Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 276 ทัพอสุรกายประจัญบาน
บทที่ 276 ทัพอสุรกายประจัญบาน
หนึ่งมนุษย์หนึ่งมังกรหายลับเข้าไปในผืนป่าบนภูเขาอันกว้างใหญ่ในเวลาไม่นานนัก…
หลังจากหลงเอ๋อร์ผสานกายาเข้ากับมังกรปีศาจตัวน้อยทําให้ได้รับพลังมหาศาลจากมังกรมาด้วย พละกําลังทั้งหมดตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมเหนือมนุษย์ทั่วไป เพียงพริบตาเดียวมังกรน้อยก็เดินทางมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งโดยมีเยี่ยฉวนขอยู่บนหลัง
ปราณปีศาจที่ลอยวนอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ ภายในหุบเขาแห่งนี้หนาแน่นและทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันไม่ได้แผ่ออกมาจากสัตว์อสุรกายขนาดยักษ์ทว่ามาจากฝูงตัวนิ่ม ผิวหนังของมันลื่นมันวาวทั้งยังมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าตัวนิ่มทั่วไปถึงสองเท่า ลําตัวของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดําหนาทึบที่คมดาบธรรมดาไม่อาจแทงทะลุได้โดยง่าย เมื่อพวกมันอยู่รวมกันนับสิบตัวและรายล้อมพยัคฆ์ร้ายหมายกินเป็นอาหาร ลักษณะเช่นนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์
เยี่ยฉวนรีบกระโดดลงจากหลังมังกรน้อยหลงเอ่อร์ก่อนพุ่งตัวไปด้านหน้าตรงไปยังฝูงตัวนิ่มทันที!
หลงเอ๋อร์สังเกตการกระทําของพี่ใหญ่โดยที่ตนไม่ขยับเขยื้อน เขาไม่จําเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือแต่อย่างใด เพราะออร่ามังกรปีศาจเพียงอย่างเดียว ก็ข่มขวัญศัตรูจนตื่นกลัวได้ไม่ยากนัก
เยี่ยฉวนข่มกลั้นออร่าสภาวะกิ่งมังกรของเขาไว้อย่างมิดชิด จนดูคล้ายมนุษย์สามัญผู้ไม่ผ่านการฝึกตน ทําให้เขาดูเหมือนคนเก็บขยะที่ไร้แรงกดดัน แต่พอเดินเข้าใกล้พวกมันในระยะหนึ่งร้อยเมตรจ่าฝูงตัวนิ่มกลับรู้สึกกระสับกระส่ายและค่อยๆถอยหลังกลับ ส่วนตัวอื่นก็ถอยถามจ่าฝูงของมันด้วยความหวาดผวา สายตาที่พวกมันมองเยี่ยฉวนไม่ต่างอะไรไปจากพบเห็นสัตว์ร้ายที่มีพลังเหนือกว่า
แท้จริงแล้วสัตว์อสุรกายมีสัมผัสที่เปราะบางยิ่ง ทั้งยังมีสัญชาตญาณเฉียบแหลมกว่ามนุษย์หลายเท่า
เยี่ยฉวนเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น แสงสีฟ้ากะพริบหลายครั้งพร้อมร่างของอสรพิษครึ่งคนสิบสองตนที่ปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าจ่าฝูง คราวนี้แสงสีฟ้ากะพริบอีกครั้งพร้อมปีศาจวัวนัยน์ตาอสูรจํานวนมากที่รายล้อมฝูงตัวนิ่มไว้ เมื่อสถานการณ์ตกอยู่ในอันตรายพวกมันจึงเริ่มขุดลงไปในพื้นดินอย่างรวดเร็วโดยหวังว่าจะรอดจากการถูกจับ
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงยกขากระทืบพื้นโดยแรงจนมวลดินสั่นสะเทือนเป็นคลื่นอันทรงพลัง ตัวนิ่มทั้งสิบไม่ทันมุดหนีกลับกระเด็นกระดอนขึ้นจากหลุมพร้อมเพื่อนๆ ของมันร่วมสองร้อยตัวที่โผล่ขึ้นจากพื้นดินเช่นกัน พวกมันถูกเยี่ยฉวนผูกพันธะโลหิตและฝึกให้เชื่องก่อนส่งเข้าไปอยู่ในโคมบงกชสีคราม
เยี่ยฉวนหันกลับไปหามังกรน้อยหลงเอ๋อร์ เขากระโดดขึ้นขี่หลังก่อนออกคําสั่ง “หลงเอ่อร์ ไปยังจุดหมายต่อไปเถิด!”
