Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 352 ช่วยให้ข้าสบายใจขึ้นได้หรือไม่?
บทที่ 352 ช่วยให้ข้าสบายใจขึ้นได้หรือไม่?
หลังเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไปเยี่ยฉวนและหลงเอ๋อร์จึงถูกพาไปยังห้องพักรับรองปีกหนึ่งตาม ความเหมาะสม สาวใช้รีบร้อนจัดเตียงและเชิญหมอหลวงเพื่อมารักษาสาวใช้ผู้นี้อายุยังเยาว์คาด เดาอายุไม่เกินสิบหกปี ทรวดทรงยังไม่เด่นชัดเพราะเพิ่งพ้นจากวัยเด็ก และเมื่อฟังเสียงพูดคุย ของนางจึงยืนยันว่าเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่ตะโกนออกมาจากรถม้าไม่ผิดแน่
ทันทีที่หมอหลวงชราผู้มีเคราสีขาวถูกเชิญเข้ามาในห้อง ทั้งเยี่ยฉวนและหลงเอ๋อร์จึงฟื้นขึ้นพร้อมกัน
ครั้นพันผ้าพันแผลและทําการห้ามเลือดเป็นที่เรียบร้อย หมอหลวงชราจึงทิ้งยาสมุนไพรไว้บางส่วนและเก็บข้าวของออกไป ก่อนก้าวขาออกจากห้องจึงหันไปกระซิบบางอย่างกับสาวใช้เขาคิดว่าหนึ่งบุรุษหนึ่งเด็กชายผู้นี้ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่จึงเร่งรุดมาด้วยความกังวลทว่าเมื่อมาถึงกลับพบว่าทั้งสองได้รับบาดเจ็บและมีบาดแผลถลอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หมอห ลวงชราผู้ร่ําเรียนวิชาการแพทย์มานานหลายปีจึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเหตุใดจึงถึงขั้นหมดสติ หรืออาจเป็นเพราะสองปุ่หลานนี้มีลักษณะร่างกายที่ผิดแปลกอย่างน่าอัศจรรย์
ภายในสํานักมังกรฟ้ามียอดฝีมือชั้นเลิศจํานวนมากทั้งยังมีบริวารซึ่งมีอุปนิสัยประหลาดนับไม่ถ้วน ทว่าหมอหลวงผู้นี้ไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่ต้นอย่างแน่นอนส่วนยอด ฝีมือแม้สักคนก็ไม่เร่งรุดเข้ามาตรวจสอบตัวตนของแขกที่ไม่ได้รับเชิญในทันทีศิษย์คนอื่นของ สํานักไม่เฉียดเข้าใกล้บริเวณนี้หรือเดินพลุกพล่านมีเพียงสาวใช้และบริวารบางคนที่เดินเข้าออกเป็นครั้งคราวตามจริงแล้ววณิพกผู้ทําอาชีพนักพยากรณ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสํานักด้วย
ซ้ํา หากไม่ได้รับคําสั่งจากคุณหญิงคงไม่มีผู้ใดกล้าพาสองปู่หลานซึ่งประสบอุบัติเหตุเข้ามาอย่างเด็ดขาด หนําซ้ํายังต้องลงหวายเฆี่ยนตีโทษฐานที่บังอาจขวางเส้นทางของสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้น
ไม่นานหลังจากหมอหลวงชราเดินจากไปบรรดาสาวใช้จึงทยอยเดินออกจากห้องไปตามล่าดับ ภายในห้องพักกลับมาเงียบเชียบอีกครั้งและเหลือเพียงเยียฉวนกับหลงเอ่อร์
“พี่ใหญ่ พวกเราจะทําอย่างไรต่อไปดี?” หลงเอ่อร์ถามด้วยน้ําเสียงวิตกกังวล
“หากมีอาหารให้ก็กิน หากมีเครื่องดื่มให้ก็ดื่มให้สําราญเถิด ที่เหลือปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา ลืมความกังวลเหล่านั้นเสีย ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็ยังไม่แปรผันสู่ยามราตรีเสียหน่อย”
เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นมองออกไปด้านนอก พระอาทิตย์กําลังจะลับขอบฟ้า อีกทั้งความมืดมิดยังไม่มาเยือนอย่างสมบูรณ์
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก ทั้งชายชราและเด็กน้อยจึงรีบเอนพิงกับขอบเตียงโดยเร็ว
“ได้เวลาอาหารมื้อเย็นแล้ว ลุกขึ้นเร็วเถิด”
สาวใช้ร่างบอบบางเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดซึ่งเต็มไปด้วยอาหารร้อนๆ ควันลอยกรุ่นเยี่ยฉวนเพิ่งกล่าวว่าหากมีอาหารให้กินก็กิน หากมีเครื่องดื่มก็ดื่มอย่างสําราญ เพียงพริบตาเดียวก็มีคนนําอาหารมาให้ถึงที่
ทั้งสองจึงผุดลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มทานอาหารด้วยความหิวกระหาย
“ท่านป่อย่ารีบร้อนไปท่านเป็นใคร… มาจากไหนกันแน่?” สาวน้อยเติมข้าวพร้อมรินชาให้อีกฝ่ายขณะเอ่ยถาม
“วณิพกหมอดูน่ะสาวน้อย เรียกข้าว่าเฒ่าเยี่ยหรือเยี่ยปั้นเซียนก็ได้ เรื่องของดาราศาสตร์ ฮวงจัย อดีตหรือแม้แต่อนาคตไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่อาจล่วงรู้ ข้าสามารถช่วยเหลือผู้คนให้มีหนทางแสวงโชคและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ทั้งยังช่วยแก้ไขชะตาราศีของพวกเขาอีกด้วย” เยี่ยฉวนกล่าวตอบ ด้วยน้ําเสียงทุ้มน่าเชื่อถือ
สาวใช้หัวเราะคิกคัก หากเยี่ยฉวนมีพลังทํานายอนาคตจริงดังคํากล่าวอ้างแล้วจะชนเข้ากับม้าศึกจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร? ปั้นเซียนงั้นรึ? ช่างหน้าทนเสียจริง!
* ปั้นเซียน = ครึ่งอมตะ
แม้หัวเราะขบขันด้วยความไม่เชื่อถือ ทว่าสาวใช้ผู้นี้ยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทํานายดวงชะตาอยู่บ้าง “ท่านปู่ เช่นนั้นช่วยทํานายอนาคตของข้าหน่อยได้หรือไม่? ภายภาคหน้าชีวิตข้าจะเป็นอย่างไรหรือ?”
“ในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นสตรีผู้มั่งคั่งถูกลิขิตให้คู่ครองกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ หากเจ้าขยันหมั่น เพียรในการทํางานเจ้าจะกลายเป็นยอดฝีมือขั้นสูง ทั้งยังมีสิทธิ์ได้รับความเป็นอมตะและคงความ อ่อนเยาว์ตลอดไป” เยี่ยฉวนกล่าวพลางแสดงท่าทางราวสามารถมองทะลุไปถึงอดีตและอนาคตของหญิงสาวผู้นี้ จากนั้นจึงตั้งคําถามต่อไป “เอาล่ะสาวน้อย แล้วชื่อแซ่ของเจ้าคืออะไร?”
“ฮ่าๆๆ…”
สาวใช้ระเบิดเสียงหัวเราะก่อนกล่าวด้วยน้ําเสียงขบขันเต็มประดา “ข้าจะบอกอะไรให้นะเยี่ยปั้นเซียน ท่านไม่รู้ด้วยซ้ําว่าชื่อแซ่ของข้าคืออะไร แล้วรู้ได้อย่างไรว่าโชคชะตาของข้าถูกลิขิตให้ได้พบกับชายสูงศักดิ์ทั้งยังจะกลายเป็นยอดฝีมือชั้นสูงและได้รับความเป็นอมตะอีกต่างหากนรีวร
สาวใช้ไร้เดียงสารู้สึกปีติยินดียิ่ง นางไม่สนใจผลประโยชน์ถึงขั้นได้รับความเป็นอมตะทว่า การคงความสาวเอาไว้ชั่วกาล…สตรีนางใดบ้างที่ไม่ต้องการเช่นนั้น?
