Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 315 สวมหน้ากาก
บทที่ 315 สวมหน้ากาก
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับเมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก่อนกล่าวต่อ “โบราณว่าสร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรู พระองค์ทรงละทิ้งความชิงชังก่อนหน้านี้ไปให้หมดจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ? ต่อให้มีความแค้นส่วนตัวกับกระหม่อมก็ไม่ควรมาลงกับสํานักหมอกเมฆาทั้งสํานักเช่นนี้ การนํากองกําลังทหารสองแสนนายเข้ารุกรานสํานักของกระหม่อมเพียงเพราะไม่สามารถส่งบรรณาการให้ตามกําหนดไม่เกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือ?”
เยี่ยฉวนลอบสอดส่องสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อหาทางหนี
เหล่าทหารเร่งรุดมายังที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทราบข่าว กระทั่งกําลังพลทั้งสองแสนนายตีวงล้อมไว้แน่น การต่อสู้เพื่อฝ่าวงล้อมออกไปในสถานการณ์เช่นนี้เพียงลําพังคงต้องมีพละกําลังเทียบเท่าขั้นมหาปราชญ์ฝึกหัดเฉกเช่นราชินีอสูรเกศาขาวเป็นอย่างน้อย ไม่เช่นนั้นคงถูกฆ่าตายหรือสิ้นใจตายเพราะความเหนื่อยล้าในที่สุด
“เกินกว่าเหตุงั้นรึ? แล้วอย่างไรล่ะ?! ข้าบอกแล้วว่าข้าจะทําลายล้างสํานักหมอกเมฆาให้ราบเป็นหน้ากลอง แม้แต่ไก่กาหมาแมวก็ไม่เว้น ฮ่าๆๆ” องค์รัชทายาทหลีก่วงฮานระเบิดหัวเราะพลางเผยสีหน้าโหดเหี้ยม “ไอ้หนู บอกข้ามาว่าเจ้าเสียใจกับทุกสิ่งที่ทําลงไปในห้องโถงมังกรปีศาจหรือไม่?”
องค์รัชทายาทขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยโทสะ
ความเกลียดชังสุมอยู่ในอกจนแทบระเบิด!
แม้จะรอดพ้นจากอาณาจักรสวรรค์มาได้ ทว่าวิถีชีวิตของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ศีรษะของหลีก่วงซ่านถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ตามหลักเขาควรตายตกไปนานแล้ว โชคดีที่บรมครูประจําราชสํานักมองการณ์ไกลอย่างน่าทึ่ง และส่งคนมารอรับเขานอกอาณาจักรสวรรค์แห่งมังกรปีศาจ เขาจึงถูกส่งตัวกลับเมืองหลวงทันที จากนั้นบรมครูได้ใช้เคล็ดวิชาประจํากายชั้นยอดรักษาบาดแผลจนรอดพ้นจากความตาย เคราะห์ร้ายที่ศีรษะอีกครึ่งไม่สามารถงอกกลับมาได้ดังเดิม หากสูญเสียไปเพียงใบหน้าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สมองของเขาอีกครั้งก็ถูกทําลายไปด้วยเช่นกัน แม่โชคจะเข้าข้างจนรอดชีวิตมาได้ แต่ชายหนุ่มมักมีอาการคลุ้มคลังทุกๆสองหรือสามวัน และอาจตายตกไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ความหวังในการฝึกฝนเคล็ดวิชาอันแข็งแกร่งหาผู้ใดเปรียบก็พังทลาย เขาจะต้องอยู่ในขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับเจ็ดไปตลอดชีวิต ชายหนุ่มหมดสิ้นความก้าวหน้าในอนาคต อีกทั้งสติปัญญายังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เขาไม่อาจคิดเรื่องราวซับซ้อนได้อีกต่อไป มิเช่นนั้นจะเกิดอาการปวดศีรษะ ความทะยานอยากในการขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิต้าฉันองค์ต่อไปจึงถูกทําลายไปด้วย แม้แต่ตําแหน่งองค์รัชทายาทในปัจจุบันยังสันคลอน มีเจ้าชายอีกหลายพระองค์ที่คอยเพ่งเล็งราวกับพยัคฆ์ร้ายจ้องตะครุบเหยื่อ เสนาบดีหลายคนก็แสดงความไม่พอใจจนถึงขั้นแอบยื่นคําร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษร
ความปรารถนาที่จะประสบความสําเร็จและได้รับการยกย่องนับถือกลับกลายเป็นฝันร้ายอย่างคาดไม่ถึง ทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี แล้วองค์รัชทายาทหลีก่วงซ่านจะทําใจไม่เกลียดเยี่ยฉวนเข้ากระดูกด่าได้อย่างไร? เขาโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเยี่ยฉวน เมื่อได้ยินข่าวว่าสํานักหมอกเมฆาไม่สามารถส่งบรรณาการได้ตามกําหนดจึงรีบคุกเข่าอ้อนวอนพระราชบิดาให้เขานําทัพทหารสองแสนนายไปทําศึกกับอีกฝ่ายทันที
“ใช่ ข้าจะมานึกเสียดายตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว กงล้อสะบั้นมังกรน่าจะนั่นคอพระองค์ให้ขา ดกระเด็นไปเสีย! น่าเสียดายที่ผ่าไปได้เพียงครึ่ง!” เยี่ยฉวนยิ้มเยาะ หากองค์รัชทายาทคิดว่าเขา จะรู้สึกเสียใจกับการกระทําของตนเองคงเป็นการฝันเฟื่องไปหน่อยแล้ว!
“ไอ้สารเลว เจ้า… วันนี้เจ้าต้องตายด้วยน้ํามือข้า!”
องค์รัชทายาทหลีก่วงซ่านแผดเสียงเกรี้ยวกราดก่อนกระโจนเข้าใส่เยี่ยฉวนอย่างรวดเร็ว เขาหยุดลงบนหลังคาก่อนจะเหวี่ยงกําปั้นออกอย่างดุดัน!
เศษกระเบื้องมุงหลังคาปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ สายลมจากพลังหมัดเข้าปะทะใบหน้าเยี่ยฉวนก่อนที่กําปั้นจะมาถึง
เคล็ดวิชาหมัดจักรพรรดิ!
องค์รัชทายาทหลีก่วงซ่านเปิดฉากจู่โจมด้วยเคล็ดวิชาประจําราชวงศ์หมายให้ร่างเยี่ยฉวนทะลุเป็นรูกลวง เขารวบรวมความโกรธ ความเคียดแค้น และความคับข้องใจทั้งหมดไว้ในกําปั้นนี้ พลานุภาพของมันจึงรุนแรงกว่าหมัดจักรพรรดิในอาณาจักรสวรรค์หลายเท่าตัว!
“ตายซะ! ตายซะ! ตายซะ!”
“ฆ่ามันเลย! ฆ่ามัน…”
ทหารโดยรอบพร้อมใจกันกู่ร้องเพิ่มความฮึกเหิมให้กับองค์รัชทายาทผู้แกร่งกล้า
จักรวรรดิต้าฉันให้ความสําคัญกับคุณธรรมและความกล้าหาญของเหล่าทหารมาโดยตลอด ทหารทุกนายล้วนดุร้ายป่าเถื่อนประหนึ่งพยัคฆ์ร้ายในสมรภูมิ พวกเขามักห้อยศีรษะของศัตรูไว้ข้างเอวและจะได้รับการตกรางวัลตามจํานวนศีรษะหลังสิ้นสุดสงคราม ความอาจหาญขององค์ชายรัชทายาทจึงทําให้พวกเขาส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง
“ดี มาได้จังหวะเหมาะพอดี!”
เยี่ยฉวนร้องตะโกนก่อนพุ่งไปข้างหน้าและเหวี่ยงหมัดออกไปเต็มแรงเช่นกัน!
บัดนี้เขาโกรธแค้นองค์รัชทายาทหลีก่วงซ่านไม่ต่างกัน หากไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นจะฝ่าวงล้อมนี้ไปได้อย่างไร?
วินาทีที่กําปั้นของทั้งสองปะทะกัน พลังหนึ่งแสนสองหมื่นหกพันจนจากการโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งเจ็ดภายในร่างก็ระเบิดออกทันใด!
“ตู้ม!” คลื่นกระแทกที่มองไม่เห็นแผ่กระจายเป็นวงกว้างในชั่วพริบตา
เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นอากาศโดยรอบบิดเบี้ยว และไหวกระเพื่อมราวกับระลอกคลื่นบนผิวทะเลสาบโดยมีอาคารหลังเล็กเป็นจุดศูนย์กลาง บรรดาทหารที่ยืนอยู่ในรัศมีร้อยเมตรรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกและกระเด็นออกไป ประหนึ่งถูกทุบด้วยค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็น
หมัดจักรพรรดิขององค์รัชทายาททั้งดุดันและทรงพลังยิ่ง ทว่าเคล็ดวิชาของเยี่ยฉวนก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ทุกครั้งที่เขาก่อรวมยันต์กลืนกินสวรรค์ใบใหม่จะได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งหมื่นแปดพันจิน มิหนําซ้ําขั้นการฝึกตนของเขายังแตกต่างจากยามเผชิญหน้ากันในอาณาจักรสวรรค์อย่างสิ้นเชิง!
