Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 344 ความรักคืออะไร?
บทที่ 344 ความรักคืออะไร?
“จ้าวเทียนปี เจ้าต้องการอะไรกันแน่?!”
บรมครูเจียงเฉินเชิงก้าวไปข้างหน้าพร้อมเผยสีหน้าเย็นชาจิตสังหารของเขาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ตอนที่ยังสู้รบกับฝ่ายตรงข้ามแล้วใบหน้าของเขาเวลานี้บิดเบี้ยวและน่ากลัวกว่าร้อยพันเท่า
“หึ! ข้าต้องการอะไรอย่างนั้นรึ? เจียงเฉินเชิง… เจ้ายังไม่รู้ตัวหรืออย่างไร?!”
ราชินีอสูรเกศาขาวแค่นเสียงเย้ยหยันขณะก้าวไปด้านหน้าด้วยท่าทางอันปราศจากความแยแสพลังที่แผ่ออกจากร่างของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่าอีกฝ่ายมากนัก“เจตนาของข้ายังคงเหมือนเดิม… ละทิ้งทุกสรรพสิ่งทางโลกและออกเดินทางไปพร้อมข้าการย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนสวรรค์เบื้องบนคงวิเศษไม่น้อยทีเดียว หรือเจ้าจะเลือกกลับมายังสํานักอสูรเมฆาก็ย่อมได้ทว่าหากเจ้าปฏิเสธ เราทั้งสองคงต้องต่อสู้กันให้ถึงที่สุดเพื่อวัดผลว่าใครกันแน่จึงเหมาะสมจะเป็นผู้ครองยุทธภพอย่างแท้จริง?ใครจะเป็นผู้บรรลุสู่ขั้นมหาปราชญ์ก่อนกัน?ฝูงชนเรือนแสนอาจหวาดกลัวเจ้าทว่าคนผู้นั้นไม่ใช่ข้า! ใคร่ต่อสู้นักเช่นนั้นก็จงมาสู้กันเถิด!หากไม่เร่งลงมือเสียตอนนี้เห็นที่นับจากนี้หลายปีเจ้าและจอเซียคงต้องรบราฆ่าฟันกันอีกนานเป็นแน่! ฮ่าๆๆ!”
ดวงตาของเจียงเฉินเชิงวาวโรจน์ขึ้นเป็นประกายแสงสีซีด พลังปราณอันทรงพลังปะทุออกมาจากภายในร่างกายพร้อมกับจิตสังหารหนาแน่นส่วนราชินีแห่งเผ่าอสูรได้ต้านทานไว้ด้วยพลังปราณรุนแรงเฉกเช่นเดียวกัน
ชายวัยกลางคนกวัดแกว่งธงชัยโลหิตกล้าในมือกระทั่งเกิดเสียงกระแสลมมรสุมกระโชกพัดผืนธงกระพืออย่างรุนแรง เมฆหมอกสีดํารวมถึงฝุ่นผงด้านล่างลอยวนขึ้นทั่วท้องฟ้า ความแรงของพายุดังกล่าวทําให้สตรีพรหมจรรย์หงจอเซีย หนานเทียนโตวและปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
เมื่อยอดฝีมือระดับพระกาฬเริ่มต้นการต่อสู้ ไม่เพียงต้องต้านทานต่อแรงลมระเบิดมหาศาลเท่านั้นแต่ยังต้องต้านทานฝุ่นทรายและก้อนกรวดจํานวนมากที่ลอยฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ
ในที่สุดบรมครูเจียงเฉินเชิงผู้มีวรยุทธ์สูงส่งไร้เทียมทานจึงได้พบกับคู่ต่อสู้ที่มีศักดิ์ศรีสมน้ำสมเนื้อ ฐานการฝึกตนของราชินีอสูรเกศาขาวจ้าวเทียนปีมีพลังท้าทายสวรรค์ทั้งยังอยู่ในระดับที่ สามารถบรรลุไปถึงขั้นมหาปราชญ์ได้ทุกเวลาหากพวกเขาทั้งสองลงแรงโรมรันกันจนถึงแก่ความตายกันไปข้างเห็นที่สํานักหมอกเมฆาบนยอดเขานี้คงถูกกวาดล้างจนโล่งเตียนไร้เค้าโครงเดิมรวมถึงความเสียหายเมื่อรวมกันแล้วคงมากมายจนเกินประมาณ
“จ้าวเทียนปี! เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?!”
