Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 353 หอมังกรนภา
บทที่ 353 หอมังกรนภา
“การสัมผัสกระดูกต้องเริ่มจากขาทั้งสองข้างก่อน ค่อยๆ สัมผัสจากเท้าขึ้นไปที่ส่วนหัวและย้อนกลับลงมาหัวจรดเท้า ข้าสามารถคํานวณเรื่องราวในภพชาติก่อนและภพชาติปัจจุบันของผู้คนได้อย่างแม่นยําด้วยการทําตามวัฏจักรสัมผัสกระดูกสวรรค์นี้ให้สมบูรณ์ โดยปกติแล้วมนุษย์ปถุชนไม่อาจควบคุมโชคชะตาของตนเองได้ มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทํานายของข้า หากการทํานายไม่แม่นยำ เจ้าควรชําระล้างร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า และเข้าสมาธิเป็นเวลาเจ็ดวันเสียก่อนจึงจะสามารถเข้าสู่วัฏจักรสัมผัสกระดูกสวรรค์ได้อีกครั้ง”
เยี่ยฉวนกล่าวออกด้วยท่าที่จริงจังพลางค่อยๆ กดไปตามขาขวาของสาวใช้จ้าวชูหยา มือซ้ายของเขาดันขาของนางอย่างนุ่มนวลขณะใช้นิ้วโป้งขวานวดวนเป็นวงกลมบริเวณฝ่าเท้าอย่างเชื่องช้าโดยค่อยๆ เพิ่มแรงทีละน้อย “ว่าแต่แม่สาวน้อย…เจ้ายังไม่ได้กล่าวชื่อเสียงเรียงนามกับข้าเลย บอกข้ามาเถิด เจ้าช่วยชีวิตปู่หลานคู่นี้ไว้ ข้าอยากขอบคุณเจ้าให้เหมาะสม
“ข้ามีนามว่าจ้าวชูหยา เฒ่าเยี่ย ท่านจะเรียกข้าว่าเสี่ยวหยาก็ได้ กะ… การสัมผัสกระดูกมีวัฏจักรของมันด้วยงั้นหรือ?” จ้าวปูหยาเอ่ยถามพลางหอบหายใจหนักหน่วงเมื่อเยี่ยฉวนเพิ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทนแทบไม่ไหว ทว่าร่างกายของนางกลับอ่อนปวกเปียกด้วยความรู้สึกพึงพอใจบางอย่างจนสมองพร่าเบลอ
เคล็ดวิชาเสียงปีศาจ!
เยี่ยฉวนลอบใช้เคล็ดวิชาเสียงปีศาจทําให้จ้าวชูหยารู้สึกมึนงง เคล็ดวิชาพยากรณ์โดยใช้การสัมผัสกระดกนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการหลอกถามข้อมูลการที่ชายหนุ่มให้สาวใช้ผู้นี้ถอดเสื้อผ้าและช่วยสัมผัสกระดูกเป็นเพียงกลเม็ดที่ทําให้นางรู้สึกผ่อนคลายเท่านั้น
“นานแสนนานมาแล้วมีสํานักหนึ่งชื่อว่าสํานักสัมผัสพยากรณ์ที่สอนวิชาการอ่านโชคชะตาด้วยการสัมผัสกระดูกโดยเฉพาะ ศิษย์ทั้งหมดล้วนแต่เป็นยอดฝีมือชั้นเลิศผู้ยากหยั่งถึง”
เยี่ยฉวนจงใจกล่าวตอบอย่างเชื่องช้า น้ําเสียงของเขาเบาหวิวราวกับไม่มีอยู่จริงและดังแว่วมาจากเส้นขอบฟ้าไกล จากนั้นชายหนุ่มจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของสาวใช้น้อยเอาไว้
ในยามนี้จ้าวชูหยารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิมจนละทิ้งความเขินอายและหวาดระแวง ในตอนแรกไปหมดสิ้น นางยึดเหยียดร่างกายและปล่อยให้เยี่ยฉวนนวดเฟ้นกระดูกของนางทีละนิ้วพร้อมพิมพ์ในลําคอ “จริงหรือเฒ่าเยี่ย?”
“จริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะไปร่ําเรียนวิชานี้มาจากที่ใดเล่า? เคราะห์ร้ายที่ข้าได้ตํารามาไม่สมบูรณ์จึงรู้เพียงวิชานวดกระดูกเท่านั้น หากแต่ไม่รู้เคล็ดวิชาอื่นใดของสํานักสัมผัสพยากรณ์อันเก่าแก่นี้เลย ไม่เช่นนั้น… เฮ้อ…” เยี่ยฉวนถอนหายใจแผ่วเบาพลางเอ่ยคํากึ่งจริงกึ่งเท็จ
“เฒ่าเยี่ย ท่านเป็นใครกันแน่? เดินทางมาเมืองมังกรนภาด้วยเหตุใด?” จ้าวชูหยาถามขึ้น
“เรื่องมันยาว ข้าอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ นอกเทือกเขาหมอกเมฆา แม้ชีวิตของข้าจะค่อนข้างแร้นแค้นแต่ก็มีครอบครัวที่อบอุ่นและรักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่แล้วทหารกว่าสองแสนนายกลับเข้ารุกรานเมืองของข้าโดยไม่คาดคิดเมื่อไม่นานมานี้ พวกมันรีดไถภาษีมากเกินควรและยึดทรัพย์สินของประชาชนภายใต้คําสั่งของสัตว์ร้ายนามหลีก่วงซ่าน ทั้งยังปลิดชีพผู้คนโดยไม่ลังเลเมื่อพวกเขาทําผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ้านเกิดของข้าเองก็ถูกยึดครองเช่นกัน ครอบครัวของข้าถูกสังหารจนสิ้น เหลือเพียงคนชราอย่างข้าและหลานชายหลงเอ๋อร์น้อยที่หนีรอดมาได้ ไอ้สัตว์ร้ายนั่นอ้างตนว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน แต่กลับโหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าจอมมารปีศาจ…” เยี่ยฉวนเริ่มเข้าประเด็นตามค่าถามของสาวใช้ตัวน้อย
“อะไรกัน?! องค์รัชทายาทหลีก่วงซ่าน คงไม่ใช่…” สาวใช้ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกก่อนจะเงียบลงราวกับเป็นกังวลถึงบางสิ่ง
“มีอะไรเสี่ยวหยา? เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ?” เยี่ยฉวนเอ่ยถาม ภายนอกเขาแลดูสงบนิ่งแต่ประกายแสงสีซีดกลับฉายแวบผ่านแววตาเมื่อรู้ว่าเลือกถามได้ถูกคนแล้ว
“เฒ่าเยี่ย ข้า… ข้า…”
สาวใช้น้อยตะกุกตะกักก่อนกล่าวออก “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ต่ําต้อย จะไปรู้จักองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร? แต่เมื่อสองวันก่อนข้าเห็นท่านเจ้าสํานักและคุณหญิงกําลังรับแขกในตอนชา ได้ยินมาว่าเขาคือองค์ชายรัชทายาทหลีก่วงซ่าน แต่สิ่งที่แปลกคือแม่ว่ารูปร่างของเขาจะสูงโปร่งกําย่า ทว่ากลับปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีดําแลดูประหลาดพิกล”
“เป็นเขาไม่ผิดแน่ ใบหน้าขององค์ชายได้รับบาดเจ็บ กึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์หากแต่อีกกึ่งหนึ่งกลับหล่อขึ้นจากเหล็กกล้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจเปิดเผยใบหน้าได้” เยี่ยฉวนยิ้มหยันเมื่อได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่ช่วยหนานจอจ้าวอิงเอ่ยเป็นความจริง หลีก่วงฮานอยู่ในแคว้นมังกรนภาและกําลังพยายามโน้มน้าวสํานักมังกรนภาให้บุกโจมตีสํานักหมอกเมฆา “เสี่ยวหยา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพักอยู่ที่ใด?”
“แขกกิตติมศักดิ์ของท่านเจ้าสํานักจะถูกจัดให้พักในลานมังกรนภาใกล้กับหอมังกรนภา เฒ่าเยี่ย เหตุใดท่านจึงถามถึงพระองค์เช่นนั้น? องค์รัชทายาทมียอดฝีมือจากราชสํานักห้อมล้อมอยู่มากมาย อีกทั้งลานมังกรนภายังเป็นสถานที่สําคัญของสํานักที่ได้รับการอารักขาอย่างเข้มงวด ท่านต้องไม่…” จ้าวชูหยารักกังวลว่านางพูดมากเกินไปเสียแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ แห่งเต่ระดับสูงยังไม่สามารถเข้าถึงลานมังกรนภาได้ หากปู่หลานคู่นี้บุกรุกเข้าไปมีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น
“ท่านต้องไม่รนหาที่ตายเช่นนั้น…นี่ใช่สิ่งที่เจ้าจะพูดหรือไม่?”