หลงเอ๋อร์ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าและมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกตามคําสั่งพลางส่งกระแสจิตเจรจาเจื้อยแจ้ว “พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านต้องการรวบรวมสัตว์อสุรกายเหล่านี้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้ในค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์ต้านทานกโารจมตีจากราชวงศ์ต้าฉินและสํานักอสูรเมฆาใช่หรือไม่ขอรับ?”
หลงเอ๋อร์ใช้เวลาไม่นานก็ทําความเข้าใจการก ระทําของเยี่ยฉวนอย่างกระจ่างแจ้ง ส่วนเรื่องที่ว่าเยี่ยฉวนกลั่นโลหิตเพื่อปราบปรามมันด้วยเหตุใด…หรือนํามันไปเก็บไว้ตรงไหนเขาไม่จําเป็นต้องเอ่ยถาม ด้วยรู้ดีว่าทุกคนย่อมมีวิธีเร้นลับเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป แม้เกิดความสงสัยตามประสาเด็กแต่เขาก็คาดเดาจุดประสงค์หลักได้อย่างถูกต้อง
“หลงเอ๋อร์ เจ้าช่างปราดเปรื่องเสียจริง!” เยี่ยฉวนยกยิ้มอย่างพึงใจ
หลงเอ๋อร์รู้สึกเขินอายในคําชื่นชมนั้น ทว่าเขายังมีข้อสงสัยอีกบางประการ “พี่ใหญ่ ตัวนิ่มพวกนี้มีลักษณะไม่เลว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสัตว์อสุรกายที่กลายพันธุ์ในถิ่นทุรกันดาร ต่อให้มันสามารถเอาชนะมนุษย์และสัตว์อื่นได้ แต่จะเอาชนะกองทัพจากราชวงศ์ต้าฉินกับสํานักอสูรเมฆาได้หรือ?”
“เจ้าตัวเล็กพวกนี้อาจไร้ประโยชน์ในการต่อสู้แบบเผชิญหน้า หากใช้พวกมันสู้รบตบมือกับพวกเขาตัวต่อตัวอย่างไรก็อาจพลาดท่าเพลี่ยงพล้ํา แต่หากพวกมันรวมตัวกันเป็นฝูงและผสานการโจมตีโดยพร้อมเพรียง
สถานการณ์อาจพลิกผันจากร้ายกลายเป็นดี ไม่ว่าผู้ใดบุกเข้ามาพวกเขาจะต้องเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ หลงเอ๋อร์ ให้ข้าอธิบายตอนนี้ก็คงไร้ประโยชน์ ต้องรอให้เจ้าเห็นกับตา จึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือเปรียบเสมือนการเล่นหมากรุก เวลาและสถานที่อันเหมาะสมเท่านั้นจึงเป็นปัจจัยสําคัญที่สุดในการเอาชนะ!” เยี่ยฉวนไขข้อข้องใจให้เด็กชายก่อนหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
เขาสูญเสียพละกําลังไปมากเพื่อก่อสร้างค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์ นอกจากนี้ยังเรียกใช้เคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์เพื่อควบคุมตัวนิ่ม อสุรกายจนกินพลังชีวิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องการรักษาความแข็งแกร่งที่หลงเหลืออยู่ไว้ให้มากที่สุด
ครั้นเห็นอีกฝ่ายเหนื่อยล้าเต็มที่หลงเอ๋อร์จึงไม่เอ่ยถามคําใดอีก เขาเร่งรวบรวมพลังและกระพือปีกบินไปยังส่วนลึกของเทือกเขาหมอกเมฆา กระทั่งพบสัตว์อสุรกายฝูงใหญ่อีกชนิดอย่างรวดเร็ว
คราวนี้เขาพบอินทรีทองฝูงใหญ่ซึ่งสร้างรังนอนอยู่บนหน้าผา การเข้าถึงตัวพวกมันว่ายากลําบากมากแล้ว ตราบใดที่ประมาทเพียงเล็กน้อย อาจทําให้พวกมันตื่นตระหนกจนบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที เหล่านายพรานหรือแม้แต่ผู้ฝึกตน ไร้ความสามารถพอที่จะจับตัวพวกมัน ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาสําหรับเยี่ยฉวนและหลงเอ๋อร์ มังกรปีศาจย่อมเคลื่อนที่รวดเร็วกว่าอินทรีทองหลายเท่า เพียงอึดใจเดียวฝูงอินทรีทองทั้งหมดจึงถูกส่งเข้าไปอยู่ในโคมบงกชสีคราม
