Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 198 มอบหมูย่างเป็นของกำนัลแด่เจ้า
บทที่ 198 มอบหมูย่างเป็นของกำนัลแด่เจ้า
“ฮึ่ม! รับของชิ้นนี้ไป! เยี่ยฉวน…ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ท่านออกสำรวจเส้นทางต่อเถิด!”
หลิวหงโยนก้อนผลึกมนุษย์ขนาดเล็กที่อยู่ในครอบครองให้เยี่ยฉวนด้วยสีหน้าไม่เต็มใจก่อนสะบัดตัวกลับอย่างเคืองโกรธ บั้นท้ายกลมกลึงกระดกขึ้นลงโดยแรงตามจังหวะการเดินกระฟัดกระเฟียดจากนั้นจึงหันไปสั่งการพี่ใหญ่ลูให้ช่วยเคลื่อนย้ายก้อนผลึกมนุษย์อันใหญ่ไปยังกระโจมส่วนตัวของตนเพื่อทำการฝึกฝนเคล็ดวิชาขนปักษาสีครามให้บรรลุภายในค่ำคืนนี้!
“ยังมอบภารกิจสำรวจเส้นทางให้ข้าอยู่กระนั้นรึ?! ไม่มีปัญหาแต่หากครานี้ข้าพบก้อนผลึกชิ้นใหญ่อีก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถแย่งชิงมันไปจากข้า!”
เยี่ยฉวนเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางเหลือบมองสะโพกผายของหลิวหงก่อนหันหลังเดินจากไป
ความจริงแล้วเขาสร้างก้อนผลึกมนุษย์ของปลอมชิ้นนี้ขึ้นเพื่อเล่นแง่กับหลิวหงเท่านั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือการได้รับก้อนผลึกมนุษย์ชิ้นเล็กหลายชิ้นเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนโดยที่ตนไม่ได้เสนอ ดั่งสุภาษิตโบราณว่าไว้ไม่มีผิดเพี้ยน…ปักชำกิ่งไม้ลงในโคลนตนเพื่อที่มันจะเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา ในที่สุดเขาก็ได้รับทุกสิ่งที่หมายตาโดยไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย!
เยี่ยฉวนกระชับก้อนผลึกมนุษย์ในฝ่ามือให้แน่นขึ้น จากนั้นจึงเดินแหวกความมืดเข้าไปในผืนปาเพื่อทำการสำรวจเส้นทางอีกครั้ง
“หึ! ไอ้งั่ง!”
“นั่นสิ พอใจการนำของดีไปแลกกับของที่ต่ำต้อยกว่า คนโง่เท่านั้นที่คิดได้เช่นนี้”
คล้อยหลังเยี่ยฉวน…หนาซานและหนาสุยลอบนินทาชายหนุ่มพลางเผยสีหน้ายิ่งตึงขณะมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ห่างออกไป
ความปรารถนาของหลิวหงที่ได้รับก้อนผลึกมนุษย์ชิ้นใหญ่สัมฤทธิผล ทว่าต้องสูญเสียสมบัติหลายชิ้นรวมถึงก้อนผลึกมนุษย์ตัวจิ๋วที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้ให้ไอ้เด็กเหลือขอนั่น! โดยที่เขาสองคนไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของชายทั้งสอง เพราะหากว่ากันตามหลักการที่ถูกต้อง บรรดาก้อนผลึกที่นางมอบให้เยี่ยฉวนล้วนได้รับมาในนามของพวกเขาด้วยซ้ำ!
ครั้นทบทวนประเด็นของเยี่ยฉวน…หากพวกเขาเป็นผู้พบเจอก้อนผลึกมนุษย์ชิ้นใหญ่ด้วยตนเอง คงไม่มีวันยอมจำนนต่อการแลกเปลี่ยนที่ด้อยค่านี้เป็นแน่ เหตุใดจึงต้องหยิบยื่นผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างยากลำบากให้ผู้อื่น?! เยี่ยฉวนเป็นผู้โชคดี ทว่าความเขลาทำให้เขาถูกพรากสมบัติล้ำค่าไปจากอก หากไม่เรียกว่าโง่เง่าแล้วจะเรียกว่ากระไรได้?!