เยี่ยฉวนชะงักไปก่อนเอ่ยขึ้น “เสี่ยวหยา วางใจเถิด พวกข้าไม่บุกเข้าไปในลานมังกรนภาเพื่อสังหารองค์รัชทายาทหลีก่วงซ่านหรอก ต่อให้ข้าคิดจะทําเช่นนั้นก็ไม่มีความสามารถมากพอ พวกข้าเพียงแต่หวังให้เขาได้รับผลกรรมชั่วจากการกระทําของเขาและหวังว่าสักวันจะมียอดฝีมือที่ แข็งแกร่งกว่ากําจัดเขาได้ในที่สุด”
หลังได้เบาะแสของหลีก่วงซ่านจากปากของจ้าวชหยาแล้วเยี่ยฉวนก็ไม่ได้ชวนนางพูดคุยถึงสิ่งใดอีก เพียงแค่บีบนวดไปตามสันกระดูกของสาวใช้ตัวน้อยเท่านั้น อันที่จริงเขาไม่ได้กําลังนวดกระดูกของนางหรือฉวยโอกาสกับร่างกายของนางแต่อย่างใด หากแต่กําลังใช้ยันต์กลืนกินสวรรค์ช่วยชําระไขกระดูกให้ ต่อจากนี้จ้าวปูหยาจะได้ผลลัพธ์การฝึกตนเพิ่มพูนเป็นสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว และจะสามารถบรรลุจากขั้นอเจ่อระดับสุดท้ายสู่ขั้นซิวฉือได้ อย่างรวดเร็วไร้ปัญหา จากนั้นชายหนุ่มจึงบอกว่ามารดาและพี่สาวของนางยังมีชีวิตอยู่เพื่อจุดประกายความหวังเล็กๆ ในการดํารงอยู่ต่อไป
ผลจากเคล็ดวิชาเสียงปีศาจและการชําระไขกระดูกทําให้จ้าวชูหยาวิงเวียนหนักขึ้นเรื่อยๆ กระทั้งจมลงสู่ห้วงนิทราลึก
เยี่ยฉวนปรบมือเรียกหลงเอ๋อร์น้อยที่รออยู่ข้างนอกให้ผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นว่าสาวใช้น้อยหลับใหลไปโดยสวมใส่ชั้นในครบถ้วนจึงเผยท่าที่ประหลาดใจเล็กน้อย “เอ่อ นางยังใส่ชุดชั้นในอยู่หรือขอรับ? ท่านไม่…”
“แน่นอน ข้าไม่ได้ทํา หลงเอ๋อร์น้อย นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนประเภทไหนกัน?”
เยี่ยฉวนสันศีรษะก่อนหยิบหมวกไม่ไผ่ออกมาสองใบและโยนใบหนึ่งให้หลงเอ๋อร์ “ข้ารู้ตําแหน่งของหลีก่วงซ่านแล้ว เราจะออกเดินทางในคืนนี้ ไปกันเถอะ!”
เยี่ยฉวนสวมหมวกไม้ไผ่ใบกว้างก่อนเดินตัวปลิวออกไปโดยมีหลงเอ่อร์น้อยตามหลัง ทั้งสองค่อยๆ หายลับไปท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี แม้ว่าสํานักมังกรนภาจะใหญ่โตมากแต่การตามหาหอมังกรนภาไม่ใช่เรื่องยากนัก
แสงสลัวยามค่ําคืนส่องลงมาอาบไล้ผืนดิน
สํานักมังกรนภาครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง มีทั้งภูเขา ลําธาร และป่าทึบอยู่ภายใน เยี่ยฉวน และหลงเอ๋อร์อาศัยเคล็ดวิชาการเคลื่อนที่ของพวกเขาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงโดยใช้ความมืดเป็นเครื่องกําบัง ทั้งสองเจอเข้ากับทหารอารักขาและอาณาเขตสารพัดชนิดตลอดทาง หากเป็นคนธรรมดาที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ ต่อให้จะรอดพ้นสายตาของเหล่าทหารไปได้ก็คงถูกอาณาเขตสกัดกั้นและเปิดเผยตัวตนไปแล้ว ทว่าเยี่ยฉวนกลับผ่านมาได้อย่างง่ายดาย
ในภพชาติก่อนเขาได้วิเคราะห์และไขปริศนาของอาณาเขตมาทุกประเภทแล้ว อาณาเขตทั่วไปจึงไร้ผลและไม่อาจแม้แต่จะถ่วงเวลาได้ด้วยซ้ํา ครู่หนึ่งผ่านไปทั้งสองก็มาถึงด้านนอกของหอคอยอันโอ่อ่าอลังการ มีรูปปั้นหินแกะสลักรูปมังกรนภาขนาดมหึมาแขวนอยู่บนผนัง มันแลดูเสมือนจริงมากราวกับสามารถมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ภายในหอสว่างไสวและมีผู้คนจํานวนหนึ่งกําลังนั่งสนทนากันอยู่ เยี่ยฉวนมองเห็นร่างของหลีก่วงฮ่านได้ทันทีแม้มองจากระยะไกล