Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 349 ฮ่วยหนานจอ
บทที่ 349 ฮ่วยหนานจอ
ลมหนาวพัดหวีดหวิวขณะที่เยี่ยฉวนกําลังฝึกตนอยู่บนยอดเขาเพียงล่าพัง
ตลอดทั้งวันเขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชากระบวนจอมทัพและการใช้ธงชัยโลหิตกล้าเพื่อผสานเข้ากับเคล็ดวิชาขนปักษาสีครามเคล็ดวิชาไร้เทียมทาน และเคล็ดวิชาอื่นๆ อีกมากมาย กระทั่งพลังโจมตีของเขาในยามนี้แข็งแกร่งและสง่างามขึ้นมาก อีกทั้งยังยืดหยุ่นด้วยการผสมผสานระหว่างสารพัดกระบวนท่า
ยามเย็นเยี่ยฉวนจะนั่งเข้าสมาธิบนยอดเขาเพื่อทําความเข้าใจกฎแห่งโลกและความลับของสรวงสวรรค์ ยามกลางวันเป็นช่วงเวลาของการฝึกฝนร่างกาย และยามราตรีจะทําการขัดเกลาจิตใจ การฝึกตนของเขาค่อยๆ รุดหน้าไปทีละก้าววันแล้ววันเล่า
เจ็ดวันต่อมาเมื่อจซื้อเจียมาเยือนยอดเขาอีกครั้ง ขั้นการฝึกตนของเยี่ยฉวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงอยู่ในขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับสามและมียันต์กลืนกินสวรรค์ในจุดตันเถียนแปดใบดังเดิม แต่สภาวะจิตใจของเขาแตกต่างออกไปจากเมื่อเจ็ดวันก่อนร่างกายของเขาแลดูผ่ายผอมลงทว่าจิตวิญญาณกลับทวีความกล้าแกร่งขึ้นแววตาเป็นประกายทําให้ผู้คนรู้สึกเกรง ขามและหวาดหวันโดยไม่รู้ตัว
“ศิษย์พี่ใหญ่ มีแขกผู้มีเกียรติเดินทางมาเยือนเทือกเขาหมอกเมฆา พวกเขาแจ้งว่าต้องการพบเจ้า” จซื้อเจียกล่าว
“โอ้ ผู้ใดกัน?” เยี่ยฉวนประหลาดใจเล็กน้อย
ตั้งแต่สํานักหมอกเมฆารวมอํานาจทั้งหมดในเทือกเขาและเอาชนะกองทัพจักรวรรดิต้าฉินอันแข็งแกร่งกว่าสองแสนได้ก็มีแขกมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ตั้งแต่เหล่าทรราชจากแว่นแคว้นใกล้เคียง บรรดาจอมยุทธ์อิสระที่ไม่ค่อยได้พบบ่อยนัก ไปจนถึงบรรดามัคนายกและผู้อาวุโสของสํานักเล็กๆ ทุกคนล้วนแต่ขอเข้าพบเยี่ยฉวนแต่จซื้อเจียได้ปฏิเสธและเชิญพวกเขากลับไปทั้งหมดทว่าครั้งนี้นางกลับไม่ทําเช่นนั้นยังมาแจ้งข่าวด้วยตนเอง แขกในครั้งนี้เป็นใครกันแน่?
“ข้าไม่รู้” คําตอบของจซื้อเจียทําให้เยี่ยฉวนแปลกใจยิ่งกว่าเดิม นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “แต่ฐานการฝึกตนของพวกเขาทั้งสามทรงพลังมาก แม้แต่ปีศาจเพลิงยังไม่อาจต้านทานได้ปีศาจเฒ่าหลัวเต่อก็แทบจะยับยั้งไว้ไม่ไหวตอนนี้หนานเทียนโตวกําลังขวางพวกเขาเอาไว้”
ขั้นการฝึกตนของปีศาจเพลิงค่อนข้างสูงมากอยู่แล้ว ผู้อาวุโสประจําสํานักเล็กๆ โดยทั่วไปมักไม่มีฝีมือมากมายถึงเพียงนั้น หนําซ้ํายังต่อสู้กับปีศาจเฒ่าหลัวเต่อได้อย่างสมน้ําสมเนื้อเช่นนี้ พวกเขาต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน…ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับสูงสุด!