คนบางคนยิ่งใกล้ชิดยิ่งผูกพันลึกซึ้ง…แต่บางคนยิ่งรู้จักมักคุ้นเพียงใดกลับยิ่งรู้สึกเกลียดชัง
เช่นเดียวกับศิษย์สองพี่น้องแซ่หนาที่นับวันยิ่งชิงชังเยี่ยฉวน ครั้นพบเห็นเมื่อใดริมฝีปากของพวกเขาพลันคันยิบขึ้นมาอยู่เนืองๆ
“ไอ้งงงั้นรึ?!”
เยี่ยฉวนผู้เดินจากไปเพียงลำพังหันขวับกลับไปมองต้นเสียงพลางแสยะยิ้มอย่างเย็นชา สมองอันปราดเปรื่องครุ่นคิดวิธีจัดการกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าไปยังหนทางที่ทั้งแคบและคดเคี้ยวในปาลึกอีกครั้งด้วยฝีเท้าเบาหวิวราวติดปีก
ค่อนคืนที่ผ่านมาเขาพบเจออันตรายและความโกลาหลมากมายพอแล้ว เดิมที่เขาคิดปลีกวิเวกเพื่อหาสถานที่ฝึกตนอย่างสันโดษเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาจากโลกเหนือแดนสวรรค์ที่จารึกไว้ในก้อนผลึกมนุษย์ชิ้นเล็ก ทว่าหนาซานและหนาสู่ยกลับไม่รู้จักการวางตนทั้งยังสบถหยาบคายเสียก่อน ดังนั้นเขาควรให้บทเรียนบางอย่าง…สองคนนั้นจะได้ตระหนักเสียที่ว่าใครกันแน่คือไอ้นั่งตัวจริง!
หลิวหงกำหนดให้เยี่ยฉวนทำการสำรวจภายในขอบเขตรัศมีสิบลี้เท่านั้น แต่เขาก้าวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพักจนระยะทางเพิ่มขึ้นถึงยี่สิบสามสิบลี้ และไกลออกไปเรื่อยๆ
ความเงียบสงัดมาเยือนยังกระโจมที่พำนักชั่วคราวจนไร้สรรพเสียงใด…
หลิวหงทำการฝึกตนในกระโจมเริ่มทำการฝึกฝนเคล็ดวิชาขนปักษาสีครามที่ถูกจารึกไว้ในก้อนผลึกมนุษย์อันใหญ่ แต่ต้องขมวดคิ้วด้วยความสับสนยิ่งเมื่อพบว่าเคล็ดวิชาดังกล่าวไม่สมบูรณ์ หนำซ้ำยังทับซ้อนเนื่องจากเยี่ยฉวนเพิ่มเคล็ดวิชาต่างๆ เข้าไปปะปน ส่วนด้านนอกกระโจม.หนาซาน หนาสู่ยและพี่ใหญ่ลู่เอนกายลงพิงก้อนหินก่อนผล็อยหลับไปพร้อมลมหายใจที่สม่ำเสมอ ตลอดทั้งวันพวกเขาออกเดินทางโดยไม่หยุดพักทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก
โท่วปาเซียงเพียวเอนกายพิงก้อนหินเพื่อพักผ่อนเช่นกัน แต่จนกระทั่งตอนนี้นางยังไม่อาจข่มใจให้สงบได้ เมื่อภาพรอยยิ้มยียวนของเยี่ยฉวนมักปรากฏขึ้นทุกครั้งที่หลับตา
“ไอ้คนอันธพาล!”
โท่วปาเซียงเพียวพลิกตัวไปอีกด้านพร้อมเอ่ยสาปแช่งเยี่ยฉวนก่อนข่มตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาคู่นี้ของ หลิวหงก็อดนึกขันไม่ได้
ทันใดนั้นก้อนหินที่ร่างของนางพิงอยู่กลับสั่นสะเทือนเล็กน้อย!
แผ่นดินไหวอย่างนั้นหรือ?!