เมื่อเห็นว่าพลังปราณซึ่งปะทะกันใกล้ปริแตกออกเจียงเฉินเชิงจึงลดความแปรปรวนของพลังยุทธ์ตนเองลงสายตาคมที่มองสบไปยังราชินีอสูรเกศาขาวเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ระคนซับซ้อนเกินหยั่งถึงจากนั้นจึงหันหลังกลับและทะยานหลบหนีไป
และนั่นคือผลสรุปสุดท้ายของบรมครูแห่งแคว้น… ผู้ซึ่งเคยเลื่องชื่อในด้านความดุร้ายอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ
จซื้อเจีย จ้าวต้าจอ รวมถึงศิษย์ร่วมสํานักคนอื่นๆ ต่างตื่นเต้นและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากต่อภาพที่ได้เห็นส่วนเหล่าทหารของกองทัพจักรวรรดิต้าฉันกลับตกตะลึงนิ่งไปนานกว่าที่พวกเขาจะฟื้นคืนสู่ความเป็นจริงและถอยกรูดอย่างรวดเร็ว
“ไม่! เป็นไปได้อย่างไรกัน?! ท่านบรมครู! ท่านจะทิ้งข้าไปเช่นนี้ไม่ได้!พวกเจ้า… หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!ยืนหยัดเคียงข้างข้าสิ! ไม่…”
องค์ชายหลีก่วงฮานตะโกนลั่นกระทั่งเสียงแหบแห้ง
เยี่ยฉวนได้รับบาดเจ็บสาหัสและนอนคว่าหมดสติราบไปกับพื้นจนเกือบแก่ความตายทว่าเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนบรมครูกลับหลบหนีละทิ้งซึ่งทุกสิ่งอย่างแม้แต่กองทัพยังถอยกลับโดยเร็วเพราะขาดผู้นําซึ่งมีประสิทธิภาพสิ่งนี้ทําให้องค์ชายหลีก่วงซ่านรู้สึกราวถูกค้อนอันเขื่องมาวางทับอยู่กลางอกจนอึดอัดและหายใจไม่คล่องอีกต่อไป
ความเป็นจริงที่ว่าเยี่ยฉวนไม่ถูกสังหารจนดับดิ้นทําให้เขาแทบกระอักเลือดเขาร้องตะโกนเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาจนเสียงแหบพร่า แม้ตะโกนต่อไปจนลําคอร้าวระบมทว่ายังไม่มีผู้ใดใส่ใจฟังบรมครไม่ใส่ใจแม้แต่จะหันกลับมาชายตามองด้วยซ้ำส่วนพวกทหารเพียงหันกลับมามองหนึ่งครั้งและเร่งฝีเท้าออกห่างด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าเก่า
เจียงเฉินเชิงหนีเอาตัวรอดไปแล้ว อีกฝ่ายยังคงมียอดฝีมือผู้มีขั้นการฝึกตนสูงส่งท้าทายสวรรค์ซึ่งยืนหยัดอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาจะจัดกระบวนทัพเพื่อโจมตีอีกครั้งได้อย่างไร?! หากพวกเขาไม่หลบหนีไปตอนนี้และดึงดันอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่องค์ชายต่อไปคงต้องกลายสภาพเป็นอาหารแก่ฝูงแร้งเป็นแน่แท้!มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะจงรักภักดีกระทั่งวินาทีสุดท้ายโดยไม่รักชีวิตตน
“ไม่! กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
องค์ชายหลีก่วงซ่านตะโกนสุดเสียงและพยายามฝืนสังขารอันบอบชําเต็มกลืนไล่ตามเหล่าทหารไป เขาวิ่งไปยังทิศตะวันออกครั้งหนึ่งก่อนวกกลับไปทางทิศตะวันตกทําเช่นนี้ซ้ำๆราวคนวิกลจริตทว่ากองทัพทหารทั้งหมดสลายตัวไปท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนเสียแล้ว
“ศิษย์ผู้น้อยคํานับท่านอาจารย์…”
สตรีพรหมจรรย์หงจอเซียก้าวไปด้านหน้าก่อนโค้งค่านับด้วยจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก
นางตระหนักดีว่าครั้งนี้จะต้องพบพานกับปัญหาใหญ่หลวงซึ่งไม่อาจหลบเลี่ยงท้ายที่สุดความจริงทุกสิ่งก็ถูกเปิดเผย… ราชินีอสูรเกศาขาวล่วงรู้ทุกสิ่งกระจ่างแล้วทว่าแม้นางมีคําถามในใจมากมายหลายประการแต่ริมฝีปากกลับเม้มเข้าหากันสนิทด้วยไม่มีความกล้ามากพอ
กฎข้อบังคับของสํานักอสูรเมฆานั้นเคร่งครัดและรัดกุมยิ่ง กฎข้อหนึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามมิให้สมาชิกในสํานักกระทําการใดจนเกิดความขัดแย้งกับโลกฆราวาสโดยเฉพาะตัวหงจื่อเซียเองซึ่งดํารงตําแหน่งสูงส่งเป็นถึงสตรีพรหมจรรย์ทุกความเคลื่อนไหวของนางย่อมส่งผลต่อ
ภาพลักษณ์โดยรวมของสํานักอสูรเมฆาทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางออกจากสํานักโดยพลการถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าครั้งนี้นางไม่เพียงลอบหลบหนีออกมาอย่างกะทันหันแต่ยังทําทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเยี่ยฉวนและต่อสู้กับบรมครูแห่งแคว้นนามเฉียงเดินเชิงอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่คํานึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หนําซ้ำยังแสดงความรักต่อบุรุษเพศอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าสาธารณชนตามกฎของสํานักอสูรเมฆาแล้วนี่ถือเป็นอาชญากรรมครั้งใหญ่!
“จ่อเซีย เจ้าตระหนักถึงโทษมหันต์ของตนเองหรือไม่?!” ราชินีแห่งเผ่าอสูรเอ่ยถามขณะแผ่ความแปรปรวนของพลังปราณภายในออกจนเป็นที่ครั่นคร้ามต่อคนรอบข้างจิตสังหารแรงกล้าของนางยังคงปรากฏชัด
“ศิษย์สํานึกผิดแล้ว…”
หงจือเซียไม่บังอาจแก้ตัวใดๆ นางเพียงโค้งค่านับยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
ซึ่ง! ราชินีจาวเทียนปีถึงดาบยาวออกจากฝึกก่อนขว้างไปยังเบื้องหน้าของศิษย์เอกก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ดีแล้วที่เจ้ายังตระหนักถึงความผิดของตนอยู่บ้างในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็จงใช้ดาบเล่มนี้สังหารเยี่ยฉวนเสียเจ้าทําได้หรือไม่?”
“ท่านอาจารย์!”
หงจือเซียสะดุ้งสุดตัวจนร่างกายสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคําสั่งเช่นนั้น ส่วนจซื้อเจียและคนอื่นๆต่างตื่นตระหนกยิ่ง!
หลังจากบรมครูเจียงเดินเชิงหลบหนีไป เวลานี้มีเพียงราชินีอสูรเกศาขาวที่มีวรยุทธ์สูงส่งไม่น้อยไปกว่าคนผู้นั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าจะมีความสามารถเพียงพอที่จะหยุดนางได้?!
“ว่าอย่างไร? เจ้าไร้ความกล้าที่จะสังหารเขา… หรือไม่เต็มใจที่จะทําเช่นนั้นกันแน่?”
จ้าวเทียนปีแค่นเสียงเย้ยหยันก่อนกล่าวลากเสียงยานคางอีกครั้งด้วยความโกรธายิ่ง“จอเซีย!หากเจ้ายังไม่กระทําการตามคําสั่งของข้าอีกละก็ข้าจะเรียกเถียนคู่และยอดฝีมือคนอื่นๆให้มารุมสังหารเด็กหนุ่มผู้นั้นเสีย!และจะทําลายสํานักหมอกเมฆาแห่งนี้ให้สิ้นซาก!”
ครั้นสิ้นคํากล่าวนางจึงเรียกใช้เคล็ดวิชาเปิดเผยให้เห็นร่างสูงตระหง่านผิดมนุษย์ของอาวุโสเถียนในร่างของนักรบพฤกษาซึ่งรอคอยค่าสังอยู่ที่สานักอสูรเมฆาอันห่างไกลออกไป
“ไม่! อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยนะเจ้าคะท่านอาจารย์! ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของศิษย์ผู้นี้โปรดปล่อยเยี่ยฉวนไปเถิด ศิษย์ผู้นี้ยินดีรับโทษแทนเขาทั้งหมด!”สตรีพรหมจรรย์หงจือเซียคุกเข่าคํานับพลางเอ่ยอ้อนวอนต่อท่านอาจารย์ของนางด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อเผชิญหน้ากับเจียงเดินเชิงนางต่อสู้โดยปราศจากความหวั่นเกรงใดๆ ทั้งสิ้นทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าราชินีจาวเทียนอื่นางไม่บังอาจต้านทานแม้เพียงนิดเป็นเพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่านางว่าสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าใช้วิธีจัดการกวาดล้างศัตรูอย่างโหดเหี้ยมเพียงใด
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ หมายความว่าตัวเจ้ามีจิตปฏิพัทธ์ต่อบุรุษนามเยี่ยฉวนใช่หรือไม่?” ราชินีอสูรเกศาขาวยกยิ้มเย้ยหยันอีกครั้ง ใบหน้าผุดผ่องแปรเปลี่ยนเป็นคว่ําหม่นด้วยแรงโทสะ
“ใช่!” หงจือเซียตอบรับตามตรง
“เจ้าถึงขั้นยอมเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อเด็กหนุ่มผู้นี้ แม้กระทั่งชีวิตของเจ้าเองอย่างนั้นรึ?”ใบหน้าของจ้าวเทียนปียิ่งแสดงออกถึงโทสะที่เพิ่มสูงขึ้น
“ใช่…” หงจือเซียตอบรับโดยไม่ลังเลอีกครั้ง
“ย่อมได้! ข้ายอมรับการตัดสินใจของเจ้า เถียนคู่! จับกุมตัวนางออกไปแล้วทําการผนึกพลังปราณของนางไว้เสีย! ลบความทรงจําของนางให้สิ้นกักขังนางไว้ใต้ยอดเขาอสูรเมฆาอย่าให้นางเห็นแสงสว่างไปตลอดชีวิต!”
ราชินีจ้าวเทียนปีเหลือบมองเยี่ยฉวนด้วยหางตาก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นและเหาะทะยาน ออกไปทว่าสุ่มเสียงของนางยังคงก้องกังวานทั่วพสุธา“ความรักอย่างนั้นรึ? ฮ่าๆๆ!ความรักนี่ช่างนํามาสู่โศกนาฏกรรมอันเลวร้ายยิ่ง!เจียงเดินเชิงแม้แต่เจ้ายังไม่อาจหนีพ้น… บุตรีของเจ้าเองก็เช่นกัน! ฮ่าๆๆ”
“จ่อเซีย กลับไปรับโทษทัณฑ์เสียเถอะ”
นักรบพฤกษาเถียนคู่นํากุญแจมือซึ่งสลักอักขระโบราณที่แผ่ออร่าแห่งความขลังและน่าสะพรึงออกมาเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะจับกุมร่างของนางเอาไว้และประคองร่างให้ออกห่างจากจุดเดิม
หงจอเซียไม่ได้ต่อต้านทว่ากลับไม่เต็มใจที่จะจากไปโดยไม่ได้กล่าวว่าร่าลาเช่นนี้นางหันศีรษะกลับมามองถึงสามครั้งในทุกย่างก้าวเพื่อพินิจร่างไร้สติของเยี่ยฉวนซึ่งนอนราบอยู่กับ พื้นให้ตราตรึงในความทรงจําหยดน้ำใสไหลรินลงอาบแก้ม การเผชิญหน้ากันครั้งแรกในสํานักอสูรเมฆาก่อนพบพานอีกครั้งในอาณาจักรสวรรค์พรั่งพรูจากก้นบึงหัวใจสู่ภวังค์นึกคิด รวมถึงเหตุการณ์ที่ทั้งสองร่วมผสานการฝึกตนด้วยเคล็ดวิชาประหลาดทั้งยังช่วงเวลาที่นางโหยหาเขาจน ลักลอบออกจากสํานักเพื่อมาพบเขาถึงที่ภาพเหตุการณ์ทุกฉากยังคงฉายชัดประหนึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้จนทําให้น้ำตาของนางยิ่งไหลรินด้วยความร้าวรานอย่างหาใดเปรียบ
ครั้งนี้นับว่าเป็นการจากลาชั่วนิจนิรันดร์ก็ว่าได้ ทั้งเขาและนางจะไม่มีวันได้พบเจอกันอีกหลังจากนางถูกผนึกกําลังไว้ก็จะตกอยู่ภายใต้อาณัติของสํานักอสูรเมฆาประหนึ่งนักโทษที่ถูกจองจําตราบชั่วฟ้าดินสลาย นี่นับเป็นความทรมานอย่างแสนสาหัสซึ่งเบื้องบนมอบให้… บางทีการยอมตายเสียอาจยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ต่อ แม้แต่ยอดฝีมือขั้นกึ่งปราชญ์ที่เคยกระทําความผิดจนต้องถูกจองจําเช่นนี้ยังไม่อาจทนต่อความเปล่าเปลี่ยวเอกานั้นได้และพยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่า
สูงขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศเหนือกลุ่มเมฆหนาทึบ ชายชราผู้สวมชุดคลุมสีฟ้ามองลงมาจากเบื้องบนเขาเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นพิภพด้านล่างทว่าเขาเพียงผ่อนลมหายใจยาวและเร้นกายจากไปอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
ขณะที่หงจอเซียร่ําไห้จนน้ำตาแทบแปรเปลี่ยนเป็นสายเลือดจซื้อเจียซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้านข้างก็เสียน้ำตาให้กับภาพเหล่านั้นเช่นกันนางตระหนักในตอนนี้แล้วว่าบนโลกนี้ยังมีสตรีอีกนางหนึ่งซึ่งรักใคร่และเทิดทูนบูชาเยี่ยฉวนมากถึงเพียงนี้หากเขาตื่นฟื้นขึ้นมาแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าควรบอกกล่าวเรื่องนี้อย่างไรจึงเหมาะสม
ยิ่งมีความรักหนักแน่นเพียงใด… ยิ่งร้าวรานหฤทัยอย่างหาใดเปรียบเพียงนั้น
หลังประสบความผิดหวังร้ายแรงจากความรัก อารมณ์ของผู้คนส่วนใหญ่มักผันแปรจากเดิมอย่างสุดขั้ว บางรายคั่งแค้นจนกลายเป็นคนวิปลาสบางรายถึงขั้นสูญเสียทุกแรงขับเคลื่อนในชีวิต
หนุ่มสาววัยเยาว์ทุกคนต่างต้องก้าวข้ามภัยพิบัติใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจากความรักให้จงได้ความรักคืออะไร? ไม่เคยไม่ผู้ใดสามารถนิยามได้อย่างเฉพาะเจาะจงทั้งสิ้นผู้ที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งรักจนสูญสิ้นทุกสิ่งไม่อาจตอบคําถาม ทว่าเอาแต่หลั่งน้ำตาอย่างสันโดษ หากผู้ใดไม่ อ่อนไหวกับความรู้สึกเช่นนี้อาจหมายความว่าพวกเขาข้ามผ่านความโศกเศร้าจนน้ำตาเหือดแห้งหรืออาจเป็นเพราะหัวใจของพวกเขาปราศจากเลือดเนื้อและกลายเป็นก้อนศิลาเย็นเยียบ…