Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 314 ตายดีกว่ามีชีวิตอยู่
บทที่ 314 ตายดีกว่ามีชีวิตอยู่
สายลมหนาวโชยพัดจนเปลวไฟน้อยในตะเกียงน้ํามันวูบไหว…
กองเอกสารที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะปลิวว่อนเนื่องจากสายลมหนาว บางส่วนเป็นหนังสือแจ้งรายงานจากหน่วยสอดแนม และบางส่วนเป็นสาส์นทางการจากเหล่าทหารราชองครักษ์
ที่ปรึกษาถึงอี้เซียนก้มลงเก็บรวบรวมแผ่นกระดาษทั้งหลายที่ร่วงหล่นอยู่ตามพื้น ทันทีที่รวบรวมมันจนกลายเป็นกองใหญ่จึงหยัดตัวลุกขึ้นยืนดังเดิม แต่แล้วจู่ๆ ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้านขึ้นอย่างไร้เหตุผล
บริเวณมุมมืดหนึ่งของห้องตําราปรากฏร่างสูงเพรียวของบุรุษเพศซึ่งมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์บุกเข้ามาอย่างกะทันหัน! สายตาคู่นั้นแข็งกร้าวและเย็นเยียบเสียยิ่งกว่ากระแสลมพายุในตอนนี้!
หลังชั่งใจอยู่เป็นนานเยี่ยฉวนจึงตัดสินใจฉวยโอกาสทองนี้ เพื่อปรากฏตัวขึ้นภายในถิ่นของศัตรูโดยไม่รอช้า
วูบ! ระลอกคลื่นลมที่มองไม่เห็นเล็ดลอดออกมาตามช่องโหว่ที่ลมสามารถทะลุผ่าน
ตะเกียงน้ํามันบนโต๊ะดับพรี่บด้วยแรงลม ที่ปรึกษาถึงอี้เซียนยืนขาแข็งไม่ขยับเขยื้อนทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย แผ่นกระดาษที่เขาเพิ่งรวบรวมขึ้นจากพื้นปลิดปลิวกระจายไปคนละทิศทางอีกครั้ง
เยี่ยฉวนไม่คิดปริปากเอ่ยคําไร้สาระใดให้มากความ เขาเร่งฝีเท้าตรงไปยังแม่ทัพโลหิตกล้าพร้อมจิตสังหารหนาแน่นก่อนรวบรวมกระแสลมร้ายชกเข้าไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายโดยแรง!
ด้วยความที่ห้องต่าราชั่วคราวแห่งนี้มีขนาดไม่กว้างนัก เพียงก้าวเดียวชายหนุ่มก็สามารถเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้ภายในพริบตา
แม่ทัพโลหิตกล้าซึ่งก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่หลังโต๊ะไม่รีบเงยหน้าขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่คืบเข้าใกล้ ทว่าสีหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความตระหนกและความประหลาดใจราวคาดเดาการมาเยือนของอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว เขาเพียงเหยียดมือออกไปเพื่อสกัดกั้นการโจมตีรุนแรงนั้นและส่งหมัดหนักๆ ย้อนกลับไปในทํานองเดียวกัน
ทันทีที่หมัดของทั้งสองเคลื่อนปะทะกัน ส่งผลให้เกิดคลื่นลมแรงราวพายุขนาดใหญ่ระเบิดออกเป็นวงกว้าง!
โต๊ะทํางานซึ่งทําขึ้นจากไม้เนื้อแข็งพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี แผ่นกระดาษทั้งหมดสลายหายวับไปในอากาศ ส่วนที่ปรึกษาถึงอี้เซียนซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจนยังไม่ทันเห็นว่าผู้บุกรุกยามวิกาลคนนี้คือใคร เขากลับกระอักเลือดและถูกแรงผลักที่มองไม่เห็นส่งร่างให้ลอยกระเด็นไปไกลลิบ กระทั่งแผ่นหลังกระแทกเข้ากับกําแพงและเลื่อนไหลลงมากระแทกพื้นเป็นครั้งที่สอง
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เยี่ยฉวนตะโกนลั่นอย่างร้อนรนและพยายามโจมตีเป็นหนที่สองเพื่อสังหารแม่ทัพโลหิตล่าด้วยความเร็วสูง ทว่ายังไม่ทันทําเช่นนั้นกลับต้องตกตะลึงในสิ่งที่เห็น!
จากเหตุการณ์เมื่อครู่ ด้วยยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งเจ็ดใบในจุดตันเถียนต้องช่วยส่งเสริมให้พละกําลังของเขาสูงถึงเก้าหมื่นจนเป็นอย่างต่ํา ทว่าแม่ทัพโลหิตกล้าผู้นี้กลับสกัดกั้นเขาไว้ได้ด้วยฝ่ามือเพียงหนึ่งข้างเท่านั้น หากเก่งกาจถึงเพียงนี้แล้วขั้นการฝึกตนของเขาจะอยู่ในระดับใดกัน?!
ตึง! เสียงแผ่นไม่ใต้ฝ่าเท้าของแม่ทัพที่พุ่งตัวไปด้านหน้ายุบตัวลงเพราะแรงกระแทกจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ขณะที่เขากลิ้งหลบหมัดสังหารของเยี่ยฉวน ร่างกายของเขาหายลับไปแล้ว เหลือเพียงเสียงเย้ยหยันดึงกึกก้องเท่านั้น “ฮ่าๆๆ! เยี่ยฉวน! ข้ารอคอยเจ้าอยู่นานจนดึกดื่น ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว ฮ่าๆๆ!”
เสียงดึงดาบออกจากฝักดังขึ้น และค่อยๆไล่ระดับไปในวงกว้างดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ทหารจํานวนมากรีบวิ่งออกจากที่พํานักพร้อมด้วยคบเพลิง ทุกหนทุกแห่งเกิดแสงสว่างไสวจากเปลวไฟ ความมืดมิดในยามราตรีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเจิดจ้าไปครึ่งท้องฟ้า
เยี่ยฉวนเร้นกายหายไปปรากฏตัวอยู่บนหลังคากระโจม ครั้นกวาดสายตามองโดยรอบทั้งมือ และเท้าของเขากลับเย็นเยียบราวน้ําแข็ง!
แม่ทัพโลหิตกล้ายืนอยู่ห่างออกไปกว่าหนึ่งร้อยเมตรโดยมีเหล่าทหารยอดฝีมือยืนรายล้อมอยู่เบื้องหลัง นายทหารอื่นๆ นับพันนายยกคันธนูขึ้นเล็งไปยังห้องตราชั่วคราวนี้อย่างพร้อมเพรียงจากทุกสารทิศ เหล่าทหารอารักขาอีกหลายนายเร่งฝีเท้ากรูเข้ามาสมทบ บางนายที่อยู่เบื้องล่าง ล้วนถืออาวุธสังหารครบมือ เยี่ยฉวนอยู่ในจุดกึ่งกลางท่ามกลางวงล้อมอันหนาแน่น กองทัพแห่ง จักรวรรดิต้าฉันเริ่มเรียงตําแหน่งกลายเป็นกระบวนทัพพร้อมรบหลายต่อหลายชั้น แสงจากคบเพ ลิงสว่างไสวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตกหลุมพรางคนพวกนี้เข้าเสียแล้ว!
ทั้งหมดนี้คือกับดัก!
รม่านตาของเยี่ยฉวนหดเล็กลงทันทีที่ตระหนักว่าตนประมาทเกินไป ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เขามีอาการกระสับกระส่ายและเอะใจว่าเหตุใดสถานการณ์ช่างเอื้ออํานวยอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ โดยที่ความจริงแล้วคือแม่ทัพโลหิตกล้าเป็นคนวางกับดักนี้ไว้ตั้งแต่แรกและใช้ที่ปรึกษาถังอี้เซียนเป็นเหยื่อล่อ
ชายผู้นี้มีความคิดแยบยลนัก มิน่าเล่าถึงได้ดํารงตําแหน่งเป็นถึงแม่ทัพที่มีกําลังทหารใต้บังคับบัญชากว่าสองแสนนายเช่นนี้!
เยี่ยฉวนรับรู้ถึงความทรงอํานาจของแม่ทัพโลหิตกล้าในทันที แต่ขณะเดียวกันความรู้สึกที่คุ้นเคยกลับปรากฏขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ น้ําเสียงของชายตรงหน้าทั้งแหบแห้งและดุดันจนเขามั่นใจว่าต้องเคยได้ยินมาจากที่ใดสักแห่งเป็นแน่!
“แม่ทัพโลหิตกล้าเก่งกาจนัก เยี่ยฉวนผู้นี้รับรู้บทเรียนแล้ว!”
เขากวาดสายตามองแม่ทัพโลหิตกล่าซึ่งยืนอยู่ห่างจากตนประมาณหนึ่งร้อยเมตรตั้งแต่หัวจรดเท้า ใครใช้สายตามองทะลุผ่านหมวกโลหะที่อีกฝ่ายสวมใส่เสียเหลือเกินว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นคือใครกันแน่?! ยิ่งสํารวจความคุ้นเคยยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทว่าคิดทบทวนหลายครั้งก็ยังจําไม่ได้ว่าเคยเห็นอีกฝ่ายจากที่ใดมาก่อน
“ไอ้สารเลว! ในเมื่อเจ้าตระหนักแล้วว่าข้าเก่งกาจ เช่นนั้นจงเบิกตาให้กว้างแล้วดูเสียให้เต็มตาว่าข้าคือใคร?!”
แม่ทัพโลหิตกล้าจ้องเขม็งไปยังเยี่ยฉวนและเอื้อมมือไปถอดหมวกโลหะของตนออก
ดวงตาของเยี่ยฉวนเปล่งประกายวาวโรจน์ขึ้นทันทีที่เห็นการกระทําเช่นนั้นของแม่ทัพโลหิตกล้า แต่เมื่ออีกฝ่ายถอดหมวกโลหะออกแล้วเยี่ยฉวนกลับผิดหวังเมื่อพบว่าใบหน้านั้นยังมีหน้ากากปิดบังอยู่อีกหนึ่งชั้น
“ไยจึงทําหน้าร้อนรนเช่นนั้นเล่า?!”
แม่ทัพโลหิตกล้ากล่าวขณะโยนหมวกโลหะทิ้งไปด้านข้าง เขาค่อยๆเอื้อมมือไปถอดหน้ากากออกอีกครั้งเพื่อเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้เป็นที่ประจักษ์
ขณะนั้นเองเสียงร้องอุทานกลับดังขึ้นจากกลุ่มของกองกําลังทหารที่รายล้อมอยู่โดยรอบ
เยี่ยฉวนเพียงนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึงจนไม่ปริปากเอ่ยคําใด ทว่าเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาต่างสูดอากาศหนาวเย็นเข้าปากพร้อมกันด้วยความขวัญผวา
เหตุใดใบหน้าของเขาจึงน่าสยดสยองถึงเพียงนี้?!
ลักษณะภายนอกนั้นไม่ใช่ทั้งมนุษย์และไม่ใช่ทั้งปีศาจ ครึ่งหนึ่งเป็นใบหน้าปกติธรรมดา…อีกครึ่งหนึ่งเป็นเหล็กกล้าที่หลอมละลายจนพอดีเค้าโครง ลักษณะเช่นนั้นราวกับมันเคยถูกตัดแยกออกจากกันสองส่วนทั้งเป็น ทําให้ส่วนที่สูญเสียจนไม่อาจรักษาต้องใช้เหล็กกล้าในการปกปิดร่องรอยนั้น!
เยี่ยฉวนยืนนิ่งไปครู่ใหญ่ ครั้นพิจารณาใบหน้านั้นและหวนทบทวนความหลัง ชื่อแซ่ที่คุ้นเคยพลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิดจนเผลอเรียกขาน “องค์ชายรัชทายาทหลีก่วงฮานงั้นหรือ?!”
“ฮ่าๆๆ!”
แม่ทัพโลหิตกล้าแค่นเสียงคํารามกลั้วหัวเราะดังลั่น กิริยาท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างกันใดไปจากคนไร้สติสัมปชัญญะที่ไร้ซึ่งมโนสํานึก ไม่นานเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจนั้นจึงเงียบลง ใบหน้าของเขาเผยความเย็นชาจนทําลายล้างไปถึงขั้วหัวใจ “ไอ้เด็กเหลือขอ! ในที่สุดเจ้าก็จดจําข้าได้เสียที! ถูกแล้ว! ข้า…หลีก่วงซ่าน องค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉัน! ฮ่าๆๆ”
หัวใจของเยี่ยฉวนจมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง ความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นฉายชัดในความคิด เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดราชวงศ์ต้าฉันจึงไม่ส่งสาส์นรายงานตามธรรมเนียมด้านการทําสงครามและส่งกองทัพจํานวนมหาศาลไปบดขยี่สํานักหมอกเมฆาโดยตรงเช่นนี้?
แม่ทัพโลหิตกล้าผู้นี้ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่กลับเป็นองค์ชายหลีก่วงฮานอย่างเหนือความคาดหมาย! ชายสูงศักดิ์ผู้นี้มีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยโทสะแรงกล้าและไฟแค้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะความเคียดแค้นที่ยากจะระงับ ต่อให้สํานักหมอกเมฆามีผองศิษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความแค้นส่วนตน ทว่าเขากลับไม่ใส่ใจและต้องการเผาเทือกเขาหมอกเมฆาทั้งหมดให้วอดวาย เพื่อระบายความเกลียดชัง!
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในอาณาจักรสวรรค์แห่งมังกรปีศาจ โดยเฉพาะในห้องโถงมังกรปีศาจซึ่งตั้งอยู่ท้ายที่สุดของครรลองทอดยาว ในเวลานั้นเยี่ยฉวนได้ตระหนักถึงธาตุแท้อันหยาบช้าขององค์ชายผู้นี้อย่างชัดแจ้ง ด้วยอุปนิสัยเลือดร้อนและหวังเอาชนะถึงเพียงนั้นรวมถึงการมีกองกําลังทหารใต้บังคับบัญชาถึงสองแสนนาย ต่อให้ใช้วิธีเจรจาอย่างไรก็คงไม่เป็นผลเป้าหมายเดียวของเขาคือการกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาให้สิ้นซาก ไม่มีแม้แต่การซ้อมรบหรือประนีประนอมใดๆ
“ที่แท้แม่ทัพใหญ่ก็คือฝ่าบาทนั่นเอง… ข้าไม่แปลกใจเลยที่พระองค์สามารถปฏิบัติการทางทหารโดยใช้วรยุทธ์ที่แยบยลถึงเพียงนี้!”
เยี่ยฉวนสูดลมหายใจลึกพลางกล่าวต่ออย่างใจเย็น “ข้าไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกระจ่างนัก พระองค์ไม่สิ้นพระชนม์ในห้องโถงมังกรสวรรค์เพราะกงล้อสะบั้นมังกรหรอกหรือ? เหตุใดจึง…”
“ข้าตายไปแล้วอย่างไร? ในที่สุดข้าก็ยังมีชีวิตอยู่! ฟองอากาศพิลึกนั้นส่งตัวข้ากระเด็นออกไปจากอาณาจักรสวรรค์และกลับคืนสู่เมืองหลวง ใบหน้าครึ่งซีกของข้าถูกไอ้กงล้อบัดซบนั่นนั่นจนขาดครึ่ง แม้ตอนนี้ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือปีศาจทว่าใช้ชีวิตด้วยความทรหดยิ่ง! บางที่ตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ต่อ เป็นอย่างไรล่ะไอ้สารเลว! เห็นข้ามีสภาพเช่นนี้แล้วสาแก่ใจเจ้าหรือยัง?! การดํารงอยู่ของข้าเลวร้ายยิ่งกว่าตายตกไปหลายเท่าเชียวล่ะ! ฮ่าๆๆ!”
หลีก่วงซ่านกล่าวขณะลูบไล้ใบหน้าครึ่งซีกที่ผิดวิสัยมนุษย์ทั่วไป เขาระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่หยดน้ําใสไหลรินลงจากดวงตาด้วยความหดหูในโชคชะตาอันน่าอัปยศเช่นนี้ เริ่มแรก เขาไรซึ่งความมั่นใจจนแทบไม่อยากดํารงชีพอยู่ต่อ รูปลักษณ์ภายนอกนั้นไม่ต่างอะไรจากคนวิกลจริต ทันทีที่เขาเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงไม่เฉพาะเยี่ยฉวนที่ตกตะลึง ทว่าเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาก็ผงะและพากันถอยกรูดด้วยความสะพรึงกลัวอย่างยากจะระงับ