Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 196 เคล็ดวิชาขนปักษาสีคราม
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 196 เคล็ดวิชาขนปักษาสีคราม
บทที่ 196 เคล็ดวิชาขนปักษาสีคราม
ก้อนผลึกมนุษย์ขนาดใหญ่ดึงดูดสายตาของทุกคนเอาไว้
ในบรรดาสิ่งของที่เหมือนกันยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไหร่แปลว่ายิ่งดีเท่านั้นหมายความว่าก้อนผลึกนี้จึงสามารถดึงดูดทุกคนได้อย่างง่ายดายอีกทั้งอักขระของมันยังเด่นชัด เส้นแสงพลังปรากฏอย่างยิ่งใหญ่ไม่อาจทราบได้เลยว่ามันมีพลังชนิดใดซุกซ่อนอยู่ภายใน อาจจะเป็นเคล็ดวิชาขั้นเทวาลัยหรือเป็นสิ่งที่นักปราชญ์อมตะในตํา นานสามารถฝึกฝนได้เท่านั้น
แววตาของหลิวหง หนาสู่ยและหนาซานฉายแววละโมบอย่างเห็นได้ชัดส่วนโท่วปาเซียงเนียวและพี่ใหญ่ลู่เพียงจับจ้องมันอย่างใคร่รู้
“คุณชายเยี่ย…. ท่านได้พบกับก้อนผลึกนี้จากที่ใดกัน? ค่ําคืนนี้ท่านพบเจอสิ่งใดแน่? อย่าได้พูดกล่าวเลยว่ามันเป็นเพียงก้อนหินธร รมดา”
หลิวหงถามออกด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา สายตาของนางจับจ้องเยี่ยฉวนอย่างอยากรู้ แววตาวูบไหวอย่างเป็นประกายราวกับฤดูใบไม้ผลิซึ่งสิ่งที่นางถามออกเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ด้วยเช่นกัน
ก้อนผลึกขนาดใหญ่เช่นนี้บ่งบอกว่าเขาได้พบเจอกับอสูรหินขนาดยักษ์หรือไม่?
การฝึกฝนของเยี่ยฉวนสูงส่งเพียงใดกัน? เขาเพียงอยู่ในขั้นซิวฉีอระดับสามมิใช่หรือ? แม้ว่าได้พบเจอกับอสูรหินเศียรสุนัขทั่วไปยังจัดการได้ยากลําบาก แม้จะซุกซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการมันด้วยตัวคนเดียว อย่างนั้นเขาจะสามารถจัดการกับอสูรยักษ์เพื่อได้รับก้อนผลึกขนาดใหญ่เช่นนี้อย่าง
ไร?
หลิวหงผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนเริ่มสงบสติและตระหนักถึงความแปลกประหลาดนี้ก่อนใคร
“ข้าเก็บมันได้ในปาหินที่ห่างออกไปยี่สิบลี้”
เยี่ยฉวนหยุดพักเพราะต้องการใช้โอกาสนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของหลิวหง ชายหนุ่มแสร้งเป็นไม่เต็มใจบอกพร้อมพ่นลมหายใจก่อนจะกล่าวต่อ“ที่นั่นมีซากศพของอสูรหินเศียรพยัคฆ์ขนาดใหญ่และก้อนผลึกนี้อยู่ในร่างกายของมันบริเวณแห่งนั้นเต็มไปด้วยหินและฝุ่นหนาเตอะ เพราะมันถูกทิ้งเอาไว้ข้าจึงรู้สึกว่า มันคงไม่ใช่ก้อนผลึกที่ดีนักจึงตัดสินว่ามันเป็นเพียงก้อนหินเท่านั้นพวกเจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย”
“ไปกัน! พาพวกเราไปดูให้เห็นกับตา!” หลิวหงออกคําสั่งนางต้องการตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่หลังจากตรวจสอบทุกสิ่งอย่างรอบคอบแล้วความสงสัยจะได้กระจ่างเสียที
หากเยี่ยฉวนนําก้อนผลึกมนุษย์ขนาดเล็กกลับมา มันคงไม่ใช่เรื่องประหลาดนัก แต่คราวนี้สิ่งที่เขานํากลับมาด้วยใหญ่โตยิ่ง ทุกคนจึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิว ต้องการจะไปที่นั่นงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นเชิญเจ้าไปคนเดียวเถิด ข้าเหนื่อยเกินกว่าจะแบกก้อนผลึกนี้เดินไปมาและอีกอย่างคือข้าไม่อยากไปที่นั่นอีกแล้ว”เยี่ยฉวนส่ายศีรษะปฏิเสธ
“พี่ใหญ่สู่สามารถแบกมันไปได้ คุณชายเยี่ยตอนนี้พวกเราอยู่ในเรือลําเดียวกันแล้ว หากมีอสูรหินเศียรพยัคฆ์ตัวใหญ่ที่นั่น เราก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อม วางใจเถิด… ก้อนผลึกยักษ์นี้เป็นสิ่งที่ท่านค้นพบเช่นนั้นมันจึงเป็นของท่านอย่างแน่นอน!” หลิวหงกล่าวคํามั่นด้วยน้ําเสียงหวานฉ่ํา
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่…”
หนาซานและหนาสุยร้องออกมาพร้อมกับในขณะที่แววตาฉายแววความไม่พอใจอยู่ในนั้น
สมบัติล้ําค่าเช่นนี้แต่กลับมอบมันไปอย่างง่ายดายงั้นหรือ? เท่ากับว่าพวกเขาทั้งหมดสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่เพื่อมอบกําไรมหาศาลให้กับอีกฝ่ายใช่หรือไม่?
แต่ใบหน้าของหนาซานยังไม่น่าเกลียดเท่ากับหนาสุยที่เหลือขาซ้ายเพียงข้างเดียว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไม่ชวนมองแม้แต่น้อย
หากรู้ว่าจะได้พบเจอสมบัติเช่นนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้เยี่ยฉวนออกไปค้นหาเส้นทางเป็นแน่! ก่อนหน้านี้เขาได้รับก้อนผลึกเล็กๆ เพราะสูญเสียขาไปหนึ่งข้าง ยิ่งกว่านั้นทุกสิ่งอยู่ในความดูแลของหลิวหงตัวเขาเองเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แต่เยี่ยฉวนที่เพิ่งออกไปเดินเล่นกลับได้รับสมบัติล้ําค่าอย่างง่ายดาย ทั้งหมดไม่เป็นการเอาเป รียบคนอื่นเกินไปหรือ?
“หุบปากทั้งสองคน! คุณชายเยี่ยได้โปรดเถิด…”
หลิวหงยกมือขึ้นพร้อมออกคําสั่งกับทั้งสองคน จากนั้นพี่ใหญ่ลูจีงยกก้อนผลึกยักษ์นี้อย่างเชื่อฟัง ซึ่งหญิงสาวคิดคํานวณทุกสิ่งไว้แล้วในแง่ของการโน้มน้าวนางคืออัจฉริยะอย่างแท้จริง อีกทั้งตอนนี้สถานะของนางคือผู้นํากลุ่ม นางจึงสามารถตัดสินใจและออกคําสั่งได้อย่างเด็ดขาด
“เช่นนั้นก็ได้ หากศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิวต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจห้ามอย่างไรซะในเวลาค่ําคืนนั้นอันตรายยิ่ง อีกทั้งในบริ เวณปาใกล้เคียงยังมีซากศพจํานวนมากข้าคิดว่าคงจะมีอสูรหินที่ท รงพลังหรือปีศาจร้ายอยู่โดยรอบหากถูกซุ่มโจมตีหรือเกิดการสูญเสียสิ่งใดก็จงอย่าได้กล่าวโทษข้า”เยี่ยฉวนตอบกลับด้วยน้ํา เสียงเรียบเฉย ทว่าประโยคนี้กลับทําให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน
ในกลุ่ม ระดับการฝึกฝนที่สูงที่สุดคือขั้นซิวฉือระดับห้าหากพวกเขาค้นพบอสูรหินยักษ์ที่มีก้อนผลึกขนาดใหญ่อยู่ภายใน มันมิใช่เรื่องที่ดีแต่กลับเป็นความโชคร้ายเสียมากกว่า ทุกคนอาจถูกกําจัดอย่างรวดเร็วโดยไม่มีโอกาสกรีดร้องด้วยซ้ํา
“ไปกันเถอะ!”
หลิวหงกัดฟันกล่าวออกอย่างเด็ดเดี่ยว ความปรารถนาในสมบัตินั้นมากมายกว่าความกลัวในจิตใจ
คืนนี้ไม่ว่านางจะต้องพบเจอกับสิ่งใด นางก็สามารถคว้าเอาก้อนผลึกยักษ์จากเยี่ยฉวนมาได้เสมอซึ่งเรื่องนั้นเอาไว้คิดในภายหลัง
กลางดึก ปาหมื่นอสูรเงียบงันราวกับสุสานขนาดใหญ่ในสมัยโบราณมันมืดสนิทส่งผลให้บรรยากาศน่าอึดอัด
ภายใต้คําสั่งของหลิวหง ทั้งกลุ่มรวบรวมความกล้าพร้อมกับเดินไปตามทางคดเคี้ยวแคบๆ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะประมาทแต่โชคดีที่ไม่พบเจอสิ่งใดแต่อาจเพราะเยี่ยฉวนเคยผ่านเส้นทางนี้มากอนแล้วก็ได้ ทั้งหมดไม่ประสบกับปีศาจร้ายหรืออสูรหินยักษ์ ภายในครึ่งชั่วโมงพวกเขามาถึงปาหินโดยมีเยี่ยฉวนนําทาง
รอบๆ ที่แห่งนี้มีซากศพเกลื่อนกลาด ทั้งโครงกระดูกของมนุษย์โครงกระดูกของหมาป่า อีกทั้งยังเต็มไปด้วยก้อนหินที่แตกหักจากการต่อสู้จํานวนมาก กลางปาหินมีซากศพของอสูรหินขนาดใหญ่กองอยู่บนพื้นรูปร่างของมันใหญ่กว่าที่พวกเขาเคยพบเจอกว่าร้อยเท่าทุกส่วนของร่างกายเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว
“เป็นที่นี่ ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิวต้องการทําสิ่งใดก็รีบจัดการเกิดข้าสังหรณ์ใจไม่ดีนัก เราคงจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปหากต้องยืนอยู่ตรงนี้นานๆ” เยี่ยฉวนกล่าวออกอย่างซื่อตรงทว่าภายในใจกลับยกย้ํามชั่วร้าย
ทั้งหมดที่เขากล่าวเมื่อครู่เป็นความจริง เขาพบเจอกับศพของอสูรหินยักษ์นอนอยู่ตรงนี้เมื่อตอนออกสํารวจเส้นทาง แต่อย่างไรซะทุกสิ่งเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ส่วนก้อนผลึกขนาดใหญ่ที่เขานํากลับไปด้วยเป็นของปลอม… ความคิดล่อลวงปรากฏขึ้นตอนที่เขาเห็นซากศพขนาดใหญ่ ในตอนนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจตรวจสอ บก้อนผลึกมนุษย์ที่มีบวกกับความสามารถเฉพาะตัวเขาจึงสามารถสร้างของปลอมขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน
หลิวหงไม่ได้กล่าวสิ่งใดพร้อมกับเดินวนซากศพอย่างจริงจังจากนั้นจึงกล่าวคําออกอย่างเย็นชา “อืมกลับกันเถอะ!”
นางรีบพาทุกคนออกจากที่นี่จากเร่งรีบ การได้เห็นซากศพขนาดใหญ่นั้นเพียงพอแล้ว อีกทั้งคําพูดของเยี่ยฉวนยังสร้างความกังวลใจให้กับทุกคนยิ่งสุดท้ายหลิวหงก็สามารถคลายความข้องใจได้ว่าเยี่ยฉวนไม่ได้โกหกนาง
ทันทีที่กลับมาถึงฐานทัพชั่วคราว หลิวหงก้าวออกไปด้านหน้าพร้อมกับตรวจสอบก้อนผลึกยักษ์นี้อย่างระมัดระวัง นางใช้ปลายนิ้วสัมผัสจุดสีแดงและอักขระอย่างเบามือ ตอนนี้นางตรวจสอบมันอย่างละเอียดจนมาถึงด้านล่างของก้อนผลึกมีอักษรโบราณ สลักไว้ว่าเคล็ดวิชาขนปักษาสีคราม” เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็อดไม่ ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
“นี่คือเคล็ดวิชาขนปักษาสีคราม… มันเป็นเช่นนั้น!” หลิวหงร้องออกอย่างสดใส
นางไม่เพียงแต่กระหายอํานาจเท่านั้น แต่ยังจัดการเรื่องทั้งหมดได้อย่างรอบคอบ ความสงสัยที่เคยมีเริ่มคลายออกอย่างต่อเนื่องตอนนี้นางสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ผันผวนภายในก้อนผลึกนี้สักครู่หนึ่งดวงตาคู่สวยเปล่งประกายร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้งทว่าเยี่ยฉวนกลับยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ในฐานะมหาปราชญ์ซ่อนเร้นสวรรค์เขามีเล่ห์เหลี่ยมมากมายอยู่ในศีรษะมันง่ายดายยิ่งที่เขาจะใส่พลังงานเล็กน้อยของยันต์กลืนกินสวรรค์ลงไปในก้อนผลึกนี้ เพื่อแสร้งว่ามันคือสมบัติล้ําค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้ท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงหินก้อนหนึ่งเท่านั้น
สําหรับเคล็ดวิชาขนปักษาสีครามนี้เขาสลักมันไว้ด้วยอักขระสีแดงหนาทึบ อย่างไรแล้วนี้ไม่ใช่เคล็ดวิชาของโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แต่อย่างใด มันเป็นเพียงสิ่งที่เยี่ยฉวนเข้าใจในภพชาติที่แล้วนอกจากนี้มันยังไม่สมบูรณ์อีกด้วย แต่การที่หลิวหงจะค้นพบความจริงมีเพียงการทุบให้แตกออกเท่านั้น แล้วนางจะกล้าล งมือหรือไม่?
แน่นอนว่านางไม่ทําเช่นนั้น!นางจะไม่เชื่อคําพูดของเยี่ยฉวนในทันทีแต่นางจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัส ตอนนี้นางรู้สึกว่าความสงสัยทั้งหมดถูกปัดเปาจนสิ้นและเชื่อว่าก้อนผลกยักษ์ตรงหน้านี้คือสมบัติจากสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง