Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 333 โทสะของจักรพรรดิต้าฉัน
บทที่ 333 โทสะของจักรพรรดิต้าฉัน
เมื่อกองกําลังฝ่ายศัตรูกําลังรุดหน้าเข้ามา ศิษย์สํานักหมอกเมฆาจึงเร่งมือเก็บกวาดสมรภูมิรบโดยเร็ว
หลีก่วงฮ่านและพรรคพวกไม่ทันได้ตั้งตัวในศึกครั้งนี้ ยอดฝีมือแห่งราชสํานักจํานวนมากจึงตายตกไปด้วยความคับแค้นใจและทิ้งสมบัติไว้เกลื่อนกลาดทั่วทั้งป่า ส่วนร่างของบรรดาสาวกที่ตายตกไปต้องน่ากลับไปประกอบพิธีฝังที่สํานักหมอกเมฆาอย่างเหมาะสม จูซือเจียและสาวกใต้บังคับบัญชาจึงมีงานยุ่งจนล้นมือ
“ศิษย์พี่ใหญ่ มีศัตรูจํานวนหนึ่งที่ทําที่แกล้งตายขอรับศิษย์พี่ใหญ่…”
จ้าวต้าจื่อตรงเข้ามาพร้อมเชลยศึกวัยกลางคน เยี่ยฉวนค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นเชลยศึกเคราแพะผู้นี้ เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากที่ปรึกษาถึงอีเซียน
“โอ้ ท่านถึงนี่เอง ยินดีที่ได้พบ” เยี่ยฉวนยกยิ้มพลางพินิจดูคนตรงหน้า
รอยยิ้มของเยี่ยฉวนทําให้ตั้งอี้เซียนหวาดผวายิ่งกว่าเดิม เหงื่อเย็นเฉียบไหลหลั่งลงจากหน้าผาก เขาตัวสั่นงันงกด้วยไม่รู้จะกล่าวตอบว่าอย่างไรดี “เยี่ย…คุณชายเยี่ย… ไม่สิ ท่านผู้ประเสริฐ ข้า…”
“ว่าอย่างไร? เจ้าจะแก้ตัวว่าหลีก่วงซ่านเป็นผู้ระดมกําลังเพื่อทําศึกในครั้งนี้แต่เพียงผู้เดียว โดยที่เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่? หรือจะบอกว่าข้าควรไว้ชีวิตเจ้าเพราะเจ้ามีพ่อแม่ที่แก่เฒ่าและลูกน้อยต้องเลี้ยงดู?” เยี่ยฉวนแสยะยิ้มกว้างขึ้นอีก
ถังเซียนพยักหน้าตามสัญชาตญาณก่อนจะสั้นศีรษะอย่างรวดเร็ว ชายผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยเล่ห์กลในกาลก่อนกําลังหมดหนทาง พรตเต๋าสังหารตายตกไปแล้วส่วนหลีก่วงซ่านนั้นเสียแขนไปข้างหนึ่ง แล้วเขาจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของปีศาจร้ายอย่างเยี่ยฉวนได้อย่างไร? บัดนี้เยี่ยฉวนไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งบนสรวงสวรรค์และใต้หล้า
“เอาล่ะ อย่ามัวพูดจาไร้สาระอยู่เลย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า นับจากนี้ไปเจ้าคือศิษย์สํานักหมอกเมฆาชั้นนอก มีหน้าที่สอดแนมและรวบรวมข่าวกรองเกี่ยวกับหลีก่วงฮ่าน กินยาเม็ดนี้แล้วไปซะ ระวังอย่าให้หลีก่วงซ่านระแคะระคายเป็นอันขาด” เยี่ยฉวนหยิบยาเม็ดจากโคมบงกชสีครามยื่นให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าวออกอย่างตรงไปตรงมา
เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผากของถังอี้เซียนอีกครั้ง “ทะ… ท่าน สิ่งนี้คือ…”
“มันคือยาพิษ… ยาพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่ง ท่านต้องกินยาถอนพิษภายในเวลาที่กําหนดไม่เช่นนั้นอวัยวะภายในของท่านจะเน่าเปื่อยจนตายตกไปในที่สุด สํานักหมอกเมฆาของข้าขึ้นชื่อเรื่องการกลั่นยารวมถึงยาพิษทุกชนิด ท่านคงรู้เรื่องนี้ดีใช่หรือไม่?” เยี่ยฉวนตอบตามตรง ชายหนุ่มไม่อยากเสแสร้งว่ามันเป็นยาวิเศษเพราะเขารังเกียจการหลอกลวงผู้อื่นเป็นที่สุด
ต่อให้ถึงเซียนจะรู้ว่ามันคือยาพิษก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี!