ยามราตรีเงียบสงัดไม่ว่ามนุษย์หรือสิงสาราสัตว์ล้วนเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่าทั้งสองยังคงเดินทางลึกเข้าไปในผืนป่าโดยไม่หยุดพัก ตลอดเส้นทางหากบังเอิญพบเห็นฝูงสัตว์อสุรกายที่มีลักษณะโดดเด่นออกหากิน เยี่ยฉวนไม่รอช้าที่จะจับตัวพวกมันและทําการฝึกฝนให้เชื่อง ยิ่งนาน จํานวนของพวกมันยิ่งมากขึ้นราวเขาต้องการเปลี่ยนสํานักอสูรเมฆาทั้งหมดให้กลายเป็นกองทัพสัตว์อสุรกายที่แข็งแกร่ง ช่วงแรกหลงเอ่อร์เพียงเฝ้ามองพี่ใหญ่ของเขาจัดการกับสัตว์เหล่านั้นเงียบๆ ทว่าช่วงต่อมาเขาจึงช่วยสกัดกั้นพวกมันไว้และจับกระแทกลงกับพื้นเมื่อมันเกิดการต่อต้าน
เยี่ยฉวนเดินทางลึกเข้าไปในหุบเขาเป็นเวลาสามวันสามคืน สัตว์อสุรกายที่เขาจับได้มีหลากประเภท ทั้งยังมีจํานวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ล้วนมีทักษะการโจมตีซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บ้างอาศัยอยู่ใต้ดิน…บ้างเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้า บางชนิดสามารถแหวกว่ายอยู่ในแหล่งน้ํา ทว่าในความโชคดียังแฝงด้วยความโชคร้าย เยี่ยฉวนยังไม่พบสัตว์อสุรกายที่ทรงพลังมหาศาลเลยแม้แต่ตัวเดียว เขาสัมผัสออร่าจากพวกมันไม่สําเร็จจึงไม่อาจหยั่งรู้ว่ากบดานอยู่ในแหล่งใด หรือพวกมันอาจหวาดกลัวภัยพิบัติมังกรสังหารที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนซ่อนเร้นอยู่ห่างจากเทือกเขาไปหลายสิบลี้
ช่วงพลบค่ําของวันที่สี่…ขณะที่พวกเขากําลังเดินสํารวจตามรายทางเรื่อยเปื่อยกลับพบเจอหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึกอันเงียบสงบนี้โดยบังเอิญ! ในป่าทึบแห่งนี้มีสัตว์อันตรายชุกชุมอยู่มากมาย แม้แต่นายพรานมือฉมังยังไม่เดินทางเข้ามาลึกถึงเพียงนี้ทว่ากลับมีผู้คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาตั้งรกรากและอาศัยอยู่ เยี่ยฉวนตระหนักถึงสิ่งที่ผิดวิสัยยิ่ง จึงเรียกหลงเอ่อร์ให้แปลงกายจากมังกรเป็นเด็กชายตัวน้อยและเดินเข้าไปสํารวจเพื่อค้นหาคําตอบ
ทางเดินซึ่งนําไปสู่หมู่บ้านเล็กๆ เป็นทางโค้งคดเคี้ยว เมื่อเดินรุดไปด้านหน้าจึงพบคราดและหอกสามง่ามหลายอันถูกปักไว้ตลอดทาง ซึ่งรูปแบบดังกล่าวมีลักษณะคล้ายค่ายกลเก้าตําหนัก หากผู้ที่ไม่คุ้นชินเส้นทางเดินพลัดหลงเข้าไป อาจไม่สามารถหาทางกลับออกมาได้จนกินระยะเวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนที่เดียว! ซึ่งคนผู้นั้นไม่มีทางค้นหาหมู่บ้านลึกลับแห่งนี้จนพบ
เยี่ยฉวนรู้สึกฉงนสนเท่ห์ยิ่ง เพียงเส้นทางที่นําไปสู่หมู่บ้านยังสร้างขึ้นเป็นค่ายกลเก้าตําหนักนับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดกว่าแหล่งที่ตั้งของมันเสียอีก! แต่ด้วยความปราดเปรื่องของอดีตมหาปราชญ์ซ่อนเร้นสวรรค์ทําให้เขาและหลงเอ๋อร์เดินทางเข้ามาจนพบหมู่บ้านดังกล่าวได้อย่างไม่ยากเย็น ภายในหมู่บ้านปรากฏสวนหย่อมเล็กๆ ที่ตกแต่งด้วยอิฐสีเทาและแผ่นกระเบื้องสีดําสนิท ทางเดินแคบที่ปูด้วยหินสีมรกตมีต้นไม้น้อยใหญ่ทอดยาวไปสุดสายตา ประตูบานหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางลานลงกลอนขนาดใหญ่ไว้ แม้พายุฝนกระหน่ําลงมาหลายคราทว่าตัวอักษรที่เขียนไว้กลับชัดเจน ทุกลายเส้นล้วนประณีต บ่งบอกถึงความทรงพลังซึ่งเป็นการคัดลายมืออย่างมีแบบแผน ฉะนั้นมันไม่ใช่อักษรที่เขียนขึ้นโดยชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่!