แม้นางตระหนักดีว่าเยี่ยฉวนกําลังพูดปด ทว่ากลับมีความสุขอยู่กับเรื่องเพ้อฝันไม่จางหาย
“เจ้าเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง แต่เดิมมาจากตระกูลซึ่งมั่งคั่งร่ํารวยมหาศาล โชคไม่ดีที่การค้าขายไม่เป็นผลดีนักทําให้สถานะทางการเงินเริ่มย่าแย่ หลังจากนั้นชีวิตของเจ้าจึงพลิกผันสู่ความตกต่ำ” เยี่ยฉวนไม่ตอบคําถามแต่กลับพล่ามต่อไปด้วยน้ําเสียงเนิบช้า
ครั้นได้ยินคําพูดประโยคหลัง สาวใช้ซึ่งหัวเราะขบขันเมื่อครู่จึงเงียบเสียงลงทันที ดวงตาพลัน แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงค่ํา
เยี่ยฉวนกล่าวถูกต้องทุกประการ เดิมทีนางมาจากตระกูลเก่าแก่ที่ทั้งร่ํารวยและมีชื่อเสียงบิดาของนางรับราชการเป็นขุนนางระดับสูงของราชสํานัก ทว่าต่อมาเขาเผลอกระทําความผิดจนองค์ จักรพรรดิแห่งต้าฉันขุ่นเคืองและสั่งประหารโดยการตัดศีรษะจากนั้นสมาชิกในตระกูลจึงต้องระ หกระเหเร่ร่อนไปคนละทิศทาง นางถูกลดฐานะจากคุณหนูกลายเป็นสามัญชนและถูกเนรเทศไป พร้อมท่านป้าสู่ชายแดนทางใต้ระหว่างทางนางต้องพบกับความทุกข์ยากลําบากกายสารพันกระทั่งบังเอิญได้พบกับคุณหญิงแห่งสํานักมังกรนภาซึ่งเมตตารับนางไปเป็นสาวใช้ ทําให้นางไม่สามารถหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองได้อีก
เพียงหวนคิดถึงความยากล่าบากที่ได้รับระหว่างที่ถูกเนรเทศ ดวงตาของจ้าวชูหยาก็แดงกระทั่งหยดน้ําใสไหลรินลงจากดวงตาเพราะไม่อาจข่มกลั้นได้อีกต่อไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายกําลังสํารวจกิริยาอาการของนางอย่างระมัดระวัง
“เฒ่าเยี่ย ท่านช่วยทํานายดูได้หรือไม่ว่าท่านแม่และพี่ใหญ่ของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” หลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ชั่วครู่ สาวใช้ตัวน้อยจึงนึกถึงสมาชิกในครอบครัวที่พลัดพรากโดยไม่รู้ข่าวคราว สายตาของนางจับจ้องไปที่เยี่ยฉวนอย่างรอคอยและคาดหวัง
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าชายชราผู้นี้คงเป็นเพียงนักต้มตุ้นที่หลอกลวงผู้คนเพื่อหวังผลประโยชน์แสร้งทําเป็นว่าตนมีความรู้ด้านพยากรณ์ดวงชะตาไปเรื่อยเปื่อย ทว่าตอนนี้นางกลับเชื่ออย่างสนิทใจว่าเยี่ยปั้นเซียนต้องรู้ดาราศาสตร์ ฮวงจุ้ย อดีตและอนาคตทั้งมวลอย่างถ่องแท้ นอกจาก คุณหญิงผู้มีพระคุณของนางก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีกว่าตัวนางในวัยเด็กมีความเป็นมาเช่นไร มีเพียงชายชราตรงหน้าที่เพิ่งพบหน้าแต่สามารถระบุได้อย่างแม่นยํา หากนี่ไม่ใช่ข้อพิสูจน์แล้วจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร?!
สาวน้อยผู้นี้มีไหวพริบดีทีเดียว น่าเสียดายที่นางปราศจากประสบการณ์ชีวิตที่เพียงพอ
เยี่ยฉวนมองเด็กสาวที่เอาแต่ยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ําตา แม้จ้าวชูหยาถูกลดสถานะจนกลายเป็นเพียงสาวใช้ ทว่ากิริยามารยาทของนางบ่งบอกชัดว่านางไม่เคยได้รับความลําบากมาตั้งแต่ยัง เยาว์ ซึ่งเยี่ยฉวนสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านี้อย่างรวดเร็วอันที่จริงการคาดเดาและคํานวณพื้นฐานชีวิตของผู้คนทั้งอดีตและปัจจุบันจําเป็นต้องมีพื้นฐานและเคล็ดวิชาที่ท้าทายสวรรค์ ในภพชาติก่อนหน้าเยี่ยฉวนมีภาระมากมายเสียจนไม่มีโอกาสได้ลอง มาภพชาตินี้แม้เขามีฐานการฝึกตนไม่สูงส่งเท่าทว่าก็พอมีประสบการณ์ชีวิตบ้างเขาจึงสามารถหลอกเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งไม่เคยพาน พบโลกภายนอกได้โดยง่าย
