในตลาดค้าปีศาจในการหาข้อมูลและรูปภาพ ศิษย์พี่ใหญ่อย่ากังวลไป…แม้ข้าไร้ทักษะที่สูงส่งทว่ามีเงินจำนวนมาก ข้ายินดีดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ท่านเอง! ไปเถิด!”
จ้าวต้าจื่อตบหน้าอกที่แน่นไปด้วยไขมันของตนเป็นเชิงให้คำมั่น พร้อมอธิบายอย่างละเอียดด้วยรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ผู้เอาแต่ซ่อนตัวอยู่บนยอดเขาเมฆาอินทนิลอย่างสันโดษ คงไม่เคยไปที่ตลาดมืดเป็นแน่
“ประเสริฐ! เช่นนั้นก็ไปเถอะ!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าก่อนเดินตามจ้าวต้าจื่อออกจากสำนัก…
ตลาดมืดคงมีสินค้าที่บรรดาศิษย์ทั้งในสำนักและนอกสำนักนำมาวางจำหน่ายหลายสิ่ง หากมองหาอย่างพิจารณาอาจพบขุมทรัพย์ล้ำค่าก็เป็นได้ พอเจ้าอ้วนเล่าให้ฟังว่ามีผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ ซ่อนตัวอยู่ภายในตลาด เยี่ยฉวนยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็น…