เยี่ยฉวนและองค์รัชทายาทหลีก่วงฮานต่างถอยหลังคนละก้าวและส่งเสียงครางออกมาพร้อมกัน
การปะทะกันตัวต่อตัวเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีพลังเท่าเทียมกัน
ใบหน้าซีกขวาขององค์รัชทายาทที่ห่อหุ้มด้วยเหล็กนั้นเย็นชาไร้ความรู้สึก หากแต่ซีกซ้ายกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ภายในจิตใจของเขาตกตะลึงสุดขีด
ในอาณาจักรสวรรค์แห่งมังกรปีศาจ เยี่ยฉวนไม่อาจต้านทานเขาได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แต่บัดนี้กลับกลายมาเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ําสมเนื้อในเวลาอันสั้น!
“ฆ่ามัน!”
องค์รัชทายาทคํารามกึกก้องพร้อมพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดันอีกครั้ง
ยิ่งขั้นการฝึกตนของเยี่ยฉวนสูงส่งและก้าวหน้าได้เร็วมากเพียงใด ยิ่งไม่อาจปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป!
เยี่ยฉวนแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าทวีได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ หากมุ่งมั่นฝึกตนต่อไปจะไม่เอาชนะเขาได้ในอีกไม่ช้าหรือ? เมื่อเป็นเช่นนั้นความหวังในการชําระแค้นก็จะพังทลายลง และเขาคงต้องตายตกไปในเงื้อมมืออีกฝ่ายเป็นแน่ เพียงแค่คิดองค์รัชทายาทก็แทบกระอักเลือด
“ฝ่าบาท คงดีกว่านี้หากพระองค์ทรงสวมใส่หน้ากากก่อนทําการต่อสู้ ต่อให้พระองค์ไม่ได้สังหารผู้ใด แต่รูปลักษณ์ของพระองค์ในยามนี้อาจทําให้พวกเขาตกใจกลัวจนตายได้!”
เยี่ยฉวนกล่าวคําเยาะเย้ย ฝีปากที่คมกริบกว่ากระบี่เสียดแทงจุดอ่อนขององค์รัชทายาทหลี่กวงฮ่านเข้าพอดิบพอดี
ไม่ว่าผู้ใดได้ยลโฉมใบหน้าของเขาในยามนี้เป็นต้องหวาดกลัว ในกาลก่อนเด็กสาวทั้งหลายแทบจะยอมเปลื้องผ้าถวายตัวให้เขาทันที่ที่ได้พบ ทว่าบัดนี้แม้แต่นางสนมในวังหลวงยังหน้าถอดสีและถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นเขาในยามราตรี ในอดีตพวกนางเคยสุขสําราญกับการนอนซบไหล่ เขาอย่างเอาอกเอาใจ แต่ตอนนี้พวกนางกลับทุกข์ทรมานจนนอนไม่หลับและเก็บไปฝันร้าย
ค่าพูดของเยี่ยฉวนไม่ผิดไปจากความจริงนักและยิ่งทําให้องค์รัชทายาทเดือดดาลจนแทบเสียสติ เขากระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายโดยไม่คํานึงถึงความปลอดภัยของตน
เยี่ยฉวนแสยะยิ้มชั่วร้ายวินาทีที่หมัดของทั้งสองกําลังจะปะทะกันก่อนออกแรงกระโดดลงจากหลังคา เขาฉวยโอกาสยามองค์รัชทายาทไร้สติหลบหนีไปโดยไม่ลืมทิ้งคําพูดสุดท้ายเอาไว้ “ถวายบังคมลาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ข้าไม่นิยมต่อสู้กับคนไร้ศีรษะไร้ใบหน้าเช่นนี้ หากพ่ายแพ้ก็คงเป็นเพราะอาภัพโชค แต่หากชนะก็แสนจะน่าเบื่อหน่าย เทือกเขาหมอกเมฆาในยามนี้ไม่ใช่สมรภูมิสําหรับพระองค์ ควรหนีไปซะก่อนที่จะไม่เหลือใบหน้าแม้แต่ซีกเดียว! ฮ่าๆๆ”
เยี่ยฉวนระเบิดหัวเราะสุดเสียงขณะใช้เคล็ดวิชาไร้เทียมทานเร้นกายจากไปท่ามกลางความโกลาหล!