“ไอหยา… นั่นยากนัก…ทําได้ยากยิ่ง!”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะและกล่าวต่อเสียงแผ่ว “ตามจริงแล้ว หากจะพูดให้ถูก ข้าไม่ใช่หมอดูทั่วไปทว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสัมผัสกระดูกต่างหาก ข้าจําเป็นต้องสัมผัสกระดูกของบุคคลที่จะเข้ารับการทํานายอย่างถี่ถ้วนเสียก่อนจึงจะสามารถคํานวณชีวิตในอดีตและอนาคตของเขาได้ ที่สําคัญขั้นตอนยังกินพลังชีวิตไม่น้อยหากจับสัมผัสเพียงครั้งเดียวอายุขัยของคนผู้นั้นจะลดลงไป หนึ่งปีข้าอาจค่านวณได้…แต่ไม่แม่นย่าเท่าการสัมผัสกระดูกหรอกนะ”
เยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนท่าที่แสร้งว่าตนเป็นยอดฝีมือที่รู้แจ้ง เขาถอยกลับเพื่อครุ่นคิดหาวิธีออก ไปจากที่แห่งนี้โดยไม่มีจ้าวชหยาขัดขวางและหาวิธีสืบหาที่อยู่ขององค์ชายหลีก่วงซ่านในเวลานี้
สํานักมังกรนภามีอาณาเขตกว้างใหญ่ มีศิษย์ร่วมสํานักอย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน ทั้งยังมีต่าหนักอีกหลายแห่งการเสาะหาองค์ชายหลีก่วงซ่านในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้ยากที่จะมีโอกาสสืบหาจนพบ หากเขาได้เบาะแสบางอย่างจากนางจึงจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาอีกขั้น
“หาก…หากเป็นเช่นนั้น เฒ่าเยี่ย ช่วยทําให้ข้าสบายใจขึ้นได้หรือไม่?” สาวใช้จ้าวชูหยาพูดโดยความลังเลเจือปนอยู่ในน้ําเสียง การสัมผัสกระดูกหนึ่งครั้งต้องแลกกับอายุขัยซึ่งลดลงไปจากเดิมหนึ่งปี ซึ่งนั่นเป็นราคาที่นางยอมจ่ายเพื่อแลกกับข่าวคราวความเป็นอยู่ของมารดาและพี่สาวคนโตที่พลัดพรากกันมานานในที่สุดนางจึงรวบรวมความกล้าและอ้อนวอน
“นะ…นี่เป็นเรื่องที่เกินกําลังสําหรับข้า!”
เยี่ยฉวนโคลงศีรษะพลางกล่าวด้วยท่าที่อึดอัดใจ “เวลานี้ข้าเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ อีกอย่างการสัมผัสจากนอกเสื้อผ้ายังนับว่าไร้ประโยชน์ ทว่าการปลดเปลื้องก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีในทางศีลธรรม ข้าเองก็ชราภาพนัก ขาข้างหนึ่งเหยียบลงไปในหลุมศพเสียแล้วข้าไม่ใส่ใจชื่อเสียงของ ข้าว่าจะเป็นอย่างไรแต่สาวน้อยเช่นเจ้า…”
“เฒ่าเยี่ย เมตตาช่วยเหลือข้าสักครั้งเถิด”
เด็กสาวคะนึงหาญาติสนิทของนางจนไม่ใส่ใจเรื่องอื่นอีกต่อไป นางรีบเดินไปชิดขอบเตียงก่อนเอนกายลงนอนพร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัว ทันใดนั้นผิวเนียนกระจ่างใสของเด็กสาว ที่เริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่นจึงปรากฏชัดต่อสายตาครั้นหลงเอ่อร์เห็นภาพนั้นใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็น สีแดงก๋า แม้เขินอายเกินกว่าที่จะมองโดยตรงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบชําเลืองเป็นครั้งคราว
“หลงเอ๋อร์ ออกไปจากห้องก่อนเถิด ปิดประตูให้แน่นหนาแล้วเฝ้าเอาไว้ให้ดี”
เยี่ยฉวนหันไปสั่งหลงเอ๋อร์ ส่วนเด็กชายแม้ยังต้องการชื่นชมต่อไปอีกสักหน่อยทว่าขัดคําสั่งของพี่ใหญ่ไม่ได้ ในที่สุดจึงลุกขึ้นและเดินออกไปโดยไม่มีทางเลือกอื่น
ภายในห้องเหลือเพียงเยี่ยฉวนที่แปลงกายเป็นหมอดูชราเยี่ยปั้นเซียน เขาแบมือออกก่อนได้สัมผัสไปตามขาเรียวของสาวใช้นางนี้อย่างแผ่วเบา…