แน่นอนว่าที่ปรึกษาวัยกลางคนไม่มีทางเลือกมากนัก เขามองดูเยี่ยฉวนด้วยแววตาสิ้นหวัง จากนั้นจึงหันไปกวาดสายตามองศิษย์สํานักหมอกเมฆาที่โหดเหี้ยมและปีศาจเฒ่าผู้น่าสยดสยองอีกครั้งก่อนจะฝืนใจกลืนกินยาพิษนั้นเข้าไป ถังอี้เซียนเผยสีหน้าบิดเบี้ยวราวกับกลืนซากแมลงวันเข้าไปทั้งตัว
“ไปซะ หากมีเรื่องอันใดให้รายงานกลับมาทันที มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเอง” เยี่ยฉวนสั่ง
“ขอรับ ขอบคุณในความเมตตาท่านผู้ประเสริฐ”
ถังอี้เซียนโค้งคํานับและรีบหันหลังวิ่งหนีลงเขาไปทันที แม้ว่าเขาจะรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้มาได้ด้วยการแกล้งตาย หากแต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่ายังเหลือเวลาชีวิตอีกเท่าใดหลังกลืนกินยาพิษของเยี่ยฉวนเข้าไป ถังอี้เซียนผู้ปราดเปรื่องและรอบรู้ในกาลก่อนกลับต้องทนทุกข์ทรมานเกินบรรยาย
“คุณชายดูนี่สิขอรับ สิ่งนี้คืออะไรกัน?”
คล้อยหลังถังอี้เซียน ปีศาจเฒ่าหลัวเพื่อก้าวเข้ามาก่อนส่งสนับแขนสีดําที่มันเก็บขึ้นจากพื้นให้เยี่ยฉวน ดูภายนอกเหมือนเศษซากสิ่งของธรรมดาที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแล ทว่าออร่าที่แผ่ออกมากลับไม่ธรรมดา แหวนคลังสมบัติของพรตเต๋สังหารระเบิดเป็นผุยผงไปพร้อมกับร่างของเขาหลงเหลือไว้เพียงสิ่งนี้
“อ่า… นี่มัน…”
เยี่ยฉวนพึมพํากับตนเองพลางพินิจดูของในมือครู่หนึ่ง น่าเหลือเชื่อที่เขาไม่อาจมองทะลุความลึกล้ําของสนับแขนชิ้นนี้ได้ แต่โคมบงกชสีครามภายในกายที่เริ่มร้อนระอุบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่สมบัติทั่วไป
เสียงแตรดังแว่วมาเมื่อกําลังเสริมของกองทัพต้าฉันตั้งกระบวนทัพไกลออกไป คบเพลิงส่องสว่างขึ้นทุกหนแห่ง ราตรีอันมืดมิดทําให้พวกเขาไม่อาจล่วงรู้ว่ามีกองกําลังมากมายเพียงใดที่มุ่งหน้ามาทางนี้ แต่พวกเขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าอีกฝ่ายกําลังพยายามเข้าวงปิดล้อม
“ถอยทัพ!”
เยี่ยฉวนเก็บสนับแขนและจากไปพร้อมบรรดาสาวกอย่างรวดเร็ว
ช่างน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถปลิดชีพหลีก่วงซ่านได้ในค่ําคืนนี้ แต่อย่างน้อยพรตเต๋สังหารก็ได้ระเบิดตนเองเป็นจุณไปแล้ว ความตายของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งผู้นี้เป็นผลพลอยได้ที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งดีกว่าการทําลายป้อมปราการเป็นไหนๆ
การใช้งานหน้าไม้เศียรมังกรในสมรภูมิรบครั้งแรกก่อเกิดผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง!