“ไม่จําเป็นต้องขวางทาง เชิญพวกเขาไปยังห้องโถงใหญ่หมอกเมฆา”
เยี่ยฉวนเก็บธงชัยโลหิตกล้าก่อนเดินลงเขาไป
เมื่อเขาได้ฟังเรื่องราวจากจซื้อเจียก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันทีด้วยใคร่รู้ว่าคนเหล่า นั้นเป็นใครไม่นานจซื้อเจียก็มาถึงห้องโถงใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาพร้อมแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสาม
คนที่เดินนําหน้าเป็นเด็กหนุ่มลักษณะเหมือนบัณฑิต เขาหน้าตาหล่อเหลาและมีความมั่นใจเพียงแต่ร่างกายผอมไปจนแลดูสุขภาพไม่แข็งแรง ข้างหลังมีชายชราสองคนเดินตามขนาบซ้ายขวา ชายชราคนซ้ายเตี้ยมาก…เตี้ยเสียยิ่งกว่าหลงเอ๋อร์น้อยไปราวครึ่งศีรษะ แต่ร่างกายของเขาบึกบึนและกลมราวกับลูกบอลยาง ตรงข้ามกับชายชราคนซ้ายที่มีรูปร่างผอมสูงละม้ายคล้ายเสาไม่ไผ่ที่อาจโดนลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ
ชายชราทั้งสองดูเหมือนไม่มีอะไร ทว่ากระแสพลังงานที่แผ่ออกมานั้นแฝงความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าปีศาจเฒ่าหลัวเต่อ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าระดับสูงสุด ส่วนเด็กหนุ่มที่ร่างกายแลดูอ่อนแอราวกับไม่เคยผ่านการฝึกตนมาก่อนนั้นกลับแผ่ออร่าที่ทําให้เยี่ยฉวนรู้สึกประหลาดใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“ช่วยหนานจอจ้าวอิงขอเข้าพบคุณชายเยี่ย”
เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องโถงด้วยรอยยิ้มและประสานมือไว้ที่หน้าอกพร้อมกล่าวทักทาย “ว่ากันว่าศิษย์พี่ใหญ่สํานักหมอกเมฆารุ่นนี้มีพรสวรรค์โดดเด่นหาตัวจับยากเห็นทีจะไม่ผิดไปจากความจริงนัก”
“คุณชายโปรดอย่าล้อข้าเล่นเช่นนั้นเลย”
เยี่ยฉวนทําท่าทางเชิญพวกเขาให้นั่งลงและรอคอยเงียบๆ
เด็กหนุ่มที่อ้างตนว่าเป็น “ช่วยหนานจอ” นั่งลงอย่างสง่างามและเริ่มแนะนําตัว
ปรากฏว่าเด็กหนุ่มที่แลดูธรรมดาสามัญจนไม่น่าชายตามองผู้นี้คือจ้าวอิง บุตรชายของช่วยหนานโหวแห่งราชวงศ์ต้าฉิน ผู้คนเรียกเขาสั้นๆ ว่าคุณชายส่วยหนานหรือช่วยหนานจอ ในราชวงศ์ต้าฉันมีขุนนางผู้สูงศักดิ์อยู่มากมายและช่วยหนานโหวก็เป็นหนึ่งในนั้น ทว่าเขามักจะวางตนให้ ไม่เป็นที่สะดุดตาและไร้ซึ่งความโดดเด่น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นขุนนางชั้นสูงที่ครอบครองอาณาเขตกว้างใหญ่ทางแถบทะเลตะวันออกและมีบริวารนับไม่ถ้วน
“แท้จริงแล้วเจ้าคือบุตรชายของช่วยหนานโหวนี้เอง ขออภัยในความไร้มารยาทของข้าด้วย”
เยี่ยฉวนประหลาดใจเล็กน้อยพลางประเมินดูช่วยหนานจื่อจ้าวอิง “คุณชายจ้าว ข้าใคร่รู้นักว่าลมอะไรหอบเจ้ามาไกลถึงที่นี่”
ในยามที่ราชสํานักและพสกนิกรกําลังสั่นคลอนอีกทั้งเหล่าขุนนางยังพร้อมก่อปัญหาได้ทุกเมื่อเช่นนี้ บุตรชายของเฒ่าโหวกลับมาเยือนถึงหน้าประตูซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสัยยิ่ง เป็นไปได้หรือไม่ที่อีกฝ่ายต้องการดึงสํานักหมอกเมฆาไปเป็นพวกเพื่อก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์ต้าฉัน?
ภายนอกเยี่ยฉวนเผยท่าทีสงบนิ่งและสุขุม แต่ภายในนั้นกําลังคาดเดาเจตนาของฮ่วยหนานจื่อจ้าวอิงอย่างลับๆ
“คุณชายเยี่ยยังหนุ่มแน่นและมีอนาคตไกล สามารถนําทัพสาวกเพียงหลักพันเอาชนะกองทัพ กว่าสองแสนจากจักรวรรดิต้าฉันได้สําเร็จ ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง! ข้าอยากทราบว่าคุณชายสนใจจะ..” ช่วยหนานจอจ้าวองสะบัดพัดในมือพลางยกยิ้มโดยไม่กล่าวให้จบประโยค
นั่นอย่างไรล่ะ!
ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการโยงสํานักหมอกเมฆาเข้าไปพัวพันกับสงครามระหว่างเหล่าขุนนางและโน้มน้าวให้เขาตกลงเป็นพันธมิตรบางอย่าง!