โท่วปาเซียงเพียวเป็นคนแรกที่ตื่นตัวต่อปรากฏการณ์แปลกประหลาดนั้นพร้อมผุดลุกขึ้นนั่งทันที นางใช้ฝ่ามือแตะพื้นเพื่อพิสูจน์อีกครั้งว่าไม่ได้ระแวงไปเอง และพบว่ามันสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องแต่ไม่รุนแรงเท่าแผ่นดินไหว ศูนย์กลางของแรงไม่ได้มาจากใต้ดิน ทว่ามาจากระยะไกลราวมีบางสิ่งที่มีพละกำลังเหนือมนุษย์กำลังเดินใกล้เข้ามาด้วยฝีเท้าอันหนักหน่วง!
อสูรหินกำลังมาทางนี้หรืออย่างไร?
หญิงสาวรู้สึกประหม่าจนไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ นางกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินที่อยู่สูงสุดในบริเวณนั้นพลางกวาดสายตามองโดยรอบ ภาพที่ประจักษ์คืออสูรหินยักษ์ความสูงประมาณห้าถึงหกเมตรกำลังเดินใกล้เข้ามาจากทิศตะวันตกของปาหิน ลักษณะของมันคล้ายคลึงกลับอสูรหินตัวแรกที่พวกนางเคยพบมีท่อนล่างเป็นมนุษย์ ส่วนหัวเป็นสุนัข!
“ศัตรูกำลังมา! อสูรหินเศียรสุนัขกำลังตรงมาทางนี้! ตื่นเร็วเข้า!”
โท่วปาเซียงเนียวร้องตะโกนเตือนภัยอย่างสุดเสียง หนาสู่ย หนาซานและพี่ใหญ่ลู่สะดุ้งสุดตัวด้วยความตื่นตระหนกพร้อมคว้าอาวุธสังหารประจำกายโดยสัญชาตญาณ ก่อนกระจายตัวไปยังตำแหน่งของตนเพื่อซุ่มโจมตี!
นับตั้งแต่เข้ามาในปาหมื่นอสูรแห่งนี้พวกเขาพบพานอสูรหินเศียรสุนัขมาแล้วหลายตน ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยกับวิธีโค่นล้มมันเป็นอย่างดี แตกต่างเพียงแค่อสุรหินจากทางทิศตะวันตกตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าทุกครั้ง หากประมาทเพียงนิดอาจหมายถึงความล้มเหลวในการซุ่มโจมตี โดยที่พวกเขาอาจไม่รอดชีวิต
การเคลื่อนที่ของอสูรหินเศียรสุนัขเชื่องช้า แต่ทุกย่างก้าวของมันกินระยะทางไกลโข ไม่นานมันก็เดินมาถึงบริเวณที่พวกเขาวางแนวป้องกัน ส่วนเยี่ยฉวนกำลังวิ่งนำหน้า ครั้นหลอกล่อมันมาถึงที่นี่สำเร็จเขากลับหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งอสูรหินยักษ์ที่พามาไว้ให้โท่วปาเซียงเนียวและสหายคนอื่นๆ รับมือเพียงลำพัง!
โฮก…
ครั้นมนุษย์สี่คนกระโจนออกจากที่ซ่อนมาปรากฏตัวโดยยืนล้อมรอบทิศ อสูรหินเศียรสุนัขพลันแหงนหน้าขึ้นก่อนแผดเสียงคำรามดังกึกก้องก่อนเดินเข้าหาพี่ใหญ่ลู่เป็นรายแรก
ขณะเดียวกันกระบี่บินสามเล่มก็พุ่งแหวกอากาศก่อนแทงทะลวงเข้าไปที่ดวงตาของมันโดยแรง!
หนาซาน หนาสุ่ยและโท่วปาเซียงเนียวทำการโจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน หลังผ่านการตั้งรับศัตรูประเภทนี้มาแล้วหลายครั้ง ประสบการณ์จึงหล่อหลอมให้พวกเขาประสานความร่วมมือกันได้อย่างลงตัว
อสูรหินเศียรสุนัขยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นปัดป้องการโจมตีจากกระบี่บินเหล่านั้น ซึ่ง! กระบี่บินส่งเสียงเสียดโสตประสาทขณะสั่นไหวอย่างรุนแรง กลุ่มควันปะทุขึ้นจากแขนด้านขวาของมัน ปกติแล้วเป็นเรื่องยากที่คมกระบี่จะฝากรอยขีดข่วนไว้บนร่างที่เป็นก้อนหินทว่ากระบี่บินสีดำสนิทของโท่วปาเซียงเนียวมีอานุภาพทำลายร้ายแรงแตกต่างจากกระบี่ของศิษย์สองพี่น้องแซ่หนา นอกจากใบดาบที่คมกริบยังมีคุณสมบัติในการกร่อนทำลายวัตถุทุกประเภท ทันทีที่มันเฉือนแขนของอสูรหินจึงปรากฏรอยยาวและถูกกัดกร่อนจนควันโขมงทันใด!
โฮก อสูรหินเศียรสุนัขแผดเสียงคำรามอีกครั้ง เมื่อมันลดแขนลงค้อนอันเขื่องพลันทุบลงตรงใบหน้าโดยแรงจนปากแหลมที่ยื่นออกบุบเข้าไปจนแบนราบ ตอนนี้ใบหน้าของมันถูกทำลายจนบิดเบี้ยวผิดรูป
พี่ใหญ่สู่รวบรวมพละกำลังทั้งหมดยกร้อนที่มีน้ำหนักมากขึ้นทุบอสูรหินยักษ์ทันที่ที่สบโอกาส หลังจากนั้นกระบี่บินสามเล่มยังคงโจมตีโต้กลับอย่างต่อเนื่อง ดวงตาทั้งสองข้างถูกคมกระบี่ที่มแทงจนบอดสนิททั้งสองข้าง ทำให้สารรูปของมันน่าสังเวชไม่ต่างอันใดไปจากแมลงวันหัวขาด
“ฮ่าๆๆ! ไม่เลว! หากพยายามมากกว่านี้อีกหน่อย ในที่สุดก้อนผลึกมนุษย์ในร่างของมันจะต้องตกเป็นของข้า!” หนาซานระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นขณะทำการโจมตีอสูรหินเศียรสุนัขอย่างโหดเหี้ยมด้วยกระบี่บินประจำกาย ชายหนุ่มเฝ้ารอให้มันล้มลงสิ้นฤทธิ์กับพื้นอย่างจดจ่อ
“ได้อย่างไรกันพี่ชาย..คราวนี้มันต้องตกเป็นของข้าต่างหาก!”
หนาสู่ยกล่าวขัดขึ้นด้วยไม่ต้องการน้อยหน้าพี่ชายพลางใช้ขาข้างเดียวที่เหลืออยู่กระโดดจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนพร้อมทำการโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อแข่งขันกับหนาซาน ด้วยหวังว่าตนจะได้รับชัยชนะที่สามารถโค่นล้มอสูรหินเศียรสุนัขตัวนี้ได้ ศิษย์พี่น้องทั้งสองแก่งแย่งชิงดีกันโดยไม่สนใจโท่วปาเซียงเนียวและพี่ใหญ่สู่ราวพวกเขาเป็นเพียงธาตุอากาศ ทันใดนั้นพวกเขากลับสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างจึงหันหน้าไปมองอีกทาง และพบว่าอสูรหินเศียรสุนัขอีกสองตนกำลังเดินตรงมาทางนี้เช่นกัน!
พวกเขายังโค่นอสูรหินเศียรสุนัขตัวแรกไม่สำเร็จ เหตุใดจึงมีอีกตนปรากฏตัวขึ้นตามมา?! ต้องเป็นเพราะไอ้สารเลวเยี่ยฉวนนั่นเป็นแน่! มันปฏิบัติภารกิจโดยไม่ใช้สมองไตร่ตรองหรืออย่างไร?!
หนาสุ่ยผู้เหลือขาเพียงหนึ่งข้างตื่นตระหนกระคนโกรธายิ่ง! ความคิดอยากตัดศีรษะของเยี่ยฉวนมาเสียบประจานแรงกล้าขึ้นเป็นเท่าทวี เขายืนตะลึงงันอยู่อย่างนั้นด้วยสมองที่ทั้งขาวโพลนและว่างเปล่า อสูรหินเศียรสุนัขตัวนี้ยังไม่ทันตายตกอีกสองตนกลับพุ่งตรงมาหา ทำให้สองพี่น้องแซ่หนาที่กำลังโจมตีมันอย่างต่อเนื่องตกเป็นเป้าสังหารของอสูรหินที่มาสมทบทันที!