กองทัพสัตว์อสุรกายและศิษย์ชั้นเลิศแห่งสํานักหมอกเมฆาที่บุกโจมตีอย่างดุเดือดเมื่อครู่ถอยทัพหายไปในความมืดอย่างรวดเร็วเทียบเท่ายามมาเยือน กว่ากําลังเสริมของกองทัพต้าฉันจะมารวมตัวกันพวกเขาก็จากไปไกลเสียแล้ว มิหนําซ้ํายังพาร่างไร้วิญญาณของศิษย์ร่วมสํานักกลับไปด้วย
องค์ชายรัชทายาทหลีก่วงซ่านกลับมายังสมรภูมิรบภายใต้การคุ้มกันแน่นหนาของเหล่าองครักษ์ เขาเผยสีหน้าซีดเผือดและเกรี้ยวกราดเมื่อพบเพียงความรกร้างว่างเปล่า
“ทหารอารักขา! สังหารหน่วยป้องกันที่ป้อมปราการบนยอดเขาทั้งหมดเพื่อข้า! จากนั้นนําส่งสาส์นโลหิตฉบับนี้แก่องค์จักรพรรดิที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด!”
หลีก่วงซ่านกัดนิ้วและลงมือเขียนจดหมายด้วยเลือดของตนเอง
ถ้อยคําในสาส์นโลหิตฉบับนี้สันกระชับยิ่ง “ศัตรูแข็งแกร่งนัก พรตเต๋สังหารตายแล้ว ลูกชายไร้ความสามารถผู้นี้เสียแขนไปข้างหนึ่ง เสด็จพ่อโปรดลงทัณฑ์!”
หลีก่วงฮานพร้อมจะเดิมพันทุกสิ่งและไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป ชายหนุ่มเขียนสาส์นโลหิตเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยตนเองแม้จะต้องเสี่ยงสูญเสียตําแหน่งองค์รัชทายาทไปก็ตาม
หน้าไม่เศียรมังกรของสํานักหมอกเมฆาทรงพลังเสียจนพรากลมหายใจพรตเฒ่าสังหารไปได้ แม้ว่ากองกําลังหลักจะยังคงอยู่แต่ขวัญกําลังใจของพวกเขาพลันลดฮวบลงหลังศึกในครั้งนี้ เมื่อไร้ยอดฝีมือชั้นเลิศคอยบัญชาการ การบุกโจมตีสํานักหมอกเมฆาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ความหวังสุดท้ายของเขาคือการละทิ้งความกังวลทั้งหมดเพื่อบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากองค์จักรพรรดิให้ส่งกองทัพมือฉมังมาบดขยี่สํานักหมอกเมฆาให้สิ้นซาก!
ร่างของหลีก่วงฮ่านสั่นกระตุกและกระอักเลือดออกมาเต็มปากก่อนจะล้มลงบนพื้นหลังเขียนจดหมายสั้นๆ เสร็จ
หนนี้เขาแทบเอาชีวิตไม่รอดทั้งยังบาดเจ็บสาหัส ชายหนุ่มต้องสูญเสียแขนข้างหนึ่งไป ศรจากหน้าไม้เศียรมังกรปักทะลุเต็มร่างจนชุดคลุมเป็นสีแดงฉาน มิหนําซ้ําดวงวิญญาณยังได้รับความเสียหายร้ายแรง เดิมทีเขาทะเยอทะยานมากจนคิดทําลายสํานักหมอกเมฆาภายในสามเดือน ทว่าบัดนี้กลับรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…”
เหล่าทหารรีบถอยทัพกลับค่ายหลัก ณ เมืองโบราณผิงหยวน ขณะที่ผู้ส่งสารเร่งรุดไปยังเมืองหลวงเพื่อนําส่งสาส์นโลหิตตามพระบัญชา หลังสามวันล่วงไป สารสําคัญก็มาอยู่ตรงหน้าจักรพรรดิต้าฉินในยามดึกสงัด องค์จักรพรรดิผู้ปกครองโลกฆราวาสแห่งทวีปอัคคีสวรรค์บันดาลโทสะทันใด องครักษ์ประจํากายตีกลองศึกเพื่อเรียกระดมพลข้าราชการพลเรือนและกองทัพอย่างเร่งด่วน
องคมนตรีระดับสูงต่างรีบรุดไปยังวังหลวงท่ามกลางม่านหมอกยามราตรีที่ห่อหุ้มเมืองหลวงเอาไว้ บ้างเดินทางด้วยรถม้า บ้างควบขี่บนม้าเร็ว และบ้างเหยียบกระบี่บินมุ่งหน้าไปทางพระราชวัง
เสียงกลองศึกดังขึ้นเพื่อเรียกระดมพลกลางดึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นเพียงสองครั้งบนหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิต้าฉิน
ครั้งแรกคือยามที่จักรพรรดิองค์ก่อนเสด็จสวรรคตและเหล่าพสกนิกรต่างร่วมไว้อาลัย ครั้งที่สองคือยามที่เผ่าคนเถื่อนทางตอนเหนือเข้าบุกรุกและเข่นฆ่าทหารไปกว่าแปดแสนนาย ในตอนนั้นองค์จักรพรรดิต้าฉินระดมกําลังพลและรวบรวมเครื่องจักรสงครามขนาดมหึมาเพื่อปะทะกับศัตรูโดยตรง
แล้วครั้งที่สามนี้เป็นเพราะเหตุใดกัน?
เกิดอะไรขึ้นกับองค์จักรพรรดิ? หรือพวกคนเถื่อนบุกโจมตีอีกแล้วกระนั้นหรือ?
เจ้าหน้าที่ทุกนายต่างรีบรุดไปยังวังหลวงอย่างร้อนใจด้วยไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้นกันแน่ ไม่นาน เจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายพลเรือนและกลาโหมก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ณ ท้องพระโรงฉันหวัง
“ฝ่าบาททรงตีกลองร้องป่าวกลางดึกเช่นนี้ กระหม่อมใครรู้นักว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น” บรมครูเจียงเดินเชิงเป็นตัวแทนยืนขึ้นถาม
บรรยากาศภายในท้องพระโรงนั้นหนักอึ้ง บรรดาข้าราชการต่างมองหน้ากันไปมาโดยไม่กล้าปริปากเอ่ยคําใด มีเพียงบรมครูเจียงเฉินเชิงที่กล้าไถ่ถามสถานการณ์ออกไป
“เจ้าดูเอาเองเถิด!”
จักรพรรดิต้าฉินโยนสาส์นโลหิตลงบนพื้น สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนเมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย
พรตเต๋าสังหารเป็นใครน่ะหรือ?
เขาถือเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในพระราชวังและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่จักรพรรดิต้าฉินไว้วางใจ เยี่ยฉวนต้องแข็งแกร่งเพียงใดจึงสังหารได้แม้แต่นักพรตผู้นี้?!
“ท่านบรมครู จงเดินทางไปยังชายแดนทางใต้และทําลายล้างสํานักหมอกเมฆาเพื่อข้าซะ มีแห่งหนใดในใต้หล้าที่ไม่ใช่ผืนแผ่นดินของข้าอีกร์? ค่าพูดของจักรพรรดิผู้นี้ไม่มีความหมายเลยหรือไร?! สํานักหมอกเมฆาตัวกระจ้อยถึงได้บังอาจเหิมเกริมเยี่ยงนี้ ฮึ่ม!”
จักรพรรดิต้าฉินสั่งการด้วยโทสะเดือดพล่านก่อนจะโผงผางออกไปอย่างเคียดแค้น จิตใจของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาพลันสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้วยามบรมครูเจียงเฉินเชิงย่างเท้าออกไปนอกเมืองหลวงครึ่งก้าว ลือกันว่าเขาได้เข้าสู่ขอบเขตกึ่งปราชญ์และสามารถบรรลุขั้นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ เขาได้โบยบินข้ามผ่านชั้นบรรยากาศสู่ดินแดนที่สูงส่งยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นฟ้า ครั้งล่าสุดที่ลงมือด้วยตนเอง เขาบุกเข้าไปในค่ายของเผ่าคนเถื่อนเพียงล่าพังและสังหารเหล่าแม่ทัพคนเถื่อนนับร้อยในชั่วข้ามคืนจนศัตรูต้องล่าถอยไป การที่ท่านบรมครูจะลงมือเคลื่อนไหวด้วยตนเองอีกครั้งย่อมสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน หากเขาเคลื่อนไหวเพื่อต่อกรกับสํานักอสูรเมฆาก็นับว่าไม่น่าแปลกใจ แต่การเคลื่อนไหว เพื่อต่อกรกับสํานักเล็กๆ อย่างสํานักหมอกเมฆาจะไม่เกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือ?