Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 296 จับเต่าขังไว้ในเหยือก
บทที่ 296 จับเต่าขังไว้ในเหยือก
จซื้อเจียและเหล่าศิษย์ชั้นเลิศเดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว การต่อสู้ระหว่างสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ยังคงไม่จบสิ้น
หลังสูญเสียแนวป้องกันที่ประตูปราการหลัก การสู้รบที่ตรงไปตรงมาจึงแปรเปลี่ยนเป็นการสั่งหารหมู่สํานักเบญจลักษณ์อยู่ในสถานะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ําหลายบริเวณที่อยู่ห่างไกลออกไปเกิดการต่อสู้ประปรายศิษย์สํานักเบญจลักษณ์รวมตัวเป็นสองถึงสามทัพเพื่อต่อต้านการโจมตีจากฝ่ายศัตรูโดยอาศัยภูมิประเทศที่ได้เปรียบกว่าการต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆแต่มีพลังทําลายล้างรุนแรงยิ่ง
ด้วยการสนับสนุนโดยกลุ่มทูตแห่งโลกันตร์ทําให้โท่วป่าเซียงและสํานักเครื่องนิลสามารถเอาชนะสํานักเบญจลักษณ์ได้ในที่สุดเมื่อศึกครั้งใหญ่หลวงจบลงเจ้าสํานักชราจึงต้องการให้ฝ่ายพ่ายแพ้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างทั่วถึงดังนั้นจึงต้องใช้เวลาและความอดทนเป็นพิเศษ
“ศิษย์พี่ใหญ่ เราเริ่มกันเลยดีกว่า! เร่งเข้าไปสังหารสํานักเครื่องบิลเสียตั้งแต่ตอนนี้!”
จซื้อเจียเดินเข้ามาตรงหน้าเยี่ยฉวนและร้องขอคําสั่งมอบหมายในการสู้รบ ศิษย์ชั้นยอดูทุกคนเผยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมโจมตีเหลือเพียงคําสั่งอย่างเป็นทางการจากศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น
หลังจากสํานักเครื่องนิลบุกผ่านประตูหลักของสํานักเบญจลักษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วโท่วป่าเซียงพร้อมด้วยสาวกอีกประมาณสิบคนซึ่งเป็นกองกําลังหลักจึงเร่งรุดไปยังส่วนลึกของสํานักเบญจลักษณ์เพื่อตีวงล้อมและปราบปรามศิษย์ที่หลงเหลืออยู่ให้ราบคาบหากพวกเขาเร่งทําการโจมตีในเวลานี้จะสามารถเอาชนะสํานักเครื่องนิลที่ไม่ทันระวังตัวได้อย่างแน่นอน
“อย่ารีบร้อน ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเองก่อนเถิด เจียเจีย…เวลานี้สิ่งที่เจ้าควรทําไม่ใช่การปะทะโดยตรงกับพวกมัน แต่ควรกระจายกําลังล้อมสํานักเบญจลักษณ์ไว้ให้หมดอย่าปล่อยให้หลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว! ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
เยี่ยฉวนส่ายหน้าเป็นเชิงปรามก่อนเรียกปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบสั่งการบางอย่าง
ปีศาจเฒ่าได้ยินภารกิจจึงน้อมรับคําสั่งพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
บริเวณประตูหลักปรากฏศิษย์สํานักเครื่องนิลประมาณสิบสองราย บางคนกําลังนอนราบกับพื้นเพื่อพักผ่อนเอาแรงพร้อมหอบหายใจหนักหน่วงอย่างเหนื่อยล้าบางคนดื่มสุราหมักที่พกมาด้วยเพื่อผ่อนคลายอารมณ์และบางคนยังสาละวนอยู่กับการทําแผลไม่มีผู้ใดสังเกตว่าภยันตรายกลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะ
ทันใดนั้นเถาวัลย์พิษเส้นยาวซึ่งมีหนามแหลมคมโดยรอบจึงผุดออกมาจากใต้ดินและเกี่ยวรัดร่างศิษย์สํานักเครื่องนิลสิบกว่าคนนั้นจนแน่นปลายคมกริบทิมแทงทะลุจากด้านหลังสู่ขั้วหัวใจและดูดกลืนโลหิตแก่นแท้รวมถึงปราณหยางของคนเหล่านั้นจนหมดสิ้นโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้ ก่อนที่พวกเขาจะรับรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับตนเองร่างกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นซากศพเหี่ยวแห้งเสียแล้ว!
“ฮิๆๆ! ข้าชื่นชอบการต่อสู้เช่นนี้นัก!”
ปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินหัวเราะลั่นก่อนเคลื่อนกายเข้าไปในส่วนลึกของสํานักเบญจลักษณ์อย่างรวดเร็ว ภารกิจของเขาแตกต่างจากศิษย์คนอื่นที่ปิดล้อมรอบสํานักแต่เป็นการลอบสังหารูบรรดายอดฝีมือของทั้งสองสํานักให้หมดสิ้นโดยเฉพาะสาวกสํานักเครื่องนิลเพื่อให้โท่วป่าเซียงปราศจากผู้ช่วยฝีมือดี
“เจียเจี้ย คุ้มกันทางเข้าสํานักให้ดี อย่าให้ผู้ใดหลบหนีไปได้!”
ชายหนุ่มอัญเชิญภูตทะเล ราชาจักจั่นทองคําหกปีก อสรพิษครึ่งคนสิบสองตนและสัตว์อสุรกายอื่นๆ ออกมาเพื่อเตรียมพร้อมต่อการต่อสู้ จักจั่นทองค่าบินออกไปค้นหาเป้าหมายตามค่าสั่งที่ได้รับเช่นเดียวกับปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินส่วนคนอื่นๆกระจายตัวช่วยเหลือจซื้อเจียในการวางแนวป้องกันไม่นานม่านแสงสีแดงจึงฉายขึ้นโอบล้อมรอบสํานักอีกครั้งเดิมม่านแสงดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องสํานักเบญจลักษณ์จากศัตรูภายนอก ทว่าครั้งนี้กลับกลายเป็นบ่วงดักจับทุกคนที่อยู่ภายในไม่ให้หลบหนีออกไปได้ สํานักเบญจลักษณ์และสํานักเครื่องนิลตกอยู่ในเงื้อมมือของสํานักหมอกเมฆาอย่างสมบูรณ์!
เยี่ยฉวนเรียกใช้พลังปราณจํานวนมากเพื่อสร้างม่านปราการของสํานักเบญจลักษณ์สะท้อนกลับเป็นกับดักกักขังผู้ที่อยู่ภายใน
รากฐานของสํานักเครื่องนิลจบสิ้นกันครานี้ ตราบใดที่บรรดาศิษย์สองสํานักถูกกวาดล้างจนสิ้นซากเทือกเขาหมอกเมฆาทั้งหมดก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
ถึงกระนั้นม่านแสงสีแดงก็ไม่มีลักษณะหรือหวาดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่ด้านในทันที
ศิษย์สํานักเบญจลักษณ์วุ่นวายเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่น พวกเขากลัวลนลานจนหมอบราบลงกับพื้นเพื่อหลบซ่อนจากการถูกศัตรูสังหารหมู่ ส่วนโท่วป่าเซี่ยงและคนอื่นๆที่สัมผัสถึงความผิดปกติของข้อจํากัดนี้ต่างคิดว่าศิษย์ของสํานักเครื่องนิลบางคนคงเรียกใช้ขอบเขตป้องกันดังกล่าวเพื่อไม่ให้สัตว์อสูรกายได้กลิ่นคาวเลือดไม่มีผู้ใดคิดว่ารูปแบบการก่อตัวของมันเป็นไปในทางตรงข้ามกับของเดิมแล้ว
การต่อสู้ภายในสํานักยังคงดําเนินต่อไป ตอนนี้สํานักเครื่องนิลอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าจึงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างช้าๆไม่นานจึงสังเกตว่าบรรดายอดฝีมือที่คุ้นเคยทยอยหายตัวไปทีละคนซึ่งกลุ่มคนที่สาบสูญเหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์ชั้นเลิศและแม่ทัพผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง
ครั้นเหตุการณ์ดําเนินไปสักระยะทั้งสํานักเบญจลักษณ์จึงตกอยู่ในความโกลาหลจากตอนแรกที่ไม่มีผู้ใดสงสัยกลับกลายเป็นพบเจอศพของคนที่หายตัวไปถูกซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบมุมอับซึ่งก่อด้วยกําแพงอิฐรวมถึงรอยแตกของผืนดินขนาดใหญ่หนึ่งศพ…สองศพเพิ่มจํานวนขึ้นเรื่อยๆสถานการณ์เริ่มไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ข่าวดังกล่าวถูกรายงานไปยังเจ้าสํานักโทวป่าเซียงอย่างรวดเร็ว ชายชราจึงเร่งรุดเข้าสํารวจพฤติการณ์ที่ตายของคนเหล่านั้นโดยละเอียด
“หัวใจของพวกเขาถูกทะลวงเป็นแผลฉกรรจ์ รอยบาดแผลอาจเกิดจากอาวุธมีคมบางชนิดซึ่งไม่ใช่ทั้งจากปลายดาบหรือศรธนู แม้แต่เลือดหยดเดียวก็ไม่หลงเหลืออยู่ในร่างผิวหนังแห้งกรังจนติดกระดูก…”
โท่วป่าเซียงตรวจสอบบาดแผลของร่างไร้วิญญาณเหล่านี้อย่างถี่ถ้วนด้วยสีหน้าเรียบเฉยส่วนทหารอารักขาที่ยืนล้อมอยู่ด้านหลังต่างหวาดกลัวจนยืนนิ่งไม่ขยับเขยือน
เห็นได้ชัดว่าศพที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นเพิ่งถูกสังหารเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าสภาพกลับแห้งกรังราวตายตกไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน แม้แต่เลือดสักหยดก็ไม่หลั่งลงนองบนพื้นดินสิ่งนี้สามารถคาดเดาไปในทางใดได้บ้าง?
ปีศาจดูดเลือด!
ดูจากการเร้นกายหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยเช่นนี้ ภายในสํานักเบญจลักษณ์ต้องมีปีศาจดูดเลือดที่น่าสยดสยองแฝงตัวอยู่เป็นแน่!ไม่แน่ว่ามันอาจได้กลิ่นคาวเลือดที่โชยไปตามสายลมกระทั่งออกมาจากรังกบดานในเทือกเขาหรืออาจถูกผนึกวิญญาณไว้ภายในสํานักเบญจลักษณ์ตั้งแต่แรกศิษย์สํานักเบญจลักษณ์อาจเล็งเห็นว่าพวกตนไร้ทางรอดชีวิตแน่แล้วจึงปลอดปล่อยมันออกมาเพื่อสังหาร
“ปีศาจุดูดเลือด! ต้องเป็นปีศาจุดูดเลือดแน่ๆ!”
“เจ้าสํานักเบญจลักษณ์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ลือกันว่าเขาถูกขอบเขตป้องกันของอาณา จักรสวรรค์ดูดกลืนเข้าไปและไม่ได้กลับออกมาอีกเป็นไปได้ไหมที่เขาจะกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายคอยดูดเลือดผู้คนไปแล้ว!พวกมันจงใจบิดเบือนข่าวลือนั่นเป็นแน่!”
ศิษย์สํานักเครื่องนิลแห่กันเข้ามารุมล้อมศพซึ่งถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมผู้คนต่างกระซิบกระซาบและชี้ชวนกันดูจนข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วยิ่งรับรู้เป็นวงกว้างทุกคนยิ่งขยาดกลัวและตกประหม่า
“ท่านทูต… ท่านมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร?” โท่วป่าเซียงหยัดกายลุกขึ้นก่อนหันไปขอคําชี้แนะจากอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ครู่นี้เขาเพิ่งพิชิตสํานักเบญจลักษณ์ที่แข็งแกร่งด้วยความยากลําบากและใกล้ควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้อยู่แล้วทันใดนั้นสิ่งประหลาดดังกล่าวกลับปรากฏขึ้นนับเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของสํานักเครื่องนิลอีกครั้ง!
ทูตแห่งโลกันตร์ไม่ปริปากเอ่ยคําใด เขาเพียงหลับตาลงเพื่อเพ่งสมาธิสัมผัสถึงบางสิ่ง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นพร้อมเงยหน้ามองบริเวณโดยรอบเทือกเขาและพบม่านสีแดงเลือนลางขยายปกคลุมรอบสํานักเบญจลักษณ์ “ท่านเจ้าสํานักการเรียกใช้ขอบเขตป้องกันบริเวณประตูหลักของสานักเบญจลักษณ์อยู่ในการควบคุมของท่านงั้นหรือ?”
หลังเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชายชราผู้สวมหน้ากากสีดําสนิทจึงสัมผัสถึงความผิดปกติจากม่านแสงสีแดงดวงตาของเขาหรี่เล็กลงขณะเปล่งแสงสีซีด
“เปล่าเลยเดิมที่ข้าคิดว่านั่นคือสิ่งที่ศิษย์สํานักเบญจลักษณ์บางรายเรียกใช้ก่อนตายเท่านั้น คงไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด…”
โท่วป่าเซียงส่ายศีรษะ แต่แล้วเมื่อเขากําลังจะกล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องผิดประหลาด…จิตใจกลับรู้สึกย้อนแย้งกับข้อสันนิษฐานนั้น
ขอบเขตป้องกันบริเวณปากทางเข้าสํานักจะต้องเรียกใช้โดยศิษย์ยอดฝีมือซึ่งมีวรยุทธ์และพลังปราณสูงส่ง ทั้งยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาอันซับซ้อนพวกนั้นเป็นอย่างดีต่อให้เขาเป็นผู้เรียกใช้มันด้วยตนเองก็ต้องอาศัยเวลาและพลังงานในปริมาณมากสาวกผู้ติดตามเพียงสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังล้วนเป็นเพียงผู้ฝึกตนซึ่งบรรลุชั้นซิวฉือระดับสูงสุดพวกเขาจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
เรื่องใหญ่…เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นเสียแล้ว!
โท่วป่าเซียงและทูตแห่งโลกันตร์หันสบตากันโดยกล่าวคําใดไม่ออก จากนั้นจึงเร่งรุดไปยังบริเวณทางเข้าหลักของสํานักเบญจลักษณ์โดยทันที!