เยี่ยฉวนเย้ยหยันในใจก่อนกล่าวออก “ขออภัย แต่ข้าไม่สนใจ”
บรรดาขุนนางต้องการลุกฮือก่อกบฏและอาจถึงขั้นแย่งชิงบัลลังก์จึงปรารถนาจะดึงสํานักฝึกตนมาเป็นพวกเพื่อรวมพลังโค่นล้มราชวงศ์ต้าฉัน ทว่าเยี่ยฉวนไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยและไม่โง่เขลาพอจะทาหน้าที่เป็นมีดหั่นเนื้อให้กับใคร หากอันตรายก่าลังคืบคลานเข้าใกล้ราชวงศ์ต้าฉินที่ ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเขาเต็มใจที่จะช่วยเหยียบย่าซ้ําเติมจักรพรรดิต้าฉันผู้ทะเยอทะยาน ให้ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก แต่จะให้เยี่ยฉวนนําสํานักหมอกเมฆาเปิดฉากโจมตีก่อนนั้นนับว่าเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
ช่วยหนานจื่อจ้าวอิงตกตะลึงจนพูดไม่ออกและส่งยิ้มให้อย่างกระอักกระอ่วน แม้เขาจะเตรียมใจรับการปฏิเสธมาก่อนแล้ว หากแต่เขาไม่คาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะกล่าวออกขวานผ่าซากเช่นนี้ ชายชราทั้งสองพ่นลมออกด้วยสีหน้าเย็นชาพวกเขาก้าวมาข้างหน้าพร้อมแผ่ออร่าแข็งแกร่งเข้า ข่มขวัญ ทั้งสองไม่ได้กล่าวคําใดหากแต่สําแดงพลังพร้อมโจมตีทันที
“ตาเฒ่า พวกเจ้าคิดจะสู้กับข้างั้นหรือ?”
หนานเทียนโตวพร้อมตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เช่นเดียวกับจซื้อเจียและคนอื่นๆ ที่รัก กระบออกมาบรรยากาศพลันตึงเครียดเมื่อการต่อสู้ดุเดือดอาจปะทุขึ้นได้ในทุกเมื่อ
“คุณชายเยี่ย บริวารของท่านช่างอารมณ์ร้อนเสียจริง” ฮ่วยหนานจอสายศีรษะพร้อมเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว เขาแสดงท่าที่หมดหนทางขณะลอบส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามทั้งสองเตรียมล่าถอย
“ใช่ ข้าสอนเท่าใดก็ไม่จําเลย พวกเขาล้วนแต่อารมณ์ร้ายกันทั้งนั้น เหตุใดจึงไม่เข้าใจว่าข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจทําให้เสียเรื่องได้?”
เยี่ยฉวนสายศีรษะตาม “นั่น! หลัวเต่อ ยังไม่ไปสกัดกั้นปากโถงให้ข้าอีก ข้าต้องบอกเจ้าอีกกครั้งว่าใช้สมองจัดการกับเรื่องต่างๆ เสียบ้าง หากจะไม่โจมตีก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อได้โจมตีแล้วอย่าได้ปล่อยให้ศัตรูมีช่องทางหลบหนีเป็นอันขาด”
“ฮิๆๆ คุณชายเยี่ยปราดเปรื่องยิ่งนัก!”
ปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินหัวเราะพลางบินไปทางประตูห้องโถงหมอกเมฆา เถาวัลย์นับไม่ถ้วนผุดขึ้นจากพื้นดินเกี่ยวพันรอบห้องโถงสามรอบ ศิษย์สํานักหมอกเมฆาจํานวนมากต่างเร่งรุดต รงมาเพื่อปิดล้อมห้องโถงหมอกเมฆาอย่างแน่นหนาบัดนี้ส่วยหนานจอและผู้ติดตามทั้งสองไม่มีทางหนีรอดไปได้ต่อให้มีปีกงอกออกมาก็ตาม
สีหน้าของฮ่วยหนานจอจ้าวอิงและชายชราทั้งสองแปรเปลี่ยนทันใด
“คุณชายเยี่ย นี่มัน..” เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายขึ้นบนหน้าผากของช่วยหนานจอจาวถึงเมื่อเขาถูกเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว
“คุณชายจ้าว อันที่จริงอารมณ์ของข้าเดือดพล่านรุนแรงกว่าพวกเขาเสียอีก ฉะนั้นบอกผู้ติดตามทั้งสองของเจ้าให้ระวังไว้ให้ดีเถอะ!”
เยี่ยฉวนจับจ้องช่วยหนานจอจ้าวอิงพร้อมยกยิ้มยียวน วินาทีนี้สองชายชราผู้ก้าวร้าวและคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นกลับเจียมเนื้อเจียมตัวราวกับลูกแกะตัวน้